เหลียนหมัวมัวเฝ้าอยู่นอกประตูด้วยความเป็นห่วงเป็นใยตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ยินลู่ฮูหยินขานเรียกคนจากด้านใน นางรีบผลักประตูเข้าไป เห็นลู่ฮูหยินนั่งอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมในเรือนสงบ เรือนร่างยังคงอยู่ในชุดที่สวมใส่เมื่อวาน ในมือจับลูกประคำสีขี้ผึ้งเป็นพวง สีหน้าดูนิ่งเฉย มองไม่ออกว่ากำลังสุขหรือทุกข์
“ฮูหยินเจ้าคะ ให้พวกบ่าวเข้ามาล้างหน้าให้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวเดินเข้าไป แล้วเอาลูกประคำในมือของฮูหยินไปวางไว้หน้าศาลเจ้า
ลู่ฮูหยินไม่ตอบกลับเอ่ยถาม “เมื่อวานมีใครไปจวนองค์หญิงต้าจั่งหรือไม่”
เหลียนหมัวมัวตกตะลึงแล้วครุ่นคิดสักพักค่อยตอบกลับ “ไม่มีใครไปเจ้าค่ะ”
“มีคนขององค์หญิงต้าจั่งมาหรือไม่ แล้วไปเรือนของบุตรคนโต…บุตรคนรองและบุตรคนที่สามหรือไม่”
เหลียนหมัวมัวรีบพูดขึ้น “เหล่าบ่าวไพร่ไม่ได้มีใครมาเลยเจ้าค่ะ แค่คุณหนูสามมา แล้วไปเรือนของสะใภ้สามเจ้าค่ะ ทว่าคุณหนูสามมาหาสะใภ้สามทุกวันอยู่แล้ว มาพูดคุยเล่นกับสะใภ้สามแล้วกลับเจ้าค่ะ”
“อืม อืม!” ลู่ฮูหยินค่อยๆ พยักหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายความเยียบเย็นออกมา
“ฮูหยินเจ้าคะ” เมื่อคืนเหลียนหมัวมัวได้ยินไฉซื่อที่เป็นเมียบ่าวในเรือนชิงผิงถูกคนขององค์หญิงต้าจั่งป้อนยาทำแท้ง จึงคาดเดาว่าเมื่อวานลู่ฮูหยินไปหาองค์หญิงต้าจั่งแล้วต้องโดนตำหนิด้วยคำพูดที่ไม่ดีแน่นอน ดังนั้นจึงเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงทุ่มต่ำ “ฮูหยินล้างหน้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ หลายวันก่อนตอนที่ท่านฮูหยินตระกูลเฟิงจะกลับไป ก็ได้บอกว่าจะกลับมาในวันนี้เจ้าค่ะ”
เฟิงฮูหยินยอมเสียสละเวลาที่ยุ่งวุ่นวายเพื่อมาดูแลบุตรี แน่นอนว่าต้องไม่ไว้วางใจในสภาพร่างกายของบุตรี อีกอย่างยังเตรียมตัวจัดพิธีงานศพให้กับบุตรี ดังนั้นครั้งนี้นางจึงพาบุตรีอนุภรรยานามเฟิงซิ่วอวิ๋นมาด้วย
เมื่อคืนลู่ฮูหยินถูกองค์หญิงต้าจั่งว่ากล่าวสั่งสอน อารมณ์ของนางจึงไม่ดียิ่งนัก ดังนั้นจึงได้พูดคุยกับเฟิงฮูหยินเพียงไม่กี่คำ ก็หาข้ออ้างว่าในจวนขององค์หญิงต้าจั่งมีกิจธุระ จากนั้นจึงได้หลบเลี่ยงพวกนาง
วันนี้สีหน้าของเฟิงฮูหยินน้อยนั้นดูดีกว่าที่ผ่านมา พอเห็นมารดาและน้องสาวอนุภรรยา ภายในใจต้องรู้สึกดีใจอยู่แล้ว พวกนางสามแม่ลูกจึงพูดคุยเล่นกันตามประสา
เฟิงซิ่วอวิ๋นก็รู้ถึงเป้าหมายที่ตนมาจวนติ้งโหว แค่แสดงสีหน้าที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องเท่านั้น จึงนั่งอยู่ในเรือนสักพัก แล้วหาข้ออ้างว่าจะไปเยี่ยมเยียนซูจิ่นอวิ๋น จึงได้พาสาวใช้ของตนออกมา
เฟิงฮูหยินน้อยจึงบอกกับมารดาของตนเรื่องที่อยากจะเลือกเหยาเยี่ยนอวี่ให้เป็นภรรยาคนใหม่ของซูอวี้ผิง เฟิงฮูหยินจึงชักสีหน้า ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “นี่เป็นเพราะอะไรกัน คนในตระกูลทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเจ้าหรืออย่างไร เจ้ากลับไม่ฟังแม้แต่คำสั่งของข้ากับบิดาเจ้า?”
ภายใต้สถานการณ์กระอักกระอ่วน เฟิงฮูหยินน้อยทำได้เพียงค่อยๆ บอกเรื่องที่นางคอยกังวลให้มารดาฟัง
เฟิงฮูหยินฟังจนจบก็ไม่เห็นด้วย นางรู้สึกว่าอำนาจของตระกูลเฟิงจะเทียบเท่าบุตรีอนุภรรยาของเหยาหย่วนจือได้อย่างไร ดังนั้นจึงแสยะยิ้ม “ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงต่างก็ลือว่าบุตรีอนุภรรยาคนนี้ของเหยาหย่วนจือเหมือนเทพเจ้าลงมาสู่โลกมนุษย์ไม่มีการใดที่นางทำไม่ได้ ข้ามองว่าคงไม่จำเป็น!”
เฟิงฮูหยินน้อยถอนหายใจอย่างจนใจ “ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร ตอนนี้ชีวิตของบุตรีก็คือนางที่เป็นคนช่วยไว้ ตอนนั้นหมอหลวงจางในสำนักหมอหลวงยังบอกให้เตรียมจัดพิธีศพไม่ใช่หรือไร”
“นี่ก็ถือว่านางช่วยชีวิตเจ้าแล้วหรือ หากนางมีปัญญาก็รักษาโรคของเจ้าให้หายดี แล้วให้เจ้ามีชีวิตจนถึงตอนแก่เฒ่าสิ เช่นนี้ข้าถึงจะยอมเชื่อใจนาง!”
“ท่านแม่!” ฮูหยินท่านซื่อจื่ออุทานอย่างอดไม่ได้ “มีหลักเหตุผลที่ว่าสามารถรักษาโรค ทว่าไม่สามารถเยียวยารักษาชีวิตได้ ตอนนี้ข้าเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นเทพเจ้าก็คงไม่มีปัญญาช่วยข้า”
ลู่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ น้ำตาจึงไหลรินอีกครั้ง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “อย่างไรตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่มาพูดอะไรเยี่ยงนี้ ทุกอย่างก็ให้ข้ากับท่านพ่อของเจ้าเป็นคนตัดสินใจเถอะ เจ้าแค่บำรุงฟื้นฟูร่างกายอย่างสบายใจก็พอ”
“เช่นนั้นคุณหนูเหยา…” เฟิงฮูหยินน้อยยังอยากจะเกลี้ยกล่อมให้มารดาสนับสนุนการตัดสินใจของตนเอง
“แม่บอกแล้ว ตอนนี้ห้ามพูดถึงคุณหนูเหยาอะไรนั่นอีก!” เฟิงฮูหยินไม่อยากฟังคำพูดของบุตรีตั้งแต่แรก ทั้งยังชักสีหน้าแล้วพูดด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าดึงดันทำตามใจตนเองโดยไม่รับฟังข้อเสนอของผู้อื่น!”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ในเรือนกระจกในบ้านนาน้อยวัวจวูแถวชานเมือง กำลังดูการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพร ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นวาบตรงแผ่นหลัง แล้วจามสองที
“คุณหนูเจ้าคะ ข้างนอกอากาศหนาว รีบสวมใส่หมวกกันลมเถอะเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรีบเดินเข้ามาดึงหมวกกันลมที่อยู่ตรงเสื้อคลุมของเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้น
“ไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “ข้าอ่อนแอมากเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใด”
ระหว่างที่เอ่ยพูด เหยาเยี่ยนอวี่ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่หม่นหมอง แล้วอุทานด้วยเสียงเบา “ดูท่าแล้วหิมะคงตกอีกครั้ง”
ชุ่ยเวยพยักหน้าแล้วตอบกลับ “อืม ดูท่าแล้วหิมะคงจะใกล้ตกแล้ว คืนนี้คุณหนูยังจะกลับเมืองหลวงหรือไม่ หากหิมะตกขึ้นมาจริงๆ ถนนหนทางนี้คงจะเดินทางลำบาก”
“หิมะตกกระหน่ำจนปกคลุมภูเขานี่แหละถึงจะดี ข้าจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขและเป็นอิสระ จะกลับไปทำอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะอย่างดีใจแล้วเดินกลับไป
นางไม่อยากกลับเมืองหลวง ทางที่ดีที่สุดก็คือนางจะได้พักอาศัยอยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวูไปตลอดกาล วันๆ ก็อ่านตำราแพทย์ไป ทำวัตถุดิบปรุงยาไป หากมีเวลาว่างก็ยังสามารถทำตามท่าที่ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงตามที่จารึกไว้ใน ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ และละทิ้งเรื่องวุ่นวายที่กวนใจไว้ข้างๆ อีกทั้งยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายจนเกินไปอีกด้วย!
“พวกเราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ไม่รู้ว่าคุณชายรองจะคอยกังวลและเป็นห่วงคุณหนูหรือไม่”
“ข้ามีอะไรให้น่าเป็นห่วง ข้ากินอิ่มนอนหลับอยู่ที่นี่ แล้วจะให้ใครคอยกังวลอีก ข้าไม่อยู่ พี่รองจะได้ตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ ผ่านเทศบาลตรุษจีนไปจะได้ไปสอบคัดเลือกขุนนาง”
ทั้งนายและบ่าวต่างก็เดินไปด้วยและพูดคุยเล่นไปด้วย หลังจากกลับถึงเรือนหลัก ในเรือนหลักก็ได้เผาเตาผิงไว้ตั้งนานแล้ว พอเข้าประตูมาก็ได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่อบอุ่น ทำให้ใบหน้าของทั้งสองที่ถูกลมเย็นพัดได้ผิงไฟจนหน้าแดงระเรื่อเหมือนดั่งแอปเปิลเปลือกแดง
เหยาเยี่ยนอวี่ร้องคำว่าร้อนไม่หยุด จากนั้นก็รีบถอดเสื้อคลุมออก แล้วถอดเสื้อกันหนาวขนหนูสีเทาลง ทว่าก็ถูกเฝิงหมัวมัวดึงไว้ “คุณหนูอย่าถอดไวเช่นนี้สิ ระวังจะสะท้านหนาวนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นเช่นไร ในเรือนร้อนขนาดนี้” เหยาเยี่ยนอวี่ที่หัวดื้อจึงแกะกระดุมเงินของเสื้อกันหนาวตัวยาวพลางถอดออก เหลือแค่เพียงเสื้อแขนยาวผ้าไหมและกางเกงเท่านั้น จากนั้นนางก็เหยียบรองเท้าผ้าไหมปักลายดอกไม้แล้วเดินเข้าไปในเรือนนอน
เฝิงหมัวมัวรีบเก็บเสื้อผ้าแต่ละตัวของนางขึ้นแล้วเอาไปแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อ ไม่ตงยกน้ำแกงเป็ดตุ๋นกับซาเซินและเง็กเต็กที่ตุ๋นไว้แต่เนิ่นๆ เข้ามาหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ถือด้วยสองมือแล้วยื่นให้ตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วคลายยิ้ม “คุณหนูดื่มน้ำแกงร้อนๆ อบอุ่นร่างกายหน่อยเจ้าค่ะ บ่าวใช้วิธีที่คุณหนูบอก ใช้หม้อดินแดงตุ๋นมาครึ่งวัน กลิ่นหอมมากเลยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รับมาแล้วชิมดูหนึ่งคำ จากนั้นพยักหน้า “อืม ไม่เลว ตุ๋นเยอะหรือไม่”
ไม่ตงตอบกลับ “เยอะมากเจ้าค่ะ ยังมีเหลือไว้ให้คุณหนูดื่มในวันพรุ่งนี้ได้อีกเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “คงไม่จำเป็น ดูเหมือนพวกเราจะไม่ได้ยากจนขนาดนี้ใช่หรือไม่ เจ้าไปแบ่งน้ำแกงให้ทุกคน เฝิงหมัวมัวและพวกเจ้าก็ดื่มกันด้วย วันนี้อากาศเช่นนี้ ดื่มน้ำแกงดีต่อสุขภาพร่างกาย”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” ไม่ตงจึงยกถาดออกไปด้วยความดีใจ
เฝิงหมัวมัวคลายยิ้ม “คุณหนูใจกว้างกับบ่าวไพร่มากเกินไปแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้า “พวกเขาทุกคนล้วนเป็นเด็กที่ยังไม่โต อีกอย่างหมัวมัวก็อายุมากแล้ว แล้วยังต้องปรนนิบัติรับใช้ข้าตลอดทั้งวันก็ย่อมลำบาก กินหรือดื่มอะไรพวกนี้หน่อยไม่เป็นอะไรหรอก ข้าไม่ถึงกับดุร้ายใจจืดใจดำเพียงนั้น”
ชุ่ยเวยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงเข้ามา เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นน้ำแกงที่ดื่มไปครึ่งหนึ่งให้นาง ยัยสาวใช้คนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แม้แต่ถ้วยยังไม่เปลี่ยน ยกดื่มเลยทีเดียว
เฝิงหมัวมัวเห็นจึงคลายยิ้มอีกครั้ง “ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีวินัยแล้ว ถ้วยชามของนายหญิงเจ้ายังใช้?”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพูด “นางไม่รังเกียจสิ่งที่ข้าเคยใช้ก็พอแล้ว”