ทันใดนั้น ทุกคนต่างก็แย้มยิ้ม เฝิงหมัวมัวสั่งให้คนมาตั้งโต๊ะเตี้ย แล้วสั่งให้คนยกอาหารมื้อเที่ยงเข้ามา
หลังจากที่กินมื้อเที่ยงเสร็จ หิมะก็ตกอย่างที่คาด เกล็ดหิมะมากมายฟุ้งกระจายกลางอากาศและร่วงหล่นลงสู่พื้นดุจดั่งปุยขาวของเมล็ดหลิว เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป[1]บนพื้นก็ปกคลุมไปด้วยหิมะอันขาวสะอาด
“หิมะตกหนักมาก!” เหยาเยี่ยนอวี่เปิดหน้าต่างให้เป็นช่องโหว่แล้วมองไปข้างนอก พอสายลมเย็นเฉียบพัดโชยเข้ามา ทำให้นางรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
ชุ่ยเวยเปิดเผาผิง แล้วเพิ่มถ่านเข้าไป จากนั้นก็พูดขึ้น “หิมะตกครั้งนี้ พวกเราคงไม่สามารถออกเดินทางอย่างน้อยสามสี่วันแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม ประเดี๋ยวบอกพ่อบ้านในบ้านนา ให้พวกเขาเฝ้าระวังเรือนเก่าพวกนั้นด้วย อย่าให้หิมะตกทับจนพังทลาย” ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่อาศัยอยู่ในเจียงหนานตลอด ไม่รู้ว่าหิมะตกทับถมบ้านเรือนจนพังทลายเป็นอย่างไร นี่ก็เพิ่งได้ยินหันหมิงชั่นและซูอวี้เหิงเล่าเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าปีที่แล้วในเขตชานเมืองของเมืองอวิ๋นเกิดภัยพิบัติหิมะ มีเรือนที่พักอาศัยของชาวบ้านมากมายถูกหิมะตกทับจนพังทลาย เป็นเหตุทำให้ไม่มีที่พักอาศัย ทำให้ชาวบ้านบางคนหนาวจัดจนตัวแข็งตาย
“ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเวยกลับไม่เคยได้ยิน ทันใดนั้นนางจึงตกตะลึงยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “ข้าได้ยินพี่หันบอก และเหิงเอ๋อร์ก็บอกว่าปีที่แล้วไม่เพียงแต่บ้านเรือนของชาวบ้านที่ถูกหิมะทับถมจนพัง แต่ยังมีคนแข็งตายเพราะหิมะอีก”
“คงไม่ทันการแล้วสิ บ่าวจะรีบไปบอกพวกเขาประเดี๋ยวนี้” ชุ่ยเวยได้ยินจึงไม่กล้าชักช้า นางรีบเอาผ้าคลุมขนหนูสีเงินมาปกคลุมตรงไหล่ จากนั้นก็สวมใส่เสื้อคลุมของตนเอง แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างใจร้อน
เหยาเยี่ยนอวี่มองสาวใช้ที่สวมใส่ชุดคลุมฟู่ต้วนสีเขียวต้นหอม ฝีเท้าก้าวอย่างว่องไว บนพื้นหิมะอันขาวสะอาดมีรอยฝีเท้าขนาดเล็กที่เป็นแนวยาวประทับอยู่ จึงทำให้นางอดยิ้มไม่ได้
ทีแรกก็นึกว่าหิมะตกกระหน่ำแล้วปิดประตูใหญ่ไม่ต้อนรับแขก จะทำให้นางได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายวัน ใครจะไปรู้ว่านางคิดผิดไป
พอเห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดลง หิมะก็ตกลงมาอย่างกระหน่ำทำให้ทับถมพื้นดินหนาราวๆ สามนิ้ว ตรงลานด้านหน้ากลับมีเสียงตะโกนดังขึ้น เหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังอ่านตำราจึงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ แล้วสั่งชุ่ยเวย “ไปดูตรงด้านหน้าว่าพวกเขากำลังตะโกนเรียกอะไรกันอยู่”
ชุ่ยเวยตอบกลับแล้วลุกขึ้น นางยังไม่ทันได้ใส่เสื้อขนฟู ไม่ตงก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนูเจ้าคะ! คุณชายรองมาเจ้าค่ะ! แล้วยังมี…ท่านซื่อจื่อแห่งจวนติ้งโหวมาด้วยเจ้าค่ะ บอกว่าจะมาพาคุณหนูกลับเมืองหลวงไปดูอาการฮูหยินท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงมาหาถึงที่นี่ได้” หรือว่าฮูหยินท่านซื่อจื่อเป็นอะไรขึ้นมาอย่างกะทันหันอีก
“คุณหนู ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ชุ่ยเวยไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร นางรู้สึกว่านายหญิงของตนมีจิตใจงดงาม ท่านซื่อจื่อมาเชิญถึงที่ นางต้องไม่สามารถปฏิเสธแน่นอน ทว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ หากรีบเดินทางจากที่นี่ไปเมืองหลวงก็ยังมีระยะทางอีกสิบกว่าลี้ อีกอย่างฟ้าก็กำลังจะมืด…
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งเงียบไป สุดท้ายหัวใจของแพทย์ก็ไปตามลม จึงสั่งการชุ่ยเวย “เก็บข้าวของ เตรียมตัวออกเดินทาง” จากนั้นนางก็สวมใส่ชุดหรู่ขนหนูสีเงินที่มีปลอกคอและมีแขนเสื้อด้านบนที่แคบ จากนั้นก็ตามด้วยชุดคลุม แล้วสวมใส่รองเท้าหนังกวางอันแสนอบอุ่นพลางเดินไปข้างหน้า
จริงๆ แล้ว เหยาเหยียนอี้ก็ไม่อยากให้น้องรองต้องลำบาก ทว่าก็เจอกับซูอวี้ผิงที่ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุด แล้วบอกว่าต้องเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไปจวนติ้งโหวอีกครั้งให้ได้
นั่นมันก็จริง ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันเพียงวันเดียว ความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นไปหนึ่งร้อยปี ซูอวี้ผิงและเฟิงฮูหยินน้อยเป็นสามีภรรยากันมาเจ็ดแปดปีแล้ว ถึงแม้ความสัมพันธ์จะไม่ลึกเท่ามหาสมุทร ทว่าก็ไม่สามารถปล่อยให้ภรรยานอนรอความตายอยู่บนเตียงอย่างนิ่งดูดายได้
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รอให้ซูอวี้ผิงกล่าวอันใด แค่พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ท่านซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องมากความ อารมณ์ความรู้สึกของท่าน ข้าเข้าใจดี ข้าได้สั่งให้คนไปเตรียมรถม้าแล้ว พวกเรากำลังจะกลับไป”
ซูอวี้ผิงรู้สึกดีใจกับข่าวดีที่คาดคิดไม่ถึง จึงรีบกล่าวขอบคุณไม่หยุด ภายในใจรู้สึกขอบคุณเหยาเยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก
ดังนั้น เมื่อรถม้าจัดเตรียมเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่พาเฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยขึ้นรถม้าคันหนึ่ง ชุ่ยผิง ไม่ตงและสาวใช้คนอื่นๆ ก็นั่งรถม้าอีกคัน เหยาเหยียนอี้และซูอวี้ผิงนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน ทุกคนกระจายกันนั่งรถม้าทั้งหมดสามคัน แล้วออกจากบ้านนาน้อยวัวจวูมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอวิ๋น
ในวันที่หิมะตกกระหน่ำ ถนนหนทางลื่นจึงเดินทางยากยิ่งนัก รอจนถึงประตูทางเข้าเมืองหลวงก็ถึงเวลายามสอง[2]แล้ว
ซูอวี้ผิงเอาป้ายแขวนตรงเอวของตนเพื่อสั่งให้เหล่าทหารที่เฝ้าประตูเปิดประตูเมืองหลวง เหล่าทหารก็ได้ตรวจค้นคนบนรถม้า จากนั้นถึงจะปล่อยให้รถม้าผ่านเข้ามา
ต่อให้เป็นรถม้าที่ดีเพียงใด สภาพอากาศเยี่ยงนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ข้างในอบอุ่นขึ้นมาได้ เหยาเหยียนอี้ห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมหนังแมวป่าแล้วอุทานขึ้นเป็นร้อยรอบ “ท่านซื่อจื่อ ไม่พูดไม่ได้แล้วว่าท่านกับฮูหยินช่าง…ช่างมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งดั่งมหาสมุทรจริงๆ”
ซูอวี้ผิงยิ้มอันขมขื่นแล้วตบไหล่ของเหยาเหยียนอี้ พร้อมกับเปรยขึ้น “น้องชาย เจ้าไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกบังคับ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นเช่นไร บุญคุณครั้งนี้ของน้องชายและคุณหนูรอง ข้าจะจดจำไว้ในใจ”
เหยาเหยียนอี้โบกมือ แล้วเปรยขึ้น “พวกเราก็ไม่ขออะไรอย่างอื่น แค่ขอให้น้องสาวคนโตสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างราบรื่นในจวนติ้งโหวก็พอแล้ว”
ซูอวี้ผิงพยักหน้าไม่หยุด “คำพูดของน้องชาย พี่ชายโง่เขลาคนนี้เข้าใจ! เข้าใจดี”
เหยาเหยียนอี้ก็เลิกม่านแล้วมองทิวทัศน์หิมะด้านนอก พลางอุทานขึ้น “โธ่ อากาศอย่างนี้ช่างเหน็บหนาวจริงๆ และไม่รู้ว่ารถม้าของน้องรองจะปิดได้มิดชิดจนไม่มีลมพัดเข้าไปหรือไม่ ลมพัดมาทั่วทั้งสี่ทิศเช่นนี้ อย่าได้ทำให้สตรีตัวน้อยสะท้านหนาวจนป่วยขึ้นมาเลย และช่วงเวลาเฉลิมฉลองตรุษจีน บิดามารดาก็ไม่อยู่อีก…เฮ้อ!”
ซูอวี้ผิงก็รู้ว่าคำพูดพวกนี้ของเหยาเหยียนอี้มีความพาลพาโลอยู่บ้าง โดยเฉพาะไม่ได้รับความยุติธรรม ทว่าเขากลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ อีกอย่างความจริงก็เป็นเช่นนั้น หิมะตกกระหน่ำเยี่ยงนี้ ถนนหนทางก็เดินทางได้ยาก เขาทำให้สองพี่น้องต้องเดินทางไปมาอย่างลำบากจริงๆ และตัวเขาเองก็ทำตัวไม่มีเหตุผลจริงๆ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ใครจะบ่น
อีกอย่าง คนของตระกูลเหยาก็ไม่ใช่ทหารที่อยู่ใต้การบังคัญบัญชาของซูอวี้ผิง แล้วพวกเขาจะยอมทุกข์ยากลำบากเพื่อฮูหยินของเขาได้อย่างไร พูดง่ายๆ ก็คือคนอื่นยอมมาเช่นนี้ ก็ทำเพื่อสะใภ้สามแห่งจวนโหวไม่ใช่หรือไร
ซูอวี้ผิงจึงพูดคำพูดที่เกรงอกเกรงใจออกมาบ้าง แม้กระทั่งยังรับประกันกับเหยาเหยียนอี้ว่าแค่น้องสะใภ้สามคลอดบุตรชาย เขาจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นเหมือนดั่งบุตรชายตนเอง และยังให้คำมั่นสัญญาว่าหลังจากที่เขาเติบโตจะช่วยเขาสร้างเนื้อสร้างตัว แล้วยังจะทำให้ลูกเมียของเขาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
เหยาเหยียนอี้ได้ยินคำพูดนี้จึงอดหัวเราะไม่ได้ นอกจากพยักหน้าไม่หยุดแล้ว เขาก็ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาอะไรอีก
เหยาเหยียนอี้ยังคงชื่นชมซูอวี้ผิงจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนำทหารติดตามเจิ้นกั๋วกงไปสู้รบในสนามรบ สร้างบุญบารมีและดำเนินการสืบทอดจวนติ้งโหว ซึ่งขึ้นอยู่กับการเล่นพรรคเล่นพวกโดยสิ้นเชิง ซูอวี้ผิงคนนี้เป็นคนดี อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคุณชายสามซูน้องเขยของเขามาก
รถม้าขับเคลื่อนไปถึงจวนติ้งโหว เหตุเพราะนี่เป็นกลางดึก จึงไม่สะดวกแก่การเปิดประตูใหญ่ เลยจะเข้าไปจากประตูข้าง จึงขับเคลื่อนรถม้าไปจอดลงตรงประตูสอง ซูอวี้ผิงลงจากรถม้า ข้ารับใช้ตรงประตูสองก็เตรียมเกี้ยวเบาะนุ่มไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ซูอวี้ผิงเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นเกี้ยว จากนั้นก็ให้บ่าวไพร่ยกไปที่เรือนชิงผิง
ส่วนมากแสงไฟในสวนของเรือนหลักก็ได้ดับลงแล้ว ในสวนมีแค่โคมไฟเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่ ตอนนี้หิมะก็หยุดลง ต้นไม้ดอกไม้ในสวนปกคลุมไปด้วยหิมะชั้นหนาๆ ทำให้ดูเป็นทิวทัศน์หิมะสีขาวโพลนที่งดงามยิ่งนัก
สาวใช้ชิวหุ้ยฟังคำพูดของผัวจื่อคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าประตูจนจบ ก็แอบเข้าไปในเรือนนอนของลู่ฮูหยิน ในเรือนของลู่ฮูหยินมีเพียงตะเกียงดวงเดียวที่ยังสว่างอยู่ ทว่ากลับไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น บรรยากาศด้านในเงียบกริบยิ่งนัก ลู่ฮูหยินก็ยังไม่ได้นอนหลับ ทว่ายังคงนั่งทำสมาธิอยู่ตรงหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิม
ชิวหุ้ยเรียกด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฮูหยินเจ้าคะ”
“มีเรื่องอะไร?”
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ แล้วยังพาคุณหนูรองและคุณชายรองตระกูลเหยามาด้วย พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเรือนชิงผิงเจ้าค่ะ”
“อืม ออกไปเถอะ” ลู่ฮูหยินไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น แค่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สีหน้าไม่สื่ออารมณ์ใดๆ
ชิวหุ้ยค้อมตัวลง หลังจากที่ออกจากเรือนอย่างเงียบๆ ลู่ฮูหยินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็จับจ้องไปยังรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมหยกขาวบนหิ้งด้วยความงุนงง พร้อมกับพึมพำขึ้น “พระโพธิสัตว์กวนอิมคุ้มครอง!”
[1] หนึ่งก้านธูป หน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เท่ากับเวลา 60 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
[2] ยามสอง คือ ช่วงเวลา 22.00-02.00 น.