บทที่ 83
ชัยชนะอย่างสวยงาม
หลินซีเหยียนได้ยินก็ได้เดินออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าเป็นเจ้าเมืองที่กำลังออกตรวจพื้นที่
หลังจากที่นางนั่งลง ก็มีเด็กสาวตัวน้อยในชุดสีชมพูเดินมาหานางที่ด้านล่างเวที นางร้องเรียกหลินซีเหยียนอย่างตื่นเต้น “พี่หลิน พี่จะต้องเอาชนะให้ได้นะเจ้าคะ ชีชี่เอาเงินค่าขนมไปวางเดิมพันที่พี่หมดแล้วเจ้าค่ะ”
แล้วดวงตาของหลินซีเหยียนก็เบิกกว้าง แล้วจากนั้นนางก็ได้กะพริบตาให้น้องชีชี่ ราวกับจะบอกว่าให้คอยมองดูนางให้ดี
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆแล้วในใจของนางนั้นกระวนกระวายมาก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นิ้วของนางได้วางบนเส้นบางๆนี้ แล้วนางก็ลองดีดมันเบาๆดูแต่ก็พบว่าไม่มีเสียงใดๆ
เฉิงซินหรุ่ยที่นั่งอยู่ที่นั่งของนาง ก็มองดูและคิดอย่างดูถูก “อย่างที่คิดเป็นแค่คนไร้การศึกษาไม่อาจสู้กับเราได้หรอก ดูเหมือนว่าที่เรากังวลเมื่อสักครู่จะกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ไปเลย!”
ส่วนเหล่าคนที่ไม่ได้ลงเดิมพันข้างหลินซีเหยียนนั้นก็คิดว่าตัวเองชนะแน่ แล้วพวกเขาต่างก็เผยรอยยิ้มคิดไว้แล้วออกมา เงินที่พวกเขาเสียไปในรอบก่อนนั้นจะได้ถอนทุนคืนเสียที
หลินซีเหยียนที่ลองดีดทุกเส้นอยู่สองถึงสามรอบนั้น แล้วในที่สุดนางก็ได้ผงกหัว เมื่อนางเริ่มเล่นจริงจังก็พบว่านางนั้นตะกุกตะกักเกินกว่าที่จะเล่นบทเพลงเพลงหนึ่งได้
บทเพลงของนางนั้นเงียบสงบมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการดีดพิณทีละเส้นเท่านั้นแต่ก็กลับส่งผลกับผู้คน
หลินซีเหยียนที่มองดูรอบๆก็พบว่าผู้คนนั้นต่างก็หลงใหลในเสียงดนตรี และปรากฏรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจที่มุมปากของนาง ซึ่งจริงๆแล้วบทเพลงที่พวกเขาได้ยินนั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่านางนั้นจะเล่นพิณไม่เป็น แต่นางก็สามารถสะกดจิตผู้คนได้
ซึ่งแม้แต่ท่านแม่ทัพเฒ่าและฮูหยินต่างก็ยังหลงใหลไปกับมัน มีเพียงเจียงหวายเย่ที่ยังคงมองมาด้วยสีหน้าที่ว้าวุ่นใจ แต่ความว้าวุ่นเหล่านั้นก็ได้หายไปทันทีที่สบตาเข้ากับดวงตาของหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนที่มองมาที่ดวงตาที่แจ่มใสของเจียงหวายเย่แล้ว ก็เกิดความงงงวยขึ้นในสายตาของนาง เจียงหวายเย่ที่ได้ยินการเล่นดนตรีของนางแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคงสติอยู่ได้สิ!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากำลังแข่งขันอยู่ นางคงอยากที่จะทำการศึกษาตัวของเจียงหวายเย่แล้ว อย่างไรก็ดีเจียงหวายเย่นั้นชอบทำอะไรน่าสงสัยตลอดเวลาอยู่แล้ว
แต่หลังจากที่นางลงมาจากเวทีแล้ว นางก็รู้ว่าทำไม เจียงหวายเย่นั้นยังคงครองสติไว้ได้นั้นเป็นเพราะความเจ็บปวด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องหลังจากนี้
หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้อย่างสบายใจนั้น ก็มองดูเวลาแล้วก็พบว่าน่าจะใกล้ครบเวลาแล้ว แล้วจากนางก็ได้ดีดพิณเส้นเดิมสามรอบรวด แล้วจากนั้นผู้คนต่างก็พากันฮือฮาขึ้นมา
ทั้งสองสาวต่างก็มีข้อดีเป็นของตัวเอง ซึ่งผู้คนนั้นต่างก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกสะกดจิตอยู่ พวกเขาต่างก็รู้แค่ว่าพวกเขานั้นได้ยินเสียงเพลงที่แตกต่างกันออกไปตามรสนิยมของตัวเอง
ซึ่งในรอบนี้ผลออกมาคือเสมอกัน
ซึ่งเฉิงซินหรุ่ยนั้นไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนางจึงทำได้แค่ฝากความหวังเอาไว้กับการแข่งรอบที่สามนี้ ซึ่งในรอบที่สามนี้นางจะต้องแข่งเต้นรำกับหลินซีเหยียน
ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้ตอบตกลง แล้วในขณะที่เฉิงซินหรุ่ยกับเต้นรำในชุดผ้าไหมสีแดงอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้มองมาที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “เมื่อสักครู่องค์ชายไม่ได้ยินเสียงเพลงใช่ไหม?”
แล้วดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นเชี่ยวชาญหลายด้านจริงๆ ซึ่งก็มีบางด้านที่แม้แต่เปิ่นหวางก็ยังไม่เข้าใจ”
“แล้วองค์ชายรู้สึกถึงอะไรผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่า?” หลินซีเหยียนถาม
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “หลังจากที่เจ้าดีดพิณไปได้สักพัก แล้วสติของคนอื่นๆก็ค่อยๆเลอะเลือน”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมท่านถึงยังมีสติอยู่ได้?” หลินซีเหยียนจึงได้ถามอย่างสงสัย แล้วจากนั้นนางก็ได้หมุน เจียงหวายเย่ไปรอบๆ แล้วก็พบเข็มเงินที่ยังคงปักอยู่ที่หลังคอของเจียงหวายเย่
นางจึงได้รีบดึงเอาเข็มเงินออกมาอย่างอายๆ แล้วจากนั้นก็บิดริมฝีปากของนาง “ทำไมท่านถึงไม่ดึงเข็มออกมาเองเล่า?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยสำหรับเปิ่นหวาง”
เล็กน้อย? หลินซีเหยียนก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจียงหวายเย่นั้นเคยถูกพิษรุมเร้ามาก่อน ในช่วงเวลานั้นคงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเขาอย่างมาก ในเวลานี้เองนางก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างในใจของนางแล้วตบไหล่ของเจียงหวายเย่เบาๆอย่างเห็นอกเห็นใจ
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่นาง “เปิ่นหวางนั้นเหมือนคนที่ต้องการความเห็นใจงั้นเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้มองดูสีหน้าที่ทะนงของเขา ก็ได้ยิ้มขึ้นมาและส่ายหัว “องค์ชายนั้นเป็นเทพสงคราม ข้าจึงได้ชื่นชมท่านต่างหากถึงจะมีความเห็นใจปนอยู่ครึ่งหนึ่งก็เถอะ”
เจียงหวายเย่ก็ได้เชิดหัวขึ้นสูง แล้วหลินซีเหยียนก็หัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นเช่นนั้น ทำให้นางอดนึกถึงสีหน้าที่เย็นชาของเจียงหวายเย่เมื่อวันก่อนขึ้นมา ซึ่งปกติเขานั้นมักจะแสดงอีกด้านหนึ่งของเขาให้นางเห็นเสมอ
เฉิงซินหรุ่ยนั้นร่ายรำอยู่บนเวทีโดยมีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว นั้นคือหวังให้องค์ชายเย่นั้นหันมามองดูนางบ้าง แต่ใครก็ตามที่มีวิสัยทัศน์มากพอก็จะเห็นว่า จริงๆแล้วไม่มีที่ให้มือที่สามเข้าไปยุ่งได้เลย เพราะหัวใจขององค์ชายนั้นมีเจ้าของไปนานแล้ว ไม่ว่านางจะพยายามเช่นไรก็ล้วนเปล่าประโยชน์
หลังจากที่การเต้นรำของนางจบสิ้น หลินซีเหยียนก็ได้ขึ้นมาอยู่บนเวทีแล้ว หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ไปเปลี่ยนชุดใดๆมา นางยังคงสวมชุดที่เจียงหวายเย่มอบให้นางมา ซึ่งเมื่อผู้คนเห็นชุดของนางแล้วพวกเขาต่างก็ถอนหายใจออกมา “ผ้าไหมปักลายเมฆเช่นนี้ขนาด 1 ฉื่อก็ใช้เงินมหาศาลแล้ว แล้วนี่ทำออกมาเป็นชุด ดูเหมือนว่าองค์ชายเย่นั้นจะเอ็นดูแม่นางหลินมากไปแล้ว”
“นั่นคือผ้าไหมปักลายเมฆงั้นเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ใช่ว่าผ้าไหมปักลายเมฆมันหายากมากหรอกเหรอ? หรือว่าเดี๋ยวนี้ราคามันถูกลงจนสามารถเอามาทำเป็นชุดได้แล้ว?” ผู้คนต่างก็แอบพูดคุยกัน
ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้ยินบ้างบางส่วน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชุดของนาง แต่มันก็เป็นแค่ชุดที่บางเบาและนุ่มกว่าผ้าไหมธรรมดาๆไม่ใช่เหรอ? มันจะไปมีมูลค่ามหาศาลได้อย่างไร?
ในขณะที่นางยืนอยู่บนเวทีนั้น นางก็ได้เริ่มเข้าใจถึงมูลค่าของชุดผ้าไหมปักลายเมฆขึ้นมา ซึ่งมันจะมีสีสันที่งดงามขึ้นมายามที่ต้องกับแสงอาทิตย์ แล้วเสื้อผ้าที่น่าตกใจเช่นนี้สวมใส่โดยหลินซีเหยียนนั้น ก็เป็นความสวยงามที่รวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากที่ทุกคนตื่นตะลึงกันอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้ยื่นแขนของนางออกมาแล้วและถือกิ่งไม้แท่งหนึ่ง ซึ่งดูจากท่าทางของนางแล้วก็พบว่าเป็นการรำกระบี่นั่นเอง
ด้วยเสียงดนตรีที่บรรเลงขึ้นมา หลินซีเหยียนก็ได้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผู้คนนั้นมักเคยชินกับการเต้นรำที่อ่อนโยนของผู้หญิงกัน แล้วพอจู่ๆพวกเขาได้เห็นการเต้นรำเช่นนี้พวกเขาต่างก็ตกตะลึง
ในขณะที่หลินซีเหยียนนั้นกำลังตกอยู่ในสายตาของผู้คนนั้น นักดนตรีที่กำลังเล่นดนตรีอยู่นั้นจู่ๆก็ร่วงลงไปกองที่พื้น ทำให้เกิดเสียงตื่นตระหนกขึ้นมารอบๆตัวเขา
เฉิงซินหรุ่ยก็ได้เผยรอยยิ้มที่เย้ยหยันออกมาที่มุมปากของนาง “ไร้ซึ่งเสียงเพลงเช่นนี้ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเต้นรำอย่างไร?”
“แม่นางหลินคงจะแพ้เป็นแน่แท้” มีคนที่รู้สึกเสียดายขึ้นมา เพราะพวกเขานั้นได้เดิมพันข้างของหลินซีเหยียนเอาไว้ และมีบางคนที่ทนต่อความเจ็บปวดที่เสียเงินต่อไปไม่ไหว พวกเขาก็ได้เงยหน้ามองฟ้าและตะโกน “นี่คือพระประสงค์ของทวยเทพงั้นเหรอที่จะไม่ให้ข้าชนะ? พวกท่านช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว”
แล้วก็มีเสียงฟ้าร้องตอบกลับมา แล้วคนคนนั้นก็ได้รีบพูดแก้ทันที “ข้าแค่พูดล้อเล่นน่ะ ล้อเล่น”
แต่เสียงฟ้าร้องเช่นนี้อาจจะเป็นเหมือนกับโชคช่วย ไม่นานนักท้องฟ้าก็ถูกเมฆปกคลุมและตามมาด้วยลมและฝนที่พัดมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผ้าไหมปักลายเมฆสะบัดพลิ้วไปมายามที่ต้องลม
หลินซีเหยียนนั้นยังคงไม่หยุด กลับกันนางยังคงกวัดแกว่งกิ่งไม้ในมือและเต้นรำต่อไปอย่างต่อเนื่อง แล้วในตอนนั้นเองก็มีเสียงขลุ่ยดังผ่านตัดสายลมขึ้น ซึ่งคล้อยไปตามการเคลื่อนไหวของหลินซีเหยียน
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ปรากฏซึ่งแววตาตกใจขึ้นมา และเมื่อนางหันไปมองนางก็พบเจียงหวายเย่ที่ยังสวมหน้ากากหยกอยู่และเปล่าขลุ่ยไผ่ในมือของเขา
สาวงามที่กำลังร่ายรำ และชายหนุ่มที่กำลังเปล่าขลุ่ยนั้น ภาพเช่นนี้ช่างสวยงามนักทำให้ผู้คนต่างก็ต้องกลั้นหายใจ