บทที่ 88
ยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก
ทันทีที่นางเห็นฮูหยินอวี้ เถ้าแก่จางก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เขายืนอยู่ด้านหลังฮูหยินอวี้และเริ่มฟ้อง “นายท่านขอรับ ฮูหยินขอรับ ท่านจะต้องจัดการกับคุณหนูนะขอรับ!”
“คุณหนูน่ะไม่เพียงแต่จะมาขนย้ายสิ่งของจากร้านชูย่วนอย่างไม่มีเหตุผลแล้ว! แต่นางยังทำร้ายคนของเราไปตั้งมากมายอีกด้วย!” เถ้าแก่จางร้องห่มร้องไห้ ราวกับว่าเขานั้นเจ็บปวดเหลือคณานับ
หลินซีเหยียนที่เริ่มจะทนดูไม่ไหว ก็ได้กล่าวด้วยความขยะแขยง “ไม่มีเหตุผลอย่างนั้นเหรอ? เจ้าน่าจะรู้นะว่าสินค้าของหอเจินเป่าน่ะจะมีตราประทับอยู่ แล้วข้าจะไปหยิบเอาของกลับมาส่งเดชได้อย่างไร สิ่งที่ข้าเอากลับมาทั้งหมดล้วนแต่เป็นของของข้าทั้งนั้น”
เถ้าแก่จางถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น จึงยังไม่ได้เอาตราประทับของหอเจินเป่าออกเสียก่อน
ต่อหน้าหลักฐานที่แน่นหน้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นฮูหยินอวี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องมีวาจาที่ชาญฉลาดแล้วก็ไม่อาจที่จะกลับขาวให้เป็นดำได้ ในเวลานี้นางจึงทำได้แค่หลบอยู่ด้านหลังมหาเสนาบดีหลินและหาข้ออ้าง “หอเจินเป่ากับร้านชูย่วนนั้นเดิมทีเป็นเจ้าของเดียวกัน แต่ในเวลานี้กลับแยกเป็นสองแล้ว เจ้าจึงอาจจะไม่รู้เรื่องนี้!”
คำให้การที่เปลี่ยนจากหนักให้เป็นเบาเช่นนี้จะทำให้ผู้คนเชื่อได้อย่างไร?
“ถ้ายึดตามที่ฮูหยินอวี้ว่าแล้ว การที่ข้าจะไปขนของจากร้านชูย่วนก็ไม่ผิดอะไรใช่ไหม?” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มประชดประชัน
รอยยิ้มของฮูหยินอวี้นั้นได้หายไปทันที และมหาเสนาบดีหลินก็ได้สีหน้ามืดมนทันที แล้วเขาก็ได้จ้องไปที่ฮูหยินอวี้แล้วจากนั้นก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “ข้าปล่อยให้เจ้าคอยจัดการงานในบ้าน แต่ดูซิเจ้าทำอะไรลงไป?”
ฮูหยินอวี้ตัวสั่นเครือและรีบอธิบาย “คนของท่านมหาเสนาบดีมีเยอะเกินไป ลำพังข้าคนเดียวจึงอาจตกหล่นไปบ้าง”
หลังจากที่กล่าวจบ ฮูหยินอวี้ก็ได้ก้มหัวให้หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ซีเหยียน ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย แล้วข้าจะจัดการชดใช้ให้เจ้าเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้ทำเสียง“หึ”ตอบกลับไป ในเวลานี้ ฮูหยินอวี้นั้นอับอายอย่างสุดๆ แต่เพื่อเป็นการรักษาศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดแล้วนางจึงยังไปไม่ได้”
เดิมทีมหาเสนาบดีหลินนั้นต้องการที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการดุสั่งสอนหลินซีเหยียน แต่เมื่อเห็นว่าโอกาสไม่อำนวยแล้วเข้าจึงได้ทำเป็นห่วงหลินซีเหยียนแทน “เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้ารึ?”
“กระแทกนิดหน่อยไม่นานก็หายแล้ว” หลินซีเหยียนไม่สนใจกับความเป็นห่วงของเขาเลยแม้แต่น้อย
มหาเสนาบดีหลินเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปเช่นนี้ง่ายๆ แต่ถ้าเขาดันทุรังอยู่ต่อแล้วก็รังแต่จำเพิ่มปัญหาให้เขาและทำให้เสียหน้ามากขึ้น และในขณะที่เขากำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น ซางกวนจิ่นก็ได้ออกมา
เขามองไปที่มหาเสนาบดีหลินและทักทายอย่างสุภาพ จากนั้นก็มองไปรอบๆและพอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขาจึงได้ยืนอยู่ข้างๆหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ท่านหลินนั้นเป็นถึงมหาเสนาบดีของประเทศนี้ ไม่ใช่ว่าท่านมีธุระอื่นที่จะต้องไปสะสางเหรอ?”
“คุณชายซางกวนจิ่นกล่าวถูกแล้ว ผู้อาวุโสยังมีธุระอื่นต้องไปจัดการอีกดังนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” หลังจากที่มหาเสนาบดีหลินกล่าวจบ เขาก็ได้จากไปด้วยสีหน้าที่หดหู่
หลังจากที่ทำการส่งมหาเสนาบดีหลินและพรรคพวกกลับไปแล้วนั้น ซางกวนจิ่นก็ได้เข็นรถพาหลินซีเหยียนกลับมาที่หลังร้าน และมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อบอกข้ามาตามตรงเถอะ เจ้าถูกพิษอยู่ใช่หรือไม่?”
หลินซีเหยียนก็ได้บิดริมฝีปากของนางและลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี ซางกวนจิ่นก็ได้ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่านางมีท่าทียึกยักว่าจะพูดดีหรือไม่แล้วจากนั้นก็หยิบเอาถุงสีทองออกมาจากคอเสื้อของเขา
เพราะว่าสูญเสียการมองเห็นไป ประสาทสัมผัสด้านการได้ยินและได้กลิ่นของนางจึงเพิ่มพูนมากขึ้น นางได้กลิ่นของยาลอยโชยมาในอากาศแล้วสีหน้าของนางก็ได้มีอาการตกใจขึ้นมา “นี่มันยาหุยชุน ทำไมเจ้าถึงมีมันได้?”
ยาหุยชุนนั้นเป็นยาที่ทำขึ้นมาได้ไม่ง่ายนัก มันจำเป็นต้องใช้สมุนไพรมีค่าหลายชนิด ในหลายเดือนที่ผ่านมาเจียงหวายเย่เองก็อาศัยตัวยานี้เพื่อบรรเทาอาการของพิษในร่างกายของเขาเช่นกัน
นางนั้นจำได้ว่าเมื่อก่อนนางเคยทำยานี้มาไว้สองชุด ซึ่งชุดหนึ่งอยู่กับนางและอีกชุดหนึ่งอยู่กับขอทานที่ไข้ขึ้นสูง แล้วตอนนี้มันมาอยู่ในมือของซางกวนจิ่นได้อย่างไร? หรือว่ามีคนอื่นนอกจากนางที่สามารถปรุงยาหุยชุนได้อีก?
ซางกวนจิ่นนั้นไม่เห็นว่าหลินซีเหยียนนั้นกำลังตกอยู่ในภวังค์อยู่ จึงได้เอายาหุยชุนป้อนใส่ปากหลินซีเหยียนแล้วนางก็ได้กลืนลงไปโดยไม่ทันรู้ตัว แต่ด้วยความขมของยาตอนที่ผ่านลิ้นของนางไปนั้นทำให้นางได้สติกลับมาคืนมา
“ซางกวนจิ่นยาที่มีค่ามากเช่นนี้ เจ้าให้ข้าทำไมกัน?” หลินซีเหยียนนั้นไม่ชอบที่จะเป็นหนี้บุญคุณใคร แต่นางก็ได้กลืนยานั้นลงไปแล้วนางจึงไม่อาจบ้วนออกมาคืนให้เขาได้อีก!
แล้วดวงตาของซางกวนจิ่นนั้นก็ได้เศร้าหมองลงเล็กน้อย เขามองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยานี้ข้าได้รับมาจากหญิงสาวคนหนึ่งในอดีต แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าไข้ขึ้นสูงมากจนจำไม่ได้ว่านางมีหน้าตาเช่นไร ข้าออกตามหานางมานานหลายต่อหลายปีแต่ก็ยังไม่พบนางเสียที ยานี้จึงเสมือนกับดวงใจของข้า จึงเป็นเหตุผลที่ข้าเก็บมันเอาไว้ใกล้ตัวเสมอ แต่ในใจของข้านั้นรู้สึกได้ว่ายานี้ข้าควรมอบมันให้แก่เจ้า”
หรือว่าซางกวนจิ่นจะคือขอทานที่นางเคยพบเมื่อตอนนั้น?
นางนั้นเกือบจะหลุดปากพูดคำนั้นออกมา แต่น่าเสียดายที่นางไม่สามารถบอกซางกวนจิ่นได้ว่าคนที่เขาตามหาคือนาง เพราะซางกวนจิ่นนั้นก็คงอาจจะไม่เชื่อ และตัวตนของนางในฐานะหมอผีก็จะถูกเปิดเผย
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าอาการดีขึ้นแล้วหรือไม่?” ซางกวนจิ่นมองไปหญิงสาวที่ไร้จิตวิญญาณในดวงตาของนางแต่ก็ยังคงความสง่างามอยู่ แล้วความรู้สึกคุ้นเคยในใจของเขานั้นก็รู้สึกแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้พยายามส่ายหัวและพูดกับตัวเองในใจว่า คนที่เขาตามหาอยู่นั้นคือหมอผีหาใช่แม่นางหลินไม่
เดิมทีหลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ถูกพิษหนักมาก ลำพัง ยาหุยชุนก็สามารถกำจัดพิษส่วนใหญ่ในร่างกายของนางไปได้ แต่ดวงตาของนางนั้นก็ยังไม่ฟื้นกลับคืนมาอยู่ดี
หลินซีเหยียนก็ไม่ได้รู้สึกหัวเสียอะไรกับเรื่องนี้ เพราะนางมั่นใจมากว่านางจะสามารถรักษาตัวนางเองได้แน่ จึงได้หันหน้าไปหาซางกวนจิ่นแล้วตอบ “ด้วยยาหุยชุยทำให้อาการของข้าดีขึ้นส่วนใหญ่แล้ว ที่เหลือข้าจำเป็นต้องพักผ่อน”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของซางกวนจิ่นก็ได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นหล่อเหลาดังเดิม แล้วเขาก็แสยะยิ้มบนใบหน้าของเขาและเดินเข้าไปหาหลินซีเหยียน “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าคิดที่จะแต่งงานกับเจียงหวายเย่จริงๆเหรอ?”
“ทำไมเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ยักคิ้วขึ้นมา แล้วตอบด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปากของนาง
เมื่อซางกวนจิ่นเห็นสีหน้าของนางที่ไม่เปลี่ยนไปแล้ว เขาก็รู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่มแทงใส่และผมของเขาก็รู้สึกชูชันขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจียงหวายเย่น่ะเป็นปีศาจที่กินคนทั้งตัวโดยไม่คายกระดูกนะ เจ้าจะถูกรูปลักษณ์ของเขาหลอกไม่ได้นะ”
“เขาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินซีเหยียนถามอย่างไร้เดียงสา
ซางกวนจิ่นจ้องมองไปที่นางที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว ก็ได้พูดออกมาด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ “เจ้าไม่รู้เหรอ เมื่อ 5 ปีก่อนตอนที่เจ้าหายตัวไปน่ะ เจียงหวายเย่ได้ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ตั้งมากมาย ทั้งบ้าคลั่งและไร้หัวใจ!”
หลินซีเหยียนที่ได้ยินที่ซางกวนจิ่นเล่าแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ “เจียงหวายเย่ทำอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“ในตอนที่เขาอายุ 16 ปี เขาได้นำพาทหารของเขาไปสู่สนามรบและจัดการเผาฉีซาน โดยนำพาคนไปแค่ 3,000 คนเพื่อกำจัดทหารศัตรู 30,000 คน และในตอนที่เขาอายุได้ 17 ปี เขาก็ได้กำจัดรัฐเยี่ยน เขาได้จัดการฆ่าแม่ทัพและจับกุมขุนนางร่วม 50 คน และในตอนที่เขาอายุ 18 ปี…..”
ซางกวนจิ่นที่พยายามเล่าถึงความบ้าคลั่งของเจียงหวายเย่อย่างต่อเนื่องนั้น แต่ในความคิดของหลินซีเหยียนนั้น ไม่ใช่ว่าซางกวนจิ่นนั้นกำลังเล่าถึงความสำเร็จในการรบของเจียงหวายเย่หรอกเหรอ?
ซางกวนจิ่นที่พูดเจื้อยแจ้วเองก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในเรื่องที่เขาเล่า แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เจียงหวายเย่น่ะได้เผาคนถึงตายไปตั้งมากมายและจับกุมขุนนางตั้งมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เขาน่ะเป็นพวกบ้าอำนาจชอบสั่งฆ่าคน เจ้ายังบอกว่าที่เขาทำมันยังไม่มากไปอีกเหรอ?”