เล่ห์กลจักรพรรดิ ตอนที่ 6

[บทที่ 6 เคล็ดวิชาโพธิจิต] ต่างมีเป้าหมายแอบแฝง
สำนักพิมพ์โรส

[บทที่ 6 เคล็ดวิชาโพธิจิต]
ต่างมีเป้าหมายแอบแฝง

ภายในห้องเงียบสงัด
หลังจากผ่านไปนานสองนาน ต้วนไป๋เยว่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ออกไป!”
ออกไปอะไรกัน! ต้วนเหยายังตกตะลึงอยู่กับเรื่องเมื่อครู่จนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้ในตอนนี้
อาจเป็นเพราะต้องเผชิญกับแววตาที่สุกสว่างราวกับเปลวไฟของอีกฝ่าย ต้วนไป๋เยว่จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด เลยสะบัดแขนเสื้อคิดจะเดินออกไป
ต้วนเหยารั้งเขาไว้จากด้านหลังสุดแรงเกิด
เส้นเลือดบนหน้าผากต้วนไป๋เยว่ปูดโปน
“เป็นใคร” ต้วนเหยากัดไม่ปล่อย
ต้วนไป๋เยว่ปวดหัวยิ่ง กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนถึงพลาดพลั้งได้โง่เง่าถึงเพียงนี้
“ข้าก็ว่าทำไมท่านถึงได้เป็นกังวลกับความเคลื่อนไหวในวังหลวงนัก” ต้วนเหยาคิดว่าตัวเองจับจุดได้ถูกต้องแล้ว ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าตอนนั้นพี่ชายอยากเป็นจักรพรรดิ แต่ตอนนี้ดูแล้วท่าทางจะยังมีเหตุผลอื่นอีกกระมัง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามต่อ “แต่ด้วยนิสัยของท่าน ไม่ว่าจะหมายปองใคร อย่าว่าแต่อยู่ในวังหลวงเลย ต่อให้อยู่บนเขาเซียนเผิงไหลก็น่ากลัวว่าจะยังไปหาได้ ทำไมหนนี้ถึงอดทนอดกลั้นถึงขนาดนี้ล่ะ”
ต้วนไป๋เยว่พูดไม่ออก อันที่จริงเขาก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรอยู่แล้วด้วย
ต้วนเหยากล่าวด้วยความตระหนกตกตื่น “หรือว่าท่านหมายปองหวงโฮ่ว[1]”
ต้วนไป๋เยว่ “…”
ต้วนเหยาเพิ่งจะมาฉุกคิด “ไม่ใช่สิ ไม่เคยได้ยินเลยนี่นาว่าอาณาจักรฉู่มีหวงโฮ่วด้วย”
ต้วนไป๋เยว่กำหมัดแน่น
พอต้วนเหยารู้ตัวก็ถอยหลังไปสองก้าว “ได้ ๆ ๆ ข้าไม่ถามแล้ว”
ต้วนไป๋เยว่ส่งเสียงฮึ แล้วสาวเท้าเดินออกประตูไป
ต้วนเหยาขบคิดต่อ มิน่าเล่า พอได้ยินว่าจักรพรรดิฉู่ออกจากวังก็หงุดหงิดขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะคนในดวงใจถูกพาไปด้วยแน่ ๆ เลย
อุตส่าห์ถ่อมาไกลเป็นพันหลี่ แต่กระทั่งหน้าก็ยังไม่ได้เห็น คิดแล้วก็น่าสลดหดหู่อยู่เหมือนกัน

สองสามวันต่อมา กระทั่งต้วนเนี่ยนเองก็ยังงุนงง หวังเยียกับเสี่ยวหวังเยียเป็นอะไรไป ทำไมกินข้าวก็ยังไม่ยอมกินร่วมโต๊ะกัน
ทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้ยินว่าทะเลาะกันเลยนี่นา
เดือนสี่ของเจียงหนานฝนตกโปรยปราย ทิวทัศน์ย่อมต้องงดงามเป็นธรรมดา ทว่าโคลนตมที่เกิดตามมานั้นน่ารำคาญยิ่ง ลึกเข้าไปกลางหุบเขา รอบด้านล้วนเขียวขจี เด็กหนุ่มผู้หนึ่งพร้อมตะกร้าสะพายหลังกำลังยกสองมือขึ้นป้องปากหาว เฝ้ารอว่าฝนหยุดตกเมื่อใดจะไปเก็บสมุนไพรต่อ สองแก้มนั้นขาวเนียน ดวงหน้าหมดจดงดงาม เพียงมองดูก็รู้ได้ว่าเป็นบัณฑิตผู้มีนิสัยดีงาม
“โอ๊ย…” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นมาจากด้านหลังท่ามกลางป่าเขาที่เดิมทีเงียบสงัดจึงพาให้รู้สึกหวาดหวั่น
เด็กหนุ่มตกใจจนสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปก็เห็นว่ามีตาเฒ่าผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่งราวกับขอทาน
“โอ๊ย…โอ๊ย…” พอเห็นเขาหันมา สีหน้าของตาเฒ่าก็ทวีความระทมทุกข์ขึ้นกว่าเดิม “ช่วยด้วย…”
นี่มันผีหรือว่าคนกันแน่…เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วล้วงเอากิ่งท้อชุบเลือดสุนัข[2] ออกมาจากอกเสื้อ ลองจิ้มเขาดู
ชายชรา “…”
ไม่กลายร่างแฮะ เด็กหนุ่มเก็บกิ่งไม้กลับเข้าอกเสื้อ จากนั้นก็บีบจับไปตามกระดูกและกล้ามเนื้อของตาเฒ่า พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรถึงค่อยลากมายังที่หลบฝน
“คุณชายเป็นหมอหรือ” ตาเฒ่าถาม
“อืม” เยี่ยจิ่นบดสมุนไพรที่เพิ่งเก็บมาใหม่จนละเอียด
ตาเฒ่ายื่นมือให้อย่างรวดเร็ว
เยี่ยจิ่นทามันลงไปบนข้อมือของตัวเอง
ตาเฒ่า “…”
ไม่ใช่ว่าจะเอามารักษาแผลให้ข้าหรอกเรอะ
“ดอกไม้นี่มีพิษ ข้าลองทดสอบฤทธิ์ของมันดู” จากนั้นเยี่ยจิ่นก็ล้วงยาผงขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ คราวนี้ถึงได้ช่วยทำแผลให้ “ท่านหนีภัยมาจนถึงที่นี่หรือ”
“ใช่แล้ว ๆ” ตาเฒ่าพยักหน้า “คุณชายช่างเป็นคนดีจริง ๆ ”
เยี่ยจิ่นช่วยพันแผลให้เขาจนเสร็จ
ตาเฒ่าสูดหายใจเฮือกใหญ่ เจ็บเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก “เพียงแต่ฝีมือการรักษาอ่อนหัดไปหน่อย” มือจะหักอยู่แล้วเนี่ย
“นี่ท่านกล้าหาว่าฝีมือการรักษาของข้าอ่อนหัดงั้นเรอะ!!” พอได้ยินเยี่ยจิ่นก็ทั้งโกรธทั้งตกใจ
ตาเฒ่าไม่ทันตั้งตัวจึงถูกเขาตะโกนใส่จนปวดหัวหนึบ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะตอบ “ไม่อ่อนหัด ไม่อ่อนหัด เก่งกาจราวหมอเทวดาฮว่าถัว[3] กลับมาเกิดโดยแท้”
เยี่ยจิ่นร้องฮึแล้วล้วงขนมเปี๊ยะออกจากอกเสื้อส่งให้ตาเฒ่า “รองท้องไปก่อน รอให้ข้าเก็บสมุนไพรเสร็จแล้วค่อยพาท่านไปโรงทานในเมือง”
ตาเฒ่าผงกศีรษะพลางกล่าวขอบคุณ เห็นอีกฝ่ายยืนขึ้นปัดฝุ่นตามตัว ตรงเอวห้อยแผ่นหยกรูปใบเฟิง[4] สีเขียวเข้ม บนนั้นแกะสลักอักษร “จิ่น”เอาไว้ด้วย
เป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งในยุทธภพท่านนั้นที่เขาเล่าลือกันจริง ๆเสียด้วย…ตาเฒ่าลูบคางพลางมองดูเยี่ยจิ่นเดินจากไปด้วยความสนอกสนใจ

บนหน้าผามีดอกไม้สีแดงเข้มดอกเล็กขึ้นอยู่กระจุกหนึ่ง เยี่ยจิ่นลองปีนลงไปสามสี่รอบแล้วแต่ก็ยังไม่อาจจะคว้ามันมาได้ ถึงแม้เขาจะมีวรยุทธ์ทั้งวิชาตัวเบาก็นับว่าไม่เลว แต่หน้าผาหลังฝนนั้นทั้งเฉอะแฉะและลื่นเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่อาจที่จะชะล่าใจ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย เขาแบกตะกร้าบนหลังกลับไปยังที่หลบฝน แล้วพยุงชายชราลงเขาไป
เมืองที่อยู่ตีนเขานั้นใหญ่มาก โรงทานจึงมีอยู่ถึงสามสี่แห่ง คนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในนั้นถูกลูกหลานทอดทิ้ง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนต่างก็มีโรคเรื้อรังรักษาไม่หายติดตัวตามมา นับตั้งแต่เยี่ยจิ่นมาเก็บสมุนไพรถึงเมืองนี้ก็ได้ช่วยตรวจรักษาผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้อยู่เนือง ๆ ด้วยเหตุนี้เองผู้ดูแลโรงทานต่างพากันเคารพยกย่องเขา หนนี้พอเห็นว่าพาตาเฒ่าผู้หนึ่งมาด้วยก็รับเอาไว้ทันทีโดยไม่อิดออด ทั้งยังเตรียมผ้าปูที่นอนใหม่และแกงเนื้อไว้ให้อีกด้วยบอกว่าจะได้บำรุงร่างกาย
เมื่อส่งคนเรียบร้อยแล้ว เยี่ยจิ่นก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก เพียงปัดแขนเสื้อแล้วกลับบ้านไป เดินทางมาครั้งนี้อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังอยู่ในเมืองต่ออีกสามเดือนห้าเดือน พอหญ้าหม่าโถวขึ้นจนเต็มและเก็บได้เพียงพอเมื่อไหร่ค่อยกลับไปหุบเขาหมอเทวดาฉยงฮวา

“ท่านพี่” ที่เมืองหลวง ต้วนเหยาเคาะประตูห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง
ต้วนไป๋เยว่กล่าวเสียงต่ำ “มีอะไร”
“ข้าจะไม่ถามท่านเรื่องในวังอีกแล้ว” เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกไล่ตีออกมา ต้วนเหยาจึงป่าวประกาศอยู่ด้านนอกก่อนหนหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยผลักเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไป
ต้วนไป๋เยว่ “…”
“มีอยู่สองเรื่อง” ต้วนเหยาชูนิ้ว “พอพูดเสร็จข้าก็จะไป เรื่องแรกท่านอาจารย์ฟื้นคืนชีพอีกแล้ว”
ต้วนไป๋เยว่นวดขมับ
“แต่หนนี้ท่านไม่ได้กลับไปจวนหวัง ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปที่ไหน” ต้วนเหยากล่าว “ท่านอาสะใภ้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว แต่ก็บอกให้เราคอยสังเกตด้วย”
“เรื่องที่สองล่ะ” ต้วนไป๋เยว่ถาม
“จวนสกุลหลิวที่ท่านให้ข้าคอยจับตาดูนั่น สองสามวันมานี้เห็นแขวนโคมไฟห้อยผ้าประดับประดา บอกว่าหลิวกงจะฉลองวันเกิด” ต้วนเหยาตอบ “คนร้อยพ่อพันแม่มากมายเกินไป ห้องหนังสือก็มีคนเข้ามาคุยกันแทบจะตลอดเวลา ยากมากที่จะเตรียมรับมือกับสิ่งที่เขาคิดจะทำ”
“เพื่อฉลองวันเกิดแค่นั้นจริงน่ะหรือ” ต้วนไป๋เยว่ถาม
“บอกแน่ไม่ได้” ต้วนเหยาเจ็บแค้น “เจ้านั่นสมเป็นจิ้งจอกเฒ่าจริง ๆบางครั้งก็ไปถกกันในโรงละครมีแต่ผู้คนห้อมล้อม ด้านนอกเลยมีแต่เสียงอู้อี้ ได้ยินอะไรก็ไม่ชัด”
“ถ้าเขาไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายอะไร ไหนเลยจะกล้าหมายปองบัลลังก์” ต้วนไป๋เยว่ยิ้ม “ไม่ได้ยินอะไรมาเลยจริง ๆ หรือ”
“…นี่ท่านคิดจะทำอะไรอีก” ต้วนเหยาระแวง
“ที่ใจกลางเมืองมีโรงขับลำนำอยู่แห่งหนึ่งชื่อหอหร่านเยว่ เจ้าของหอมีนามว่ากู้อวิ๋นชวน” ต้วนไป๋เยว่มองประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ต้วนเหยาคิด อย่าได้บอกเชียวว่าเขายังเป็นคู่รักของท่านด้วยน่ะ
“หลิวกงมีลูกชายคนหนึ่งชื่อหลิวฟู่เต๋อ เป็นแขกขาประจำของหอหร่านเยว่” ต้วนไป๋เยว่กล่าว “รูปร่างหน้าตาอย่างเจ้า แต่งเนื้อแต่งตัวสักหน่อยก็ออกงานได้แล้ว”
พอต้วนเหยาได้ยินก็ตกตะลึงพรึงเพริด “ท่านกล้าเรียกให้ข้าไปรับแขกเรอะ” ระวังท่านพ่อท่านแม่จะลุกจากหลุมมาจัดการท่านนะ!
“สถานที่สูงส่ง จะไปมีการรับแขกได้ยังไง” ต้วนไป๋เยว่ส่ายหัว “อย่างมากก็แค่ให้เจ้าขับลำนำสักเพลง แถมยังทำเงินได้อีกด้วย” ฟังดูแล้วนอกจากจะไม่ขาดทุนยังได้กำไรเสียอีก
ต้วนเหยาอยากจะกดหัวพี่ชายตัวเองลงไปในไหห้าพิษ[5] เสียเหลือเกิน
ต้วนไป๋เยว่กล่าว “ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
ต้วนเหยา “…”
“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม” ต้วนไป๋เยว่ถาม
“มี” ต้วนเหยาถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าพี่ชาย “ต่อให้จวนสกุลหลิวมีใจคิดทำเรื่องชั่ว แต่ที่จะโจมตีก็คือจักรพรรดิฉู่ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับซีหนานเลยสักนิด ท่านจะยื่นมือเข้าไปยุ่งทำไมกัน”
ต้วนไป๋เยว่ตอบ “เพราะข้าชอบแส่เรื่องชาวบ้านน่ะสิ”
ต้วนเหยารู้สึกเซ็งเป็นที่สุด ตอบแบบนี้ก็ได้เหรอ
“ทำสำเร็จเมื่อไหร่จะมีรางวัลให้” ต้วนไป๋เยว่เอาผลประโยชน์มาล่อ
“รางวัลอะไร” ต้วนเหยาติดเบ็ด
“ข้าจะสอนเคล็ดวิชาโพธิจิตให้เจ้า” ต้วนไป๋เยว่ตบศีรษะน้องชายเบา ๆ
ต้วนเหยาเดือดดาล “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าท่านอาจารย์จะต้องแอบถ่ายทอดให้ท่านไปแล้ว!”
ทำไมถึงลำเอียงขนาดนี้นะ ทุกครั้งที่ฟื้นคืนชีพกลับมา คนที่ช่วยกลบดินหลุมศพให้ท่านก็คือข้าแท้ ๆ!

“เคล็ดวิชาโพธิจิต?” ณ เมืองเล็ก ๆ ในเจียงหนาน เยี่ยจิ่นกล่าวไปพลางตากสมุนไพรไปพลาง “ข้าไม่เรียน”
“หากตอนนี้คุณชายปฏิเสธ เกรงว่าภายภาคหน้าจะต้องนึกเสียดาย” ตาเฒ่ายังคงพร่ำพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด เขาอ้างว่าตัวเองชื่อไป๋ไหลไฉร่อนเร่พเนจรจากซีหนานมาจนถึงที่นี่ นับตั้งแต่อยู่รักษาตัวในโรงทานจนหายดีก็มักจะแล่นมาที่ลานบ้านของเยี่ยจิ่นอยู่บ่อย ๆ แล้วยังบอกอีกว่าตัวเองมีตำราวิทยายุทธ์ลับอยู่เล่มหนึ่ง ยอดเยี่ยมมากขนาดที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องการ
“ข้าไม่สนใจฝึกวรยุทธ์” เยี่ยจิ่นนั่งลงดื่มชา
“เป็นบุรุษแต่ไม่ฝึกวรยุทธ์ แล้วอีกหน่อยจะปกป้องคนที่รักได้ยังไงกัน” ตาเฒ่าสั่งสอนด้วยความหวังดี
เยี่ยจิ่นก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าตัวเองจะไปช่วยตัวยุ่งที่ตามตอแยไม่หยุดกลับมาแบบนี้ หากเป็นยามปกติเขาคงจะคว้าไม้กวาดขึ้นมาไล่ออกไปแล้วแต่ช่วยไม่ได้ที่คราวนี้อีกฝ่ายเป็นตาเฒ่าหัวขาวอ่อนแอขี้โรค มองดูแล้วอย่างน้อยก็น่าจะอายุเจ็ดแปดสิบได้ จะลงไม้ลงมืออะไรก็ต้องระวังไม่ให้ผิดหลักการของวิญญูชนจนเกินไปนัก เลยได้แต่ทำเป็นหูทวนลมทั้งที่ในใจหงุดหงิดแทบบ้า
พอเห็นเขายังยืนกรานปฏิเสธ ตาเฒ่าที่ถือตำราเก่าเปื่อยอยู่ในมือก็สะอึกสะอื้นไม่หยุด น้ำตาไหลนองอาบหน้า
“ก็ได้ ๆ ข้าเรียนก็ได้” เห็นเขาทำท่าเช่นนี้เยี่ยจิ่นก็ใจแข็งต่อไปไม่ไหวเขากล่าว “ขอบคุณท่านมาก”
ตาเฒ่าดีอกดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ส่งตำรา “เคล็ดวิชาโพธิจิต” ใส่มือเขา แล้วยังหยิบขนมไปจากถาดชิ้นหนึ่งก่อนที่จะยิ้มร่ากลับโรงทานไป
หนังสือในมือทั้งมันย่องทั้งเก่าเปื่อย แถมยังมีกลิ่นเหงื่อไคลอีกเยี่ยจิ่นฝืนทนถือไว้โดยไม่ปาทิ้งไป เขาดึงกระดาษที่ใช้เขียนเทียบยามารองมือก่อนจะเปิดหน้าแรกออกมากวาดตาดู คัมภีร์ฝึกจิตนี้จะช่วยให้ผู้ฝึกเพิ่มพูนกำลังภายในได้อย่างมหาศาล แต่มีข้อเสียข้อหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าจะ…
“ป้าบ!” เยี่ยจิ่นปิดหนังสือเน่า ๆ เล่มนั้นลงและก็ไม่คิดจะเปิดอ่านอีกเป็นครั้งที่สอง
วิชากำลังภายในนี้เมื่อฝึกแล้วอาจจะสูญเสียพลังหยางทำให้มิอาจหลั่งน้ำวิสุทธิ์[6] ได้ นี่มันวรยุทธ์เส็งเคร็งอะไรกัน
ไม่รู้ว่าที่เหลือบมองไปนั่นน่ะจะมีผลกระทบอะไรไหม
ถ้ารู้แต่แรกพกใบซิ่วจื่อจากทางใต้มาใส่น้ำอาบล้างซวยสักหน่อยก็ดี

ใกล้พลบค่ำ สองฝั่งคลองเริ่มมีแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏให้เห็น ฉู่เยวียนกระชับเสื้อคลุมห่อตัวพลางนั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือเหม่อมองออกไปไกล
“ฝ่าบาท” เสิ่นเชียนฟานก้าวมาข้างหน้า “เพิ่งจะได้รับสารลับจากในวังว่าตอนนี้ซีหนานหวังอยู่ในเมืองหลวง พักอยู่ที่ร้านขายแพรพรรณพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนผงกศีรษะ คล้ายกับว่าไม่มีอะไรผิดไปจากที่คาดไว้
“จะทรงปล่อยให้ทำตามอำเภอใจเช่นนี้จริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานถามด้วยความลังเลใจ
“จะเป็นการปล่อยให้ทำตามอำเภอใจไปได้อย่างไร” ฉู่เยวียนหัวเราะ “หากอยากจะปล่อยตามอำเภอใจจริง ๆ ข้าก็ไม่ยอมให้คนของเขาเข้าออกวังได้โดยง่ายหรอก”
“แต่ครั้งนี้เกี่ยวพันไปถึงจวนสกุลหลิว เป็นเรื่องใหญ่หลวงนักนะพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเชียนฟานตอบ “หากพลั้งเผลอแม้เพียงนิด เกรงว่าเจตนาจะถูกเปิดเผยจนอีกฝ่ายรู้ตัวได้” ลำบากลำบนวางแผนมาหลายต่อหลายปีก็เพื่อว่าวันหนึ่งจะสามารถขุดรากถอนโคนพวกมันจนสิ้นซาก เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้จะมอบให้…ซีหนานหวังจริง ๆ หรือ
“เรารู้ว่าควรทำอะไร แม่ทัพไม่ต้องเป็นกังวล” ฉู่เยวียนตบไหล่เขาเบา ๆ “ถ้าหากเขาทำไม่สำเร็จ คนของเราค่อยลงมือก็ได้ ยังไม่นับว่าสายไปหรอก”

________________________________________
[1] ตำแหน่งจักรพรรดินี หรือ “ฮองเฮา” ในสำเนียงแต้จิ๋ว
[2] ตามความเชื่อของคนจีน กิ่งท้อและเลือดสุนัขสามารถใช้ไล่ผีได้
[3] “ฮว่าถัว” หรือ “ฮัวโต๋” ในสำเนียงแต้จิ๋ว มีชีวิตอยู่ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น ได้รับการยกย่องเป็นหมอเทวดาด้วยฝีมือการรักษาที่เก่งกาจพิสดาร เป็นผู้คิดค้นยาชาในยุคนั้น และยังสามารถรักษาคนไข้ด้วยการผ่าตัดอีกด้วย
[4] ใบเมเปิ้ล
[5] หมายถึงสัตว์พิษทั้งห้า ได้แก่ แมงป่อง งู ตะขาบ ตุ๊กแก และคางคก
[6] หมายถึงน้ำอสุจิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ

เล่ห์กลจักรพรรดิ
Status: Ongoing
อ่านนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิเรื่องย่อ เพราะถือกำเนิดในตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ “ฉู่เยวียน” จึงต้องเดินทางหมากทุกตาด้วยความระมัดระวัง หากว่าพลาดพลั้งเพียงก้าวเดียวก็จะแพ้ราบคาบทั้งกระดาน ชันษาสิบแปดขึ้นครองราชย์ไม่ถึงครึ่งปี อวิ๋นหนานก็เกิดสงครามกลางเมือง แม้เหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักจะคิดอ่านแตกต่างกันไป แต่ทุกผู้ก็ล้วนกำลังเฝ้ารอดูว่า ตี้หวัง พระองค์ใหม่จะทรงยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าตี้หวังยังไม่ทันจะได้ลงมือ ไกลออกไปพันหลี่นั้น ซีหนานหวัง “ต้วนไป๋เยว่” ก็ได้นำทัพออกเข่นฆ่าสังหารผู้ต่อต้านเสียแล้ว ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็ปราบปรามจลาจลสงบลงได้ ภายในวังหลวงเงาจันทร์อ่อนจาง ฉู่เยวียน หยดครั่งผนึกจดหมายลับด้วยตัวเองแล้วเร่งส่งไปยังอวิ๋นหนานที่อยู่ห่างถึงแปดร้อยหลี่ “หนนี้ต้องการให้เราใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ปลายพู่กันตวัดเส้นสายลึกซึ้งทรงพลังจนแทบจะมองเห็นได้ชัดว่ายามขีดเขียนอักษรประโยคนี้ ตี้หวังผู้อ่อนเยาว์กริ้วโกรธถึงเพียงใด ต้วนไป๋เยว่ กางกระดาษออกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเพียงคำเดียวว่า “เจ้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset