ตอนที่ 701 เสี่ยวลิ่วลิ่ว เมื่อก่อนหนูไม่ได้เป็นแบบนี้……
อวี๋เยว่หานนึกไม่ถึงว่าเขาพยายามจนเอาชนะฟ่านอวี่ได้แล้ว แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเหนียนเสี่ยวมู่ซาบซึ้งใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่ลอมล่อ เขาก็รู้สึกได้ในทันทีว่าหากเขาเอ่ยปฏิเสธเสี่ยวลิ่วลิ่วตอนนี้ โอกาสที่จะสำเร็จคือศูนย์เปอร์เซ็นต์
ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะโดนสองแม่ลูกทิ้งไปอีกต่างหาก จบลงที่ว่าตนเองอาจต้องไปนอนที่โซฟาคนเดียวอย่างน่าสลด……
ดังนั้น ตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่หันมาถามความเห็นของเขา เขาจึงทำได้แต่พยักหน้าให้อย่างจำยอม
ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าแล้วอุ้มเจ้าก้อนข้าวเหนียวขึ้นมา
แต่กลับไม่รีบร้อนเดินขึ้นไปด้านบน
กลับนั่งลงบนโซฟาแล้ววางเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้บนตักของตัวเองแทน บีบแก้มยุ้ยๆ ของเจ้าตัวเล็ก แล้วก็ค่อยๆ เอ่ยพูดขึ้น
“เสี่ยวลิ่วลิ่ว ลูกจำได้ไหมว่าลูกเตรียมของขวัญไว้ให้น้องชายน้องสาว”
“……” เสี่ยวลิ่วลิ่วแสดงสีหน้างุนงง ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมปาปาถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
แต่ก็พยักหน้าลงอย่างว่าง่าย
เธอจำได้
คุณปู่พ่อบ้านเก็บไว้ให้เธออย่างดีแล้ว เก็บไว้นานเท่าไหร่ก็ไม่เสีย
อวี๋เยว่หานเห็นเธอพยักหน้าจึงลูบไปที่ศีรษะของเธออย่างรักใคร่ แล้วเอ่ยต่อ
“แล้วลูกอยากมีน้องชายน้องสาวเร็วๆ หรือเปล่า”
“อยาก!” ครั้งนี้ เสี่ยวลิ่วลิ่วตอบอย่างรวดเร็ว
ดวงตากลมโตทั้งสอง ขณะนี้มีแววเปล่งประกายขึ้น
ดวงตาสีดำสนิทมีแววแห่งการรอคอย
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าของอวี๋เยว่หานก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับรู้สึกถึงชัยชนะ
พยายามสะกดอารมณ์เอ่ยพูดออกไป
“ถ้าอยากได้น้องชายน้องสาวก็ต้องเรียนรู้ที่จะนอนคนเดียวเหมือนก่อนหน้านี้ ลูกทำได้ใช่ไหม”
“……” เสี่ยวลิ่วลิ่วใบหน้าจิ้มลิ้มรูปไข่สีอมชมพูมีแววอึ้งงันไป
ราวกับไม่เข้าใจว่าการอยากได้น้องชายน้องสาวเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องนอนคนเดียว
คิดอยู่พักหนึ่ง จึงเงยหน้ารูปไข่ขึ้น
“งั้นพรุ่งนี้หนูค่อยนอนคนเดียว วันนี้หนูจะนอนกับหม่าม๊า”
พูดเสร็จก็ไถลลงจากตักของอวี๋เยว่หาน วิ่งไปหาเหนียนเสี่ยวมู่ จูงมือของเธอเอาไว้แล้ววิ่งขึ้นไปด้านบนอย่างอารมณ์ดี
ทิ้งอวี๋เยว่หานที่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้เอาไว้
คิดอย่างไรก็นึกไม่ถึงเลยว่าคนอย่างเขาจะมีจุดจบแบบนี้……
ตอนนี้เด็กอายุสามขวบมันหลอกยากขนาดนี้เลยหรือไงนะ
ต่างก็พูดกันว่าลูกสาวเป็นแก้วตาดวงใจของคนเป็นพ่อ ทำไมพอมาถึงเขามันถึงไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ
เสี่ยวลิ่วลิ่ว เมื่อก่อนลูกไม่ได้เป็นแบบนี้นะ……
อวี๋เยว่หานหน้าคล้ำ กำลังจะเดินตามขึ้นไปด้านบน จู่ๆ พ่อบ้านก็เดินมาหาเขาแล้วเอ่ยรายงาน “คุณชายหานครับ เหมือนว่าบริษัทตระกูลถังจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นครับ”
“……” ฝีเท้าของอวี๋เยว่หานชะงักไป ขมวดคิ้วขึ้น
หันไปมองทางพ่อบ้าน
พ่อบ้านรีบเอ่ยอธิบาย “เมื่อครู่ได้รับรายงานว่าประธานถังไม่ได้เข้าไปบริษัทหลายวันแล้ว คนในตระกูลถึงก็หาตัวเขาไม่เจอ ตอนนี้ทุกคนกำลังโวยวายอยากจะประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเปลี่ยนประธานบริษัทครับ”
“ถังซือหยวนไม่มีทางหายตัวไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ สืบหาหรือยังว่าเขาอยู่ที่ไหน” ดวงตาดำขลับของอวี๋เยว่หานหลุบลง พลางเอ่ยถาม
“สืบแล้วครับ แต่ว่า……” พ่อบ้านเหมือนจะเอ่ยพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เมื่อสบกับสายตาไม่พอใจของอวี๋เยว่หานจึงต้องรีบอธิบาย
“อยู่ที่โรงพยาบาลครับ ข่าวที่พวกเราได้รับมา ที่ประธานถังหายตัวไปในช่วงนี้ก็เพราะเขาสลบหมดสติไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปได้กำชับเอาไว้ว่าห้ามกระจายข่าวให้ใครรู้”
โรงพยาบาล……
ใบหน้าเย็นชาของอวี๋เยว่หาปรากฏความซับซ้อนขึ้นแวบหนึ่ง
สวมเสื้อคลุมกันลมที่กำลังจะถอดออกเข้าไปใหม่อีกรอบ “เตรียมรถ ไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย”
พ่อบ้านได้สติก็รีบให้คนไปขับรถมา
ตอนที่ 702 ติ้ง! คนปากเสียปรากฏตัว
โรงพยาบาลตอนกลางดึก ทั้งเงียบสงบทั้งเย็นเยือก
กลิ่นยาของโรงพยาบาลที่ลอยฟุ้งเต็มไปหมด ทำเอาอวี๋เยว่หานต้องขมวดคิ้ว
เสื้อคลุมกันลมตัวยาวสื่อให้เห็นถึงรูปร่างสง่างามสูงโปร่งของคนใส่
ใบหน้างามสมบูรณ์แบบสะท้อนความเย็นชาออกมาภายใต้แสงจันทร์ เสมือนภาพวาดที่ถูกวาดด้วยน้ำหมึกสูงส่งจนไม่อาจลบหลู่ได้
ชายหนุ่มเดินไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังห้องพักฟื้นวีไอพี
ยังไม่ทันจะเดินไปถึงหน้าประตู บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็หันมามองทางเขาอย่างตระหนก
เมื่อจำได้ว่าเป็นใคร สีหน้าก็แสดงความประหลาดใจออกมา
อยากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็นึกถึงสิ่งที่บอสของตัวเองกำชับเอาไว้ได้
จึงพยายามทำตามหน้าที่ด้วยการเอ่ยเตือน “ขอโทษจริงๆ ครับคุณชายหาน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเยี่ยม บอสของเราก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมด้วยครับ”
“ถังหยวนซือกะจะรอให้ตัวเองตายก่อนแล้วค่อยให้ฉันเข้าไปรับศพหรือไง” อวี๋เยว่หานมองดูบอดี้การ์ดที่ไม่กล้าแม้แต่จะเรียก “ประธานถัง” และกลับเรียกว่าบอสแทน แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเยือกเย็น
สีหน้าของบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเปลี่ยนไปในทันที
อึกๆ อักๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
คนที่อยู่ตรงหน้าคือคุณชายหานที่น่ากลัวที่สุดในเมืองเอช
นอกจากเหนียนเสี่ยวมู่กับเสี่ยวลิ่วลิ่ว ไม่มีใครเคยเห็นด้านอบอุ่นของเขามาก่อน พอมาถึงก็พูดออกมาว่า “รับศพ” มันช่างเข้ากับนิสัยของชายหนุ่มเสียจริงๆ
อวี๋เยว่หานกวาดตามองดูบอดี้การ์ดที่ยังตัดสินใจไม่ได้ซะที กำลังจะบอกให้คนมาลากออกไป จู่ๆ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออกจากทางด้านในเสียก่อน
ผู้ช่วยที่คอยอยู่ข้างกายของถังซือหยวนเดินออกมาจากด้านใน
มองเห็นอวี๋เยว่หานก็เข้ามาทำความเคารพ “คุณชายหาน ประธานถังตื่นแล้วครับ เชิญคุณด้านใน”
“……”
ตื่นมาได้เวลาพอดีเชียวนะ
แววตาดำขลับของอวี๋เยว่หานไหววูบเล็กน้อย เม้มริมฝีปาก เดินตรงเข้าไปด้านใน
ห้องพักฟื้นวีไอพีที่กว้างขวาง สะดวกสบายและสะอาดสะอ้าน
นอกจากเตียงใบใหญ่แล้ว ก็มีเครื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกจำนวนไม่น้อย
อวี๋เยว่หานเพิ่งเดินเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียง “ติ๊ดติ๊ด” ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สายตาจับอยู่ที่ใบหน้าไร้สีเลือดของถังหยวนซือซึ่งนอนอยู่บนเตียง
ใครจะไปคิดว่า คนที่ก่อนหน้านี้ไม่นานยังปรากฏตัวต่อหน้าเขาด้วยสภาพปกติ
แต่ผ่านไปไม่ถึงสิบวัน จะดูราวกับถูกสูบเลือดไปจนหมดตัวแบบนี้
ตอนนี้นอนซมอยู่บนเตียงคนป่วย
ดวงตาคล้ำ ดูอ่อนโรยเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
ตรงบริเวณจมูกมีเครื่องช่วยหายใจสวมอยู่
เมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้ามา มุมปากของถังหยวนซือที่นอนนิ่งก็ยกยิ้มสมเพชขึ้น เอื้อมมือไปถึงเครื่องช่วยหายใจออก
“นึกไม่ถึงเลยว่า คนแรกที่หาผมเจอคือคุณ”
“ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าดึกดื่นขนาดนี้ ผมไม่นอนอยู่กับคู่หมั้นของตัวเอง แต่กลับมาที่ที่น่าขนลุกแบบนี้เพื่อดูว่าคุณตายหรือยัง” อวี๋เยว่หานลากเก้าอี้มานั่ง กวาดตาสำรวจไปบริเวณรอบๆ ห้อง
สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่สมุดจดประวัติการรักษาที่แขวนอยู่บนหัวเตียง
ดวงตาค่อยๆ หรี่แคบลง จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบสมุดนั่นมาดู
เขารู้ว่าถังหยวนซือเป็นโรคหัวใจ เป็นเรื่องที่รู้โดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว
แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่า อาการโรคหัวใจของเขามันจะร้ายแรงถึงขั้นนี้
จวบจนเขาพบว่าชายหนุ่มชอบซ่างซินขนาดนั้นแต่ทำไมกลับต้องผลักใสเธอออกไป หลังจากสืบดูจึงรู้ว่าร่างกายของถังหยวนซือร้ายแรงกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
ทุกครั้งที่อาการกำเริบ มันอาจเปลี่ยนเป็นครั้งสุดท้ายได้เสมอ
เหมือนกับที่เป็นอยู่ตอนนี้……
“อาการของคุณไม่ค่อยดีแล้ว ทำไมไม่บอกให้ตระกูลถังรับรู้” อวี๋เยว่หานถามเสียงเครียด
ชายหนุ่มหยิบสมุดบันทึกอาการไปดูอย่างรวดเร็ว ถังหยวนซือห้ามไว้ไม่ทัน
เมื่อได้ยินคำถามของอวี๋เยว่หาน แววตาของถังหยวนซือก็เปลี่ยนเป็นสงบตามเดิม
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นที่ละคำ “รออีกหน่อย อีกสองสามวันก็พอแล้ว…..”
รออีกสองสามวัน?
เขารออะไรอยู่