“ศิษย์พี่ พวกเราไล่ตามนางมาเจ็ดวันแล้ว ความเร็วของนางไม่ลดลงเลยสักนิด นี่เป็นเวทหลบหนีอะไรกันแน่ เหตุใดจึงสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนี้”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ยาเสริมพลังของข้าหมดแล้ว หากตามไปอีกต้องถูกสลัดหลุดแน่”
ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่เดือดดาลยิ่ง พวกเขาไล่ตามจินเฟยเหยามาหลายวันอย่างสุดกำลัง ก่อนหน้านี้ยังเห็นเงาร่างของนาง ตอนนี้ได้แต่มองจุดสีฟ้าเล็กๆ หนีไปข้างหน้า นึกว่าเวทหลบหนียืนหยัดได้ไม่นาน ตั้งแต่ถูกพวกเขาไล่ตามมา อย่างมากหนึ่งวันจินเฟยเหยาก็ต้องพลังวิญญาณแห้งขอดจนเวทหลบหนีหมดฤทธิ์เนื่องจากใช้ยาและศิลาวิญญาณหมด ตอนนี้ดียิ่งนัก ความเร็วของจินเฟยเหยาไม่ลดลง ยังหนีอย่างรวดเร็วดังเดิม ทว่าคนที่ใช้ยาและศิลาวิญญาณหมดกลับเป็นพวกเขา
คนหลายสิบคนที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังมาตลอด ตอนนี้เหลือเพียงศิษย์สี่คนของท่านเซียนหยวนหยางและไป๋เจี่ยนจู๋ คนอื่นๆ ต่างจากไปเนื่องจากไล่ตามไม่ทัน มีเพียงคนทั้งห้าที่ไม่ลดละ ติดตามอยู่ด้านหลังมาตลอดไม่ยอมเลิกรา
คนทั้งห้าที่รวมถึงไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกแปลกใจว่าจินเฟยเหยาใช้เวทหลบหนีอะไรกันแน่ ตั้งเจ็ดวันแล้ว พลังวิญญาณกลับยังไม่แห้งขอด หรือว่าในตัวมีน้ำเสริมพลังยอดเยี่ยมอะไร ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้ยาเสริมพลังหมดเกลี้ยงแล้ว ตอนนี้กำลังใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางเสริมพลังวิญญาณอยู่ เขามีศิลาวิญญาณรวมทั้งหมดแค่ห้าก้อน ครั้งที่แล้วถูกจินเฟยเหยาเอาไปห้าก้อน ตอนนี้ที่เก็บไว้มีไม่มาก
ในตัวคนเหล่านี้มีศิลาวิญญาณชั้นล่างไม่น้อย ทว่าหลายปีมานี้ดูดซับศิลาวิญญาณทีละก้อน จนกลายเป็นความคิดยึดมั่นไปแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าจินเฟยเหยาจะผลาญศิลาวิญญาณทีละสิบก้อน ศิลาวิญญาณชั้นล่างเสริมพลังได้น้อย ยามนี้พวกเขาต่างไม่คิดจะใช้ ปกติก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เสริมพลังวิญญาณจริงๆ จึงนึกได้ว่าศิลาวิญญาณชั้นล่างที่ใช้แทนเงินมาตลอดยังสามารถนำมาเสริมพลังวิญญาณได้
จินเฟยเหยาที่อยู่ด้านหน้าก็ไม่สบายนัก กินยาเสริมพลังราวกับลูกอม พยายามดูดซับศิลาวิญญาณราวกับไม่เสียเงิน ทำให้ภายในร่างของนางได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ทุกอย่างยิ่งรีบยิ่งช้า ดูดซับพลังวิญญาณก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นยาและศิลาวิญญาณ ก็ต้องดูดซับอย่างช้าๆ ให้กลายเป็นพลังวิญญาณและพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเอง การดูดไปใช้เลยเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนถ่ายระหว่างทาง เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างยิ่ง ต่อให้ร่างกายของจินเฟยเหยาดีเพียงใด ก็ต้องถูกศิลาวิญญาณจำนวนมากทรมานจนรับไม่ไหว
ตนเองใช้พลังวิญญาณไปมากเพียงใด นางจำไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าถุงที่เต็มไปด้วยศิลาวิญญาณในร่างใช้หมดเกลี้ยงไปเมื่อหลายวันก่อน ที่ใช้อยู่ตอนนี้เป็นศิลาวิญญาณที่ต้านิวเติมเป็นครั้งที่สิบกว่า ด้านหลังยังมีคนไล่ตามมา ทะเลทรายก็ยังบินไม่พ้น จินเฟยเหยารู้สึกว่าใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
ทว่าในขณะนี้เอง ศิษย์สี่คนของท่านเซียนหยวนหยางเลิกล้มก่อนนาง พวกเขาไล่ตามต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ไล่ตามทัน ก็ไม่มีพลังวิญญาณจะใช้เวทมนตร์ ถ้าตอนนี้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานจะโชคร้ายยิ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าด้านหลังยังมีไป๋เจี่ยนจู๋ติดตามมา ทำให้คนรู้สึกไม่วางใจอย่างมาก
คนทั้งสี่หยุดลง มองไป๋เจี่ยนจู๋บินผ่านพวกเขาไปและไล่ตามจินเฟยเหยาไปดังเดิมอย่างระแวดระวัง เห็นพวกนางบินหายลับไป ผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เกรงว่านี่จะเป็นการฆ่าล้างสำนัก ไล่ตามจนเป็นเช่นนี้ยังไม่เลิกรา มีความอดทนดีแท้”
“ศิษย์น้อง เจ้าผิดแล้ว นี่ต้องไม่ใช่บุญคุณความแค้นที่เกิดจากการฆ่าคนแน่ ข้าเดาว่าน่าจะเกิดจากความรักเสียแปดส่วน เขาต้องเคยหมั้นหมายกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นแน่ จากนั้นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นรังเกียจว่าเขาคุณสมบัติแย่ จึงยกเลิกการแต่งงาน ดังนั้นเขาจึงแค้นนางจนกลายเป็นเช่นนี้” ผู้บำเพ็ญเซียนอีกคนที่อายุมากหน่อยสั่นศีรษะปฏิเสธคำพูดของเขา ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นไม่เชื่อ ถามกลับว่า “ศิษย์พี่ คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐาน มีไม่มากนักที่ร้ายกาจกว่าคนของหอซวีชิง ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ ยังยกเลิกการแต่งงานอีก?”
ศิษย์พี่ของเขาเอ่ยอย่างดูแคลน “แต่ละคนต่างชอบไม่เหมือนกัน ถ้าผู้อื่นไม่ชอบเขาจะทำอย่างไร คนเหล่านี้หยิ่งทะนง ต้องทนไม่ได้แน่ ย่อมต้องเคียดแค้นเข้ากระดูก”
“ศิษย์พี่พูดมีเหตุผล หรือว่าสตรีผู้นี้จะชอบเจ้าหนุ่มหน้าขาวที่พลังการบำเพ็ญเพียรต่ำ ใช้การไม่ได้ แต่หน้าตาน่ามองคนนั้น ดังนั้นจึงล่วงเกินคนของหอซวีชิง” คนทั้งสี่เอ่ยอย่างเบิกบาน ไม่ต้องอดกลั้นกับคนที่ร้ายกาจกว่าตนเองอีก ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้คนอารมณ์ดี
“ไปเถอะ ไล่ตามมาตั้งเจ็ดวัน รายงานอาจารย์ว่าภารกิจเสร็จสิ้นได้”
“ไล่ตามมาเจ็ดวันก็จับคนกลับไปไม่ได้ เกรงว่าคงรายงานว่าภารกิจสำเร็จไม่ได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไล่ตามต่อสิ พวกเรากลับไปก่อน รอเจ้าพาคนกลับมา”
“ไม่ รอข้าด้วย ข้าจะกลับไปกับพวกเจ้า”
ทั้งสี่คนรุดกลับไปอย่างเร่งรีบ โลกเซียวไท่ยังมีแผนการใหญ่มากมายรอพวกเขาอยู่ มีผลประโยชน์มากมายจนนับไม่ไหว ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาที่นี่ ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้คน กลับไปอย่างมากก็ถูกอาจารย์ด่าทอนิดหน่อยเพราะผิดหวังเท่านั้น
จินเฟยเหยามองไปด้านหลังอย่างเสียใจ ผู้บำเพ็ญเซียนสี่คนจากไปแล้ว เหลือแค่ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ยังตามมาด้านหลัง นางหมดวาจา ยุ่งไม่เข้าเรื่อง เจ้าหมอนี่คิดจะเอาอย่างไรกันแน่
ที่จริงไป๋เจี่ยนจู๋ก็ใกล้จะไม่เหลือพลังวิญญาณแล้ว แค่ยังตัดใจจากไปไม่ได้ ไล่ตามมาอีกครึ่งวันอย่างไม่ยินยอม สุดท้ายก็จนหนทาง ได้แต่เบิกตามองดูแสงสีฟ้าของจินเฟยเหยาหายลับไปตรงขอบฟ้า
ในที่สุดก็พบว่าด้านหลังของตนเองไม่มีใคร จินเฟยเหยายินดีอย่างยิ่ง สลัดหลุดผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่และเจ้าบ้าไป๋เจี่ยนจู๋ได้สำเร็จ นางก็มีชีวิตชีวาขึ้น ทว่านางยังไม่หยุด ผู้ใดจะรู้ว่าคนเหล่านั้นจะไล่ตามมาอีกหรือไม่ ใช้เวทหนีไฟนรกบินต่ออีกครึ่งวัน ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ทนไม่ไหว หัวทิ่มลงไปในทราย
นอนหงายอยู่บนทราย มองดวงดาราเต็มท้องนภา จินเฟยเหยารู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่าง แม้แต่แขนยังยกไม่ขึ้น จึงนอนอยู่บนพื้นทรายจนฟ้าสว่าง นางดิ้นรนลุกขึ้น ขยับเขยื้อน ข้อต่อและกล้ามเนื้อทำให้นางเจ็บปวดแทบตายราวกับถูกเข็มทิ่ม
ตอนนี้ไม่ต้องใช้เวทหนีไฟนรก จินเฟยเหยาจึงนำพรมบินออกมาแล้วปีนขึ้นไป ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในพรมบินอย่างช้าๆ พรมบินที่แนบติดกับพื้นก็ลอยสูงขึ้นมาหนึ่งจั้งกว่า นางนอนอย่างเกียจคร้าน เพียงใส่การรับรู้เข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน คิดจะดูสภาพของสยงเทียนคุน
พอเข้าไปก็เห็นเนี่ยนซีนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว ทั้งยังบ้าบอเหมือนยามปกติ พั่งจื่อกำลังนอนน้ำลายไหลบนก้อนผลึก ส่วนต้านิวไม่รู้ว่าตั้งเตาต้มอะไรอยู่ กำลังคนในหม้ออย่างตั้งอกตั้งใจ
“ต้านิว คนที่ข้าโยนเข้ามาเมื่อหลายวันก่อนเล่า?” จินเฟยเหยาร้อนใจอยากดูสภาพของสยงเทียนคุน ถ้าเขาตายในอ่างมายาจิ่งเทียนก็โชคร้ายแล้ว
ต้านิวเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน ไม่พบเห็นร่างจริงของจินเฟยเหยา ก็เข้าใจว่าเป็นเวทมนตร์ที่ได้ยินแค่เสียงแต่ไม่เห็นร่าง ดังนั้นมันจึงนำช้อนแกงไม้ชี้ไปในหอ แล้วก้มหน้าต้มอะไรของมันต่อไป
การรับรู้ของจินเฟยเหยาเข้าไปในหอ พบว่าสยงเทียนคุนนอนอยู่บนเตียงในห้องของตนเอง ต้านิวดูแลเขาอย่างดี เช็ดคราบโลหิตบนร่างจนสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าขาดๆ ที่เต็มไปด้วยรอยเลือดเป็นชุดสตรีที่จินเฟยเหยาเตรียมไว้ สีหน้ายังขาวซีดอย่างยิ่ง ริมฝีปากไม่มีสีเลือด แต่ดูไปแล้วงดงามอย่างที่สุด ราวกับศพสาวงามที่กำลังนอนหลับใหล
ถึงแม้สยงเทียนคุนจะไม่ขยับเขยื้อน ทว่าลมหายใจมั่นคง จินเฟยเหยาใช้การรับรู้ตรวจสอบร่างกายของเขา นางอดสั่นศีรษะบนพรมบินไม่ได้ บาดแผลสามสิบกว่าแห่ง กระดูกทั่วร่างหักยี่สิบกว่าแห่ง การไหลเวียนของพลังวิญญาณในร่างผนึกตัวและไหลไม่ราบรื่น มีอันตรายอย่างยิ่ง
ก่อนที่นางเปลี่ยนไปใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลาง ได้โยนยาขั้นสามขั้นสี่เข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน ให้ต้านิวป้อนสยงเทียนคุน แต่ต้านิวและพั่งจื่อรักษาบาดแผลไม่เป็น ดังนั้นหลายวันนี้จึงไม่ได้ต่อกระดูกของสยงเทียนคุน ยาก็ป้อนเข้าปากปล่อยให้ละลายเอง
มีแค่ภายนอกที่ดูดีแบบนี้ จะมีประโยชน์อะไร พลังวิญญาณที่ผนึกตัวเหล่านั้น ถ้าไม่รีบทำให้มันเคลื่อนไหว อาจจะอุดตันชีพจรวิญญาณ ถึงตอนนั้นพลังการบำเพ็ญเพียรทั่วร่างของสยงเทียนคุนจะใช้ไม่ได้
คิดจะรักษาบาดแผลก็ต้องให้ร่างจริงเข้าไป จินเฟยเหยาไม่วางใจที่จะทิ้งอ่างมายาจิ่งเทียนไว้ข้างนอก สุดท้ายจนหนทาง นางได้แต่พาสยงเทียนคุนออกมานอกอ่างมายาจิ่งเทียน วางไว้ในพรม และเรียกพั่งจื่อให้ตื่น ให้มันออกมาเฝ้าระวังบนพรม
“อ๊บ…” พั่งจื่อไม่ยอมเดินออกมา นั่งอยู่บนพรมหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน เห็นท่าทางของมัน จินเฟยเหยาก็อดเตะไปหลายครั้งไม่ได้ โยนร่มดอกไม้ออกมาให้มัน ให้มันกางร่มดอกไม้บดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องต้องใบหน้าของสยงเทียนคุน
“ถ้าเจ้าไม่ตั้งใจทำงาน ข้าจะโยนเจ้าลงไป ให้ท่านเซียนหยวนหยางกินเจ้า” จินเฟยเหยากลัวว่าพั่งจื่อจะไม่ตั้งใจทำงานจึงขู่มัน
“เชอะ” พั่งจื่อส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน ไปหลอกเด็กเถอะ ตอนนี้มันฉลาดจนใช้คำว่าเชอะได้แล้ว ทุกครั้งล้วนแสดงความดูแคลนในใจออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้จินเฟยเหยามีโทสะแทบตาย
จินเฟยเหยาไม่พูดไร้สาระกับมันอีก เริ่มรักษาบาดแผลให้สยงเทียนคุน นางใช้พลังวิญญาณหลอมละลายกองยาที่สะสมอยู่ในท้องก่อน ชักนำน้ำยาเข้าสู่ร่างของเขา ให้ร่างกายของเขาดูดซับน้ำยาเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ จากนั้นนางก็เริ่มต่อกระดูกที่หักของสยงเทียนคุน
จินเฟยเหยาไม่เคยเรียนวิชาแพทย์ สำหรับการต่อกระดูกมีแค่ประสบการณ์ต่อกระดูกให้ตนเอง ทรมานร่างกายตนเองนั้นไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของตนเอง หักแล้วต่อใหม่ก็พอ ตอนนี้ช่วยสยงเทียนคุนต่อกระดูก ถ้าต่อกระดูกผิด แล้วเขาฟื้นขึ้นมาคอเอียงมือเบี้ยวก็น่าอับอาย จะให้กระดูกของเขาถูกหักแล้วต่อใหม่อีกครั้งไม่ได้
เนื่องจากมีความคิดเช่นนี้ในใจ จินเฟยเหยาที่เมื่อก่อนเป็นคนสะเพร่า ก็ต่อกระดูกให้สยงเทียนคุนอย่างระมัดระวัง ขยับเล็กน้อย นางก็เจ็บปวดจนเหงื่อท่วมศีรษะ การดูดซับพลังวิญญาณมากเกินไปมีผลกระทบอย่างยิ่ง
นางใช้การรับรู้กวาดมองกระดูกทั่วร่างของสยงเทียนคุนก่อน มีความเข้าใจต่อกระดูกที่หักอย่างคร่าวๆ จากนั้นเลือกกระดูกต้นขาที่ทั้งหยาบใหญ่และโดยรอบมีกระดูกไม่มากก่อน วางสองมือลงไปบนนั้น แล้วถ่ายเทการรับรู้และพลังวิญญาณเข้าไป
การต่อกระดูกง่ายดายยิ่ง แค่ใช้การรับรู้เคลื่อนกระดูกที่หักจัดวางกลับเข้าตำแหน่งเดิม จากนั้นใช้พลังวิญญาณเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน ควบคุมระดับพลังวิญญาณให้ดี ให้กระดูกที่แตกแปะติดเข้าด้วยกัน ควบคู่กับยาและการพักฟื้น ใช้เวลาไม่กี่เดือน กระดูกที่หักก็เชื่อมกันอย่างสมบูรณ์เหมือนเดิมอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งพลังวิญญาณที่ใช้แปะติด กระดูกสามารถดูดซับไปทั้งหมด ไม่มีผลกระทบเลยสักนิด
ตำแหน่งกระดูกหักในร่างของสยงเทียนคุนมีมากเกินไป บางแห่งที่กระดูกแตกมีขนาดเท่าเมล็ดข้าว งานที่ต้องใช้สมาธิสูงแบบนี้ทำให้จินเฟยเหยาทรมานแทบตาย หักๆ ต่อๆ ใช้เวลาห้าวันจึงต่อกระดูกทั้งหมดเสร็จ
ส่วนพลังวิญญาณที่อุดตันเหล่านั้น เนื่องจากยาถูกจินเฟยเหยาหลอมละลายแล้วยาเริ่มออกฤทธิ์ ปราณเริ่มโคจรอย่างช้าๆ ขอเพียงสามารถรักษาชีพจรให้โปร่งโล่ง ก็ถือว่ารักษาพลังการบำเพ็ญเพียรของเขาไว้ได้
บาดแผลชุ่มโลหิตบนร่างเหล่านั้น จินเฟยเหยาไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ทันที จึงโยนให้ต้านิวไปพันแผล ฝีมือการพันบาดแผลของจินเฟยเหยาย่ำแย่ถึงที่สุด ยังสู้กบตัวหนึ่งพันแผลไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ยอมไปร่ำเรียน