บทที่ 286 ไล่ออก
บทที่ 286 ไล่ออก
ในขณะเดียวกันนี้ หลี่หรงที่อยู่หน้าประตูแล้วและไม่ได้ยินเสียงการพูดคุยข้างใน เธอจึงเคาะประตูตามมารยาทปกติก่อนที่จะบิดลูกบิดประตูซึ่งมันทำให้ชายหญิงสองคนที่คุยกันอยู่ในห้องหยุดพูดกันในทันที
“เอ๊ะ? ทำไมถึงล็อกประตู? ในเวลางานเช้า ๆ แบบนี้จะล็อกประตูไปทำไม?”
หลี่หรงอุทานขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบว่าเธอไม่สามารถเปิดประตูเข้าไปได้
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา และก่อนที่คนข้างในห้องจะเดินมาเปิดประตู เขาก็ถีบประตูอย่างแรงจนตัวล็อกลูกบิดกระจุย!
“โครม!”
“ว้าย! พี่เขย พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย!”
หลี่หรงตกตะลึง เธอไม่นึกเลยว่าพี่เขยของเธอจะเป็นคนรุนแรงขนาดนี้
นี่ปกติที่บริษัทเครือฮ่าวหราน พี่เขยของเธอก็เปิดประตูแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?
“เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”
ถึงแม้ว่าหลี่หรงจะแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ แต่อวี้ฮ่าวหรานก็เลือกที่จะยังไม่อธิบายอะไร
อันที่จริงการที่เขาถีบประตูแค่นี้ถือว่าสุภาพมากแล้ว หากตอนนี้ไม่มี หลี่หรงอยู่ด้วยแล้วล่ะก็…เขาคงพุ่งเข้าไปในห้องและอัดคู่ชายหญิงในห้องจนกองแทบเท้าไปแล้ว
หลังจากที่ถีบประตูจนเปิดออก อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างในห้อง
“ก…แกเป็นใครกัน!”
ชายหญิงในห้องต่างตะโกนด่าอย่างฉุนเฉียวทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาในห้อง
พวกเขาไม่นึกเลยว่าจู่ ๆ จะมีคนถีบประตูห้องเข้ามาอย่างอุกอาจแบบนี้!
“หึหึ พวกแกนี่มันวางแผนกันได้แนบเนียนดีมาก ถ้าฉันไม่มาดูด้วยตัวเอง พวกแกคงทำลายบริษัทนี้จากภายในได้สำเร็จจริง ๆ”
หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่เมื่อครู่นี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่จำเป็นต้องสืบหาต้นตอของปัญหาอีกต่อไป เพราะมันชัดเจนแล้วว่าต้นตอทั้งหมดมาจากสองคนนี้!
แน่นอนว่าคู่ชายหญิงเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างแสดงสีหน้าตื่นตระหนก
“อ…อะไร? แกพูดถึงเรื่องอะไรกัน อย่ามาพูดไร้สาระที่นี่นะโว้ย! ฉันแค่กำลังคุยเรื่องแผนการพัฒนาบริษัทกับหัวหน้าฝ่ายบัญชีก็เท่านั้น!”
ชายวัยกลางคนตะคอกขึ้นก่อนเป็นคนแรก
ในขณะเดียวกัน เมื่อหญิงวัยกลางคนเหลือบไปเห็นหลี่หรงที่เพิ่งเดินตามเข้ามา เธอลุกขึ้นและตะโกนชี้หน้าอวี้ฮ่าวหรานทันที
“คุณหลี่! คุณดูสิ! ผู้ชายคนนี้เข้ามาทำลายทรัพย์สินของบริษัทเรา! เราควรเรียกตำรวจมาจับเขาโดยเร็วที่สุด!”
ในทางกลับกัน หลี่หรงกลับนิ่งเฉยไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ในตอนนี้เธอพอจะเข้าใจได้บ้างแล้วว่า พี่เขยของเธอน่าจะค้นพบอะไรบางอย่างเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงปล่อยให้เรื่องนี้พี่เขยของเธอจัดการไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคู่ชายหญิง อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะอย่างขบขันก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้คู่ชายหญิงรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
“ฉันได้ยินทุกอย่างที่พวกแกคุยกันหมดแล้ว พวกแกกำลังร่วมมือกันทำลายบริษัทนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกแกคงอาจจะลืมกันไปแล้วว่า พวกแกอาจจะยังไม่รู้ว่าฉันคือคนที่ทำให้ไอ้คู่พ่อลูกตระกูลอู๋มันพิการ! ดังนั้นต่อให้พวกแกทำได้สำเร็จ พวกแกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้งั้นเหรอ?”
“ก…แก! แกคืออวี้ฮ่าวหราน!”
ชายวัยกลางคนอุทานเสียงดังลั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา คือชายที่แทบจะทำให้ตระกูลอู๋พังพินาศ!
“ม…ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้มาจากตระกูลอู๋…”
ชายวัยกลางคนรีบปฏิเสธทันที
ทางด้านของหลี่หรงจ้องเขม็งไปที่คู่ชายหญิงทั้งสอง ตอนนี้เธอพอจะเดาอะไรบางอย่างออกได้บ้างแล้ว
หญิงวัยกลางคนเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ค่อย ๆ เขยิบห่างจากชายวัยกลางคนราวกับว่าเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อน และพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า
“ฉ…ฉันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยนะ! ฉ…ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทของคุณเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ฉันไม่ได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวเลยจริง ๆ!”
เธอรีบปกป้องตัวเอง
แต่อวี้ฮ่าวหรานนั้นได้ยินทุกอย่างหมดแล้วตอนที่อยู่หน้าห้อง ดังนั้นจึงไม่อยากจะฟังคำพูดไร้สาระของอีกฝ่ายอีกต่อไป
เขาเดินเข้าหาคนทั้งคู่ และโยนให้ลงไปนั่งที่เก้าอี้ทันที
ในขณะเดียวกัน หลี่หรงก็เอ่ยถามขึ้น
“พี่เขย ฉันควรไล่ทั้งสองคนนี้ออกจากบริษัททันทีเลยไหม?”
เธอถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำถามนี้เขาหันไปมองคู่ชายหญิงก่อนที่จะส่ายหัว “เธอไล่ผู้ชายคนนี้ออกตอนนี้ได้เลยและโยนมันออกไปนอกบริษัทซะ หลังจากนี้พี่จะแจกจ่ายข้อมูลของชายคนนี้ออกไปให้กับบริษัทที่พี่รู้จักทั้งหมดเพื่อให้เขาเข้าไปอยู่ในแบล็คลิสต์ของบริษัทอื่น ๆ ส่วนผู้หญิงให้อยู่ต่อก่อน หลังจากตรวจสอบเรื่องบัญชีทั้งหมดและได้หลักฐานเรียบร้อย เราค่อยส่งผู้หญิงคนนี้เข้าไปอยู่ในคุก”
“อืม ได้!”
หลี่หรงพยักหน้าทันที ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อ
“ผู้จัดการเจา ฉันอุตส่าห์ดูแลคุณอย่างดีมาตลอด ไม่นึกเลยว่าแท้จริงแล้วคุณมันคืองูพิษ! ไป! ไสหัวออกไปจากบริษัทของฉันได้แล้ว!”
“ค..คุณหลี่! ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว! ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะ ผมอุตส่าห์ทุ่มเทให้กับบริษัทของคุณมาหลายปี ได้โปรดให้โอกาสผมอีกสักครั้ง!!”
ชายวัยกลางคนพยายามอ้อนวอนขอร้องสุดเสียง เขาทำถึงกระทั่งลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอน กว่าเขาจะขึ้นมาถึงตำแหน่งผู้จัดการได้ เขาเหนื่อยแทบตาย แถมมันกินเวลาเกินครึ่งชีวิตของเขามาแล้วด้วย หากโดนที่นี่ไล่ออกก็คงไม่เหลืออะไร
โดยเฉพาะคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานที่จะเอาชื่อของเขาไปอยู่ในแบล็คลิสต์ของบริษัทใหญ่ ๆ หากโดนเช่นนั้น ชีวิตของเขาที่เหลือคงไม่มีทางได้นั่งตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทที่ไหนอีก เขาจะเหลือทางเลือกเดียวคือไปอยู่ในบริษัทเล็ก ๆ มาก ๆ และเป็นได้แค่พนักงานระดับล่าง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเขายอมตายซะยังจะดีกว่า!
ทว่าสีหน้าของหลี่หรงตอนนี้ไม่หลงเหลือความเมตตาตามปกติอีกต่อไป
เธอหยิบวิทยุสื่อสารที่พกติดตัวเป็นประจำตอนอยู่ในบริษัทขึ้นมาและกดปุ่มสื่อสารออกไปด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“เฮ้! ฉันหลี่หรง! แผนกรักษาความปลอดภัยส่งคนมาที่ห้องฝ่ายบุคคลด่วน!”
หลังจากออกคำสั่งไปได้สักพัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้ง 5 คนก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“คุณหลี่…มีเรื่องอะไรงั้นเหรอครับ?”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอ่ยถามขึ้นอย่างเคารพ ขณะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง
“หืม? หัวหน้าของพวกนายไปไหน?”
หลี่หรงชะเง้อมองหาหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยของเธอ แต่กลับไม่เจอ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“เขา…เขาออกไปข้างนอกครับคุณหลี่ ดูเหมือนว่าเขามีปัญหาอะไรสักอย่าง เขาบอกว่าจะกลับมาอีกภายในสองชั่วโมง เขาแจ้งเรื่องลาระหว่างวันเอาไว้เรียบร้อย”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมตอบกลับด้วยสีหน้าหวั่นกลัวเล็กน้อยว่าจะถูกตำหนิ
“เอาล่ะ เรื่องนั้นช่างมันไปก่อน ตอนนี้พวกนายช่วยฉันโยนชายคนนี้ออกไปนอกบริษัทที!”
หลี่หรงยังไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องของหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยสักเท่าไหร่ จากนั้นจึงโบกมือสั่งเจ้าหน้าที่ในห้องให้ลากตัวผู้จัดการเจาออกไป
หลังจากนั้นเมื่อห้องกลับมาเงียบลงอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่เพิ่งมาทำตำแหน่งพนักงานบัญชีด้วยสีหน้าเย็นชา
“ตอนนี้แกควรจะรีบสารภาพเรื่องทุกอย่างมาให้หมดว่าทำอะไรลงไปกับบัญชีบ้าง ไม่งั้นแล้วหากพวกฉันต้องหาหลักฐานต่าง ๆ ด้วยตัวเองซึ่งท้ายที่สุดพวกฉันจะหาเจอแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะส่งแกเข้าคุกนานกว่าที่มันจะเป็น!”