ท่องภพสยบหล้า – ตอนที่ 129 ไม่มีที่ให้กลับอีกต่อไป

บทที่ 129 ไม่มีที่ให้กลับอีกต่อไป
แผ่นดินแยกตัวออก รอยแยกแผ่นดินแต่ละทางๆ ประดุจปากมหึมา กลืนกินเหล่ามนุษย์ที่ไม่ทันตั้งตัว

และคนเหล่านั้นล้วนถูกหินหนืด ‘ย่อย’

ผู้คนบนถนนวิ่งแตกตื่น กรีดร้องคร่ำครวญ แต่ก็ไร้ซึ่งประโยชน์

ความจริงแล้ว ภาพฉากนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเมืองเฟิงหลินเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่เมืองเฟิงหลิน!

ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน แทบจะทั่วทุกที่

แผ่นดินแยกที่กินพื้นที่กว้างขนาดนี้ น่ากลัวขนาดนี้ ทางการกลับไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น!

นี่ทำให้ทั่วทั้งเขตพื้นที่เมืองเฟิงหลินเกิดการล้มตายบาดเจ็บที่สาหัสที่สุดของประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งรัฐจวงมา

ก่อนที่รอยแยกทางแรกจะปรากฏขึ้น เว่ยชวี่จี๋อยู่ในจวนเจ้าเมืองเคลื่อนไหวตั้งนานแล้ว

เขาวิเคราะห์ออกมาทันทีว่านี่เป็นมหันตภัยทำลายล้างที่แผ่ลามไปทั่วทั้งเมืองเฟิงหลิน!

เว่ยชวี่จี๋ยืนอยู่ในจวนเจ้าเมือง มองไปทางฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองแวบหนึ่ง ที่นั่นมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ลูกชายของเขา

แต่เขาก็แค่มองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น

จากนั้นร่างก็หอบม้วนด้วยลมคลั่ง มายืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองเฟิงหลิน!

นี่คือการตัดสินใจของเขา

ภัยพิบัติระดับนี้ เขาวิเคราะห์ว่าต้องเป็นฝีมือมนุษย์แน่นอน หากหาต้นตอที่ทำให้เกิดภัยพิบัตินี้ได้ทันเวลา บางทีอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง

เขาอยู่กลางอากาศ พุ่งตัวขึ้นไปยังที่สูงยิ่งขึ้น เขาจะเหนี่ยวนำลมพายุที่อยู่สูงขึ้นไปอีกมาช่วยขยายการรับรู้ของตน

ทว่า ในตอนนี้เอง เขามองเห็นดวงตาคู่หนึ่ง

ดวงตาที่มีแต่สีขาวคู่หนึ่ง

“เคี้ยกๆๆๆๆ ทั้งเมืองเฟิงหลิน ใครหน้าไหนก็อย่าได้คิดจะหนี!”

หมัดข้างหนึ่งฟาดลงมาจากฟ้า ซัดจนเขาร่วงลงมาจากฟ้าสูง!

ตูม!

เว่ยชวี่จี๋ทั้งคนถูกซัดเข้าไปในรอยแยกแผ่นดิน

อีกทั้งคนพูดยังมีทักษะยอดเยี่ยม แค่พูดก็ให้คำจำกัดความว่าการทะยานตัวขึ้นฟ้าของเว่ยยชวี่จี๋คือการหลบหนี

การจับกลุ่มช่วยเหลือที่เป็นรูปเป็นร่างทั่วทั้งเมืองเฟิงหลินแทบจะแตกกระสานซ่านเซ็นทันที

แม้แต่เจ้าเมืองยังเลือกที่จะหนี ผู้บำเพ็ญทั่วไปจะเหลือจิตต่อสู้อีกที่ไหน

เว่ยชวี่จี๋ตอนนี้ไม่สนใจอะไรมากมายแล้ว

ลมพายุกรรโชกคุ้มคลั่งผลักหินหนืดออก เขาขี่พายุลอยตัวขึ้น

น้ำเสียงแฝงด้วยความงุนงงตกใจ “ต่งเอออยู่ที่ใด ไยจึงมีผู้บำเพ็ญขอบเขตหอจตุรทิศอยู่ด้วย”

ระดับหกขอบเขตมังกรทะยาน ระดับห้าขอบเขตเบิกคลัง ระดับสี่ขอบเขตหอจตุรทิศ

หลังจากเปิดประตูสวรรค์แล้ว หนึ่งขอบเขต คือหนึ่งขั้นฟ้าดิน

ขอบเขตเบิกคลังเป็นการค้นหาขีดจำกัดสูงสุดของร่างกาย ผู้แข็งแกร่งบางคนได้มาซึ่งกลวิชาอภินิหาร

เมื่อถึงขอบเขตหอจตุรทิศ

มีหอสูงเกิดขึ้นในสี่วิญญาณสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ขอบเขตหอจตุรทิศจะเหนี่ยวนำพลังดวงดาวมาสร้างเป็นหอสี่สัตว์เทวะศักดิ์สิทธิ์ รับแสงดวงดารา เที่ยวท่องไปในขุนเขาลำเนาไพร ยิ่งมีพลังไร้จำกัด

ดังนั้นแข็งแกร่งอย่างเว่ยชวี่จี๋ก็เป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเบิกคลังเหมือนกัน แต่กลับถูกซัดร่วงจากท้องฟ้าในหมัดเดียว!

ทว่าไม่มีเสียงขานตอบ

มีเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญอื้ออึง เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวด เสียงต่างๆ นานาดังเข้ามาในหู

เมืองแห่งนี้กำลังร่ำไห้

……

แผ่นดินแยกเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คนส่วนหนึ่งตกลงไปข้างล่าง ถูกหินหนืดกลืนกินทันที คนที่เหลืออยู่ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวเหลือคณา

ด้วยพลังของถังตุน อยู่ในธรณีพิบัติระดับนี้ แทบยากที่จะรอดมาได้

โดยเฉพาะเจียงวั่งมีลางสังหรณ์อย่างรุนแรงว่า ธรณีพิบัติเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!

แต่เขาจนปัญญาแล้ว

วิชาล่องหนกระดูกขาวเป็นวิธีเดียวที่ความเร็วจะเกินขีดจำกัดของตัวเอง สามารถไปหาอันอันได้ในพริบตา

ความปลอดภัยของทั้งเมืองอะไร การสังเวยอายุขัยอะไรเขาไม่อาจไปใส่ใจได้ทั้งนั้น

เขามีเพียงตัวคนเดียว สนใจได้เพียงแค่เจียงอันอันเท่านั้น

ในเมืองแห่งนี้มีเขาความห่วงหาอาวรณ์มากมาย มีสหาย มีสหายร่วมโต๊ะ มีพี่น้อง มีอาจารย์ ผู้อาวุโสที่เคารพ…

มีอาหารอร่อยที่ชอบกิน มีทิวทัศน์ที่ชอบดู มีสุราที่ชอบดื่ม…

ในเมืองแห่งนี้มีหลิงเหอ มีเจ้าหรู่เฉิง

เจียงวั่งสามารถสู้ตายเพื่อพวกเขาได้ทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย

แต่หากชีวิตนี้สู้ตายได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาทำได้แค่เพื่อน้องสาวเท่านั้น เขากระทั่งว่าสนใจไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง

เป็นได้แค่เจียงอันอันเท่านั้น!

ในตอนที่เจียงวั่งมาปรากฏตัวที่สถานธรรมกระจ่าง พวกเด็กๆ กำลังวิ่งเตลิดตะโดนร้องไห้

อาจารย์ชราคนนั้นตะโกนดังลั่น “เด็กๆ! มาอยู่ข้างหลังข้า! มาอยู่ข้างหลังข้า!”

แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาอยู่ข้างหลังเขามีประโยชน์อะไร เขาเพียงแค่คิดไปตามสัญชาตญาณว่าตัวเองในฐานะที่เป็นอาจารย์ สมควรที่จะขวางกั้นอยู่ข้างหน้าอันตราย

ในความเป็นจริงแล้ว เขาเป็นคนแก่ไม้ใกล้ฝั่ง ไร้ซึ่งกำลังรบใดๆ ชายหนุ่มฉกรรจ์คนไหนก็ได้ล้วนสามารถผลักเขาล้มได้อย่างง่ายดาย เขาช่วยใครไม่ได้ทั้งนั้น ปกป้องใครไม่ได้ทั้งนั้น

เจียงวั่งปรากฏตัวออกมาจากแสงสีขาว เขามองเห็นใบหน้าหวาดกลัวของเจียงอันอันในสถานศึกษาได้ในทันที

“เจ้าหนุ่ม!” อาจารย์ชราสอนหนังสือคนนั้นจำเจียงวั่งได้ ตะโกนออกมาว่า “ช่วยเด็กๆ ช่วยเด็กๆ ด้วย!”

ดวงตาที่แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดถูกน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดกลบจนมิดทันที

แต่เจียงวั่งไม่มีทางเลือก

เขาทำได้เพียงแค่อุ้มเจียงอันอันขึ้นมา และคว้าตัวเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เจียงอันอันจูงมือไว้ แปลงร่างเป็นลำแสงสีขาวอีกครั้งหนึ่ง พุ่งตัวออกไปนอกเมือง!

เขาไม่กล้าหยุด หยุดไม่ได้ ไม่มีทางเลือกให้หยุด!

ความแข็งแกร่งของเขาอยู่บนพื้นฐานขอบเขตวัฏจักรดาราเท่านั้น ต่อหน้าเคราะห์มหันตภัยฟ้าดินเช่นนี้ก็ไร้กำลังโดยสิ้นเชิง

แสงสีขาวทะลุผ่านเมืองเฟิงหลิน ผ่านตำบลและหมู่บ้านที่เขาคุ้นเคยในชั่วอึดใจ จวบจนกระทั่งพุ่งออกมานอกเมืองเฟิงหลิน

ยามแสงสีขาวจางหายไป เจียงวั่งร่อนลงพื้น ข้างกายมีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่หวาดกลัวขวัญเสียสองคน

เจียงอันอันกับสหายของนาง ซ่งชิงจื่อ

นี่เป็นขีดจำกัดของความสามารถของเขาแล้ว

ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้คือทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภูเขาประจิม ข้างหลังใกล้กับเทือกเขาฉีฉาง

ตอนนี้หันกลับไปมองเมืองเฟิงหลิน ทุกสิ่งในครรลองสายตาล้วนเริ่มมีหมอกลอยตลบ

เจียงวั่งจำได้ นี่เป็นหมอกแบบที่พวกเขาได้เห็นที่ตำบลเสี่ยวหลินเมื่อตอนนั้น

หมอกที่บดบังโลกและปรโลก!

ตอนนั้น ท่ามกลางหมอกแบบนี้ที่ปกคลุม ทั่วทั้งตำบลเสี่ยวหลินไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่ ตอนนี้ขอบเขตแผ่มาทั่วทั้งเมืองเฟิงหลิน จุดจบจะเป็นเช่นไร

เขาไม่กล้าคิด

เจียงอันอันจู่ๆ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมา กอดเจียงวั่งพูดขึ้นว่า “พี่ชาย ผมของท่าน!”

เจียงวั่งดึงมวยผม ปล่อยให้ผมยาวสยายลงมาถึงได้พบว่าผมของตัวเองกระด้างหงอกขาวไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

พาเด็กสองคนพ้นไปจากเมืองเฟิงหลินในเสี้ยวพริบตา นี่เกินกว่าความเร็วที่เป็นขีดจำกัดของร่างกายเขาไปมากนัก

และค่าตอบแทนก็คือ…อายุขัยลด ผมหงอกขาว

จนถึงตอนนี้เจียงวั่งถึงจะได้สติจากความเจ็บปวดโศกเศร้าแสนสาหัส สัมผัสได้ถึงความอ่อนล้า ไร้แรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาไม่เคยมีประสบการณ์ เขาไม่รู้ว่านั่นคือความรู้สึกของ ‘ความชรา’

วัยหนุ่มสาวสามารถไม่หลับไม่นอนได้ทั้งคืน เรียน ฝึกบำเพ็ญ เป็นอิสระเสรี พลังเต็มเปี่ยม เมื่ออายุมาก เวลาไหลผ่านไป เปลือกตาหนักราวสามหมื่นจิน[1]

ชีวิตมีลักษณะที่ต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย

“…ตั้งใจย้อม สวยหรือไม่” เจียงวั่งลูบหัวน้อยๆ ของอันอัน พยายามให้ตัวเองแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่เสียงแค่หลุดออกมาจากปาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ

ความรู้สึกอ่อนล้ามีพลังแต่ไร้แรงเป็นเสียงของเขาเจียงวั่งจริงๆ หรือ เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีจริงๆ หรือ

“สวย!” อันอันพยกหน้าสุดชีวิต

เมื่อครู่นี้นางผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ของฟ้าดิน ผ่านเคราะห์ภัยครั้งใหญ่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน

ท่ามกลางความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ ได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชายที่ราวเทพลงมาบนโลก

ผ่านการพลัดพรากกับอาจารย์และสหายโดยไม่ทันได้ร่ำลา นางที่ยังเล็กนักไม่รู้ว่านั่นคือชั่วนิรันดร์ของความเป็นตาย

และผ่านการเปลี่ยนแปลงที่พี่ชายจู่ๆ ก็แก่ลงไปมาก

หันหน้าไปทางบ้าน นางก็มองอะไรไม่ชัดเหมือนกัน มีเพียงหมอกน่ารังเกียจบดบังเส้นทาง และค่อยๆ บดบังทุกสิ่ง

อย่างไรเสียนางก็เพิ่งห้าขวบ ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทุกอย่างนี้หมายถึงอะไร

นางแค่คิด พยายามไม่ให้พี่ชายเสียใจ

“สวย…” นางคว้าชายเสื้อของพี่ชายพลางเอ่ย

เจียงวั่งในตอนนี้จิตใจอ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาย่อตัวลงช้าๆ กอดน้องสาวเอาไว้ ใช้หน้าผากของตนแตะกับหน้าผากของนาง พูดอะไรไม่ออก

………………………………………………………

[1] หน่วยชั่งของจีนในสมัยโบราณ โดย 1 จิน = 0.5 กิโลกรัม

ท่องภพสยบหล้า

ท่องภพสยบหล้า

ท่องภพสยบหล้า
Status: Ongoing
อ่านนิยาย ท่องภพสยบหล้าแม้นโลกาสวรรค์เที่ยงธรรมเสมือนไร้หัวใจ ข้าจะขอใช้ใจสัตย์จริงท่องแสวงไปสุดหล้าท้าคลื่นลม

Comment

Options

not work with dark mode
Reset