บทที่ 294 : ผู้อยู่เบื้องหลัง
ไม่ไกลนัก สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่ก่อจากเลือดและเนื้อเยื่อครอบคลุมพื้นที่กินรัศมีไปหลายร้อยเมตร ลูกตาใหญ่ยักษ์ตรงกลางมันแยกออก เผยให้เห็นเนื้อเยื่อชั้นในและเส้นหนวดเปื้อนเลือด
ท่ามกลางช่องว่างของเลือดเนื้อเปื้อนเปรอะเหล่านั้น เส้นหนวดร่ายระบำราวกับแถบแสงสีขาวที่กำลังเจาะทะลุร่างมนุษย์สองคนที่ไร้ทางสู้ และบีบคอพวกเขาจนตาย แล้วเจ้าสัตว์ประหลาดก็บีบเลือดเคี้ยวเนื้อจนเกลี้ยง
มือสังหารเงาพาช่าและดรูอิดวาลลิส นี่คือสถานะเดิมของวัตถุคล้ายมนุษย์โชกเลือดทั้งสอง
สัตว์ประหลาดยักษ์ถือว่าพวกเขาเป็นอาหาร นักล่าผู้หิวโหยนี้ไม่เข้าใจความรู้สึกของอาหาร มันหยิบพวกเขาราวกับเป็นขนมปังนุ่ม ๆ ทำให้รูปร่างของพวกเขาผิดแปลกไป
ดวงตาทั้งสองของวาลลิสเหลือเพียงข้างเดียวที่ห้อยหมิ่นเหม่ออกมาจากเบ้าตา ไม้เท้าหัวหมาป่าสีทองของเขาถูกเสียบทะลุอก ร่างครึ่งหมาป่าบิดเบี้ยวผิดปกติ กระดูกสันหลังแลบออกมาจากหลังโดยสมบูรณ์ การกระทำที่ดูเหมือนดิ้นรนนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเพียงส่วนที่เหลือของเส้นประสาทของเขาที่ยังคงกระตุกตามสัญชาตญาณ
เมื่ออยู่ต่อหน้าเทพจอมปลอมระดับภัยพิบัติ วาลลิสจึงไม่อาจต่อต้านใด ๆ ได้เลย แม้แต่การแปลงร่างเพื่อหนียังทำได้แค่ครึ่งทาง แล้วเขาก็ถูกฆ่าทันที
ในตอนนี้ เจ้าขาวอ้าปากกว้างและกัดสองสามครั้ง เจ้า ‘นกพิราบ’ ที่แทบไม่แหย่ขี้ฟันนี้ก็ถูกกินจนเกลี้ยง
เมื่อเทียบกันแล้ว พาช่าที่แข็งแกร่งกว่ายังมีสติอยู่ สีหน้าของเธอทั้งสิ้นหวังและโกรธเคือง ดวงตาของเธอจ้องมองยังสัตว์ประหลาดเบื้องหน้าอย่างดื้อรั้น
แขนขารอบ ๆ เธอถูกพิษกัดกร่อนอย่างเห็นได้ชัด พวกมันกลายเป็นแอ่งหนองที่พ่นควันสีน้ำเงินดำออกมา
เส้นหนวดที่ถูกตัดออกกระเด้งกระดอนอย่างรุนแรงบนพื้น ลูกตาที่ขึ้นอย่างหนาทึบยังคงกะพริบอยู่ และพวกมันก็ส่งเสียงแหลมบาดหูราวกับว่าเป็นตัวตนที่มีจิตสำนึกอิสระ
นี่คือการบาดเจ็บที่เกิดจากการโจมตีของพาช่า พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ามือสังหารเงาผู้นี้มีความสามารถจริง ๆ
นอกจากร่างกึ่งภูตเงาที่เธอเป็นจะให้พละกำลังอันแข็งแกร่งแก่เธอและมันยังทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่แม้ร่างกายของเธอจะถูกฉีกออกจากกันด้วย
แต่นี่เป็นการยื้อเวลาที่แสนทุกข์ทรมานของเธอ
เป้าลอบสังหารของมือสังหารเงานั้นมักจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นวิธีการจึงเหมาะสมเช่นกัน
ถ้าคู่ต่อสู้ในตอนนี้เป็นยอดมนุษย์ ตอนนี้เขาคงตายไปแล้ว
แต่น่าเวทนา สำหรับตัวอ่อนเทพจอมปลอมที่มีขนาดมหึมาแล้ว พิษเหล่านี้ทำได้แค่ให้มันรู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กน้อยที่ ‘แขน’ เท่านั้นเอง…
“นี่มัน…ตัวบ้าอะไร…สัตว์ประหลาดนี่…ลูอิสตายเพราะมันเหรอ?”
พาช่าดิ้นรนอย่างอ่อนแรง ทัศนวิสัยของเธอพร่ามัว ลมหายใจรวยรินถึงขีดสุด แล้วมือทั้งสองของเธอก็ร่วงลงข้างลำตัวช้า ๆ เธอรู้สึกสิ้นหวังจากก้นบึ้งของหัวใจและยากจะยอมรับความจริงนี้ได้
เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้เลย…มีตัวตนแบบนี้อยู่ใกล้กับเป้าหมายแท้ ๆ แล้วองค์กรจะไม่ให้ข้อมูลกับผู้ที่กำลังปฏิบัติภารกิจได้อย่างไรกัน…!
องค์กรนั้นแข็งแกร่งและรอบรู้ทุกด้าน ช่างสูงส่งอย่างแท้จริงและเป็นอนาคตแห่งโลกที่ถูกต้อง…เป็นไปได้ด้วยเหรอว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ด้วย?!
ถ้าพวกเขารู้แล้วไม่ได้บอก นั่นหมายความว่าองค์กรมีเป้าหมายอยู่แล้ว นั่นคือการให้พวกเขามาที่นี่โดยจงใจ แล้วก็ไปยั่วยุร้านหนังสือ จากนั้นก็ล่อสัตว์ประหลาดตนนี้ออกมา
พาช่าเบิกตากว้าง สติสัมปชัญญะของเธอพลันกระจ่างชัด
ภาพสุดท้ายของเธอที่เห็นผ่านม่านหนวดเปื้อนเลือดที่กำลังจะ ‘ประหาร’ เธอ คือเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่คุ้นตากำลังลอยอยู่บนอากาศ
สมาชิกระดับบนที่มอบหมายให้เธอ ลูอิส และวาลลิสมาที่นี่เพื่อทำการทดสอบมือใหม่ในการทำภารกิจให้เสร็จสิ้น
สีหน้าของเขาเฉยเมยแต่มั่นใจในตัวเอง เขาทอดสายตามองเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นั่นโดยไม่ละสายตาจากสมาชิกองค์กรที่กำลังจะตาย
“อย่างนี้นี่เอง…”
พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายของพาช่าสลายไป ทว่ามุมปากของเธอกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มปลาบปลื้มกะทันหัน “นี่คือแผนขององค์กร องค์กรรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว! การตายของฉันจะเปลี่ยนเป็นใบมีดที่แหลมคม นี่คือการทุ่มเทให้กับองค์กรครั้งสุดท้าย! ด้วยชีวิตที่มีค่าของฉัน!”
“ดีแล้วล่ะ…จริง ๆ นะ”
—
คลีฟแลนด์ไม่ได้สนใจมือสังหารเงาตรงหน้าเขาที่ยังคงยิ้มเมื่อเธอตายลง
ผลการทดลองที่ผิดพลาดพวกนี้ เดิมทีก็เป็นเครื่องมือที่กำลังจะถูกทิ้งอยู่แล้ว
ใครจะมาสนใจชีวิตของพวกด้วงเงาพวกนี้ล่ะ?
ในใจเขาตอนนี้มีเพียงเจ้ายักษ์นี่เท่านั้น หลังจากเฝ้าสังเกตผลที่ได้จากการส่งเจ้าขยะทั้งสองไปลองเชิงเมื่อครู่ในระยะใกล้ชิด เขาก็ยิ่งคลั่งไคล้ในความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดตนนี้มากขึ้นอีก
“พิษของเสียงแห่งกรรมและจอกโลหิตรวมกันยังไม่ทำให้สะทกสะท้านสักนิด…พิษทั้งหมดที่ด้วงเงาตัวนี้เป็นพาหะมากพอที่จะเปลี่ยนคนระดับภัยพิบัติให้กลายเป็นแอ่งเลือดได้แล้ว แต่กับสัตว์มายาตัวนี้กลับทำได้แค่ตัดหนวดได้สองสามเส้น โครงสร้างนี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ!”
ดวงตาของคลีฟแลนด์ฉายประกายคลั่งไคล้และความโลภ ถ้าเขาสามารถวิเคราะห์โครงสร้างของสัตว์มายาอันทรงพลังนี้ได้ล่ะก็ เขาอาจจะสามารถสร้างเครื่องมือที่ทรงพลังกว่านี้ได้
คงไม่มีใครเข้าใจพิษเหล่านี้ได้เท่าเขาแล้ว เพราะเขาคือหนึ่งในผู้ที่สร้างพวกมันขึ้นมา
คลีฟแลนด์คือนักเวทมนตร์ขาวและนักวิชาการผู้ได้สมญา ‘สานุศิษย์แห่งพิษ’
และในฐานะนักเวทมนตร์ขาว เขาแข็งแกร่งแค่ในระดับสัตว์ประหลาดขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ในฐานะของนักวิชาการแล้ว ชื่อเสียงของเขามากพอ ๆ กับระดับภัยพิบัติเลยทีเดียว
เขาเป็นประธานในการทดลองเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและยาพิษส่วนใหญ่ในวิถีแห่งดาบอัคคี
รวมไปถึงการทดลองเปลี่ยนมนุษย์เป็นครึ่งภูติเงา ซึ่งเกิดเป็นด้วงเงา และเสียงแห่งกรรมที่มีพิษร้ายแรงด้วย
อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้นั้น จริง ๆ แล้วก็มาจากเรซิเอล
ตามสามัญสำนึกแล้ว คลีฟแลนด์ควรอยู่ภายใต้บัญชาของเรซิเอล ทว่า ‘ผู้กำกับ’ ซานดัลฟอนมีหน้าที่ในการดึงดูดสมาชิกใหม่ระดับสูงเข้ามาในองค์กรและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลัง ‘เทวดา’ อีกเก้ากองที่เกือบจะเป็นอิสระจากกัน มีบุคคลระดับสูงมากมายที่ถูกเธอรับเข้ามาและใกล้ชิดกับเธอ ดังนั้นพวกเขาก็จะทำตามคำสั่งของเธอด้วย
และคลีฟแลนด์ก็คือหนึ่งในนั้น
เดิมทีแผนครั้งนี้เป็นเพียงการลักลอบนำเข้าสมุดบันทึกลึกลับจากเมืองเขตล่างซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่ซานดัลฟอนก็ยังคงส่งด้วงเงาไปคุ้มกันเขาถึงสองตัว
เพราะสมุดบันทึกเล่มนั้นมีความเชื่อมโยงกับต้นกำเนิดของวิถีแห่งดาบอัคคี ทางองค์กรจึงได้ให้ความสำคัญกับมันมาก
แต่ผลคือ เจ้ามนุษย์คนนั้นกลับเข้าไปใน ‘ร้านหนังสือ’ โดยไม่รู้ตัว
แผนจึงถูกเปลี่ยนชั่วคราวเป็นการลองเชิงแทน
แล้วตอนนี้ ท่านซานดัลฟอนก็กำลังให้เขามาเก็บเกี่ยวผลพวงที่ได้
“ค่ายกลที่จัดเตรียมไว้ก่อนทำงานได้เรียบร้อยดี ยันต์ระดับเหนือนภานี่แข็งแกร่งจริง ๆ เจ้าเหมียวน้อยนี่เข้ามาในเขตอาคมโดยไม่รู้ตัวเลยว่างานเข้าแล้ว”
คลีฟแลนด์หรี่ตาและมองไปรอบ ๆ ใน มุมทั้งห้ามียันต์สีเข้มถูกตอกไว้ล่วงหน้า และยังมียันต์สีม่วงเข้มลอยอยู่บนอากาศ ก่อตัวเป็นกรงครอบคลุมพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตรในอากาศ
เจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้อะไรเลยก็กำลังเพลิดเพลินกับอาหาร ไม่รู้อะไรเอาซะเลยว่าหายนะคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเองแล้ว
เจ้าของร้านหนังสือที่ว่ากันว่ายอดเยี่ยม สุดท้ายก็แค่งั้น ๆ ต่อหน้าระดับเหนือนภาที่แท้จริงอย่างท่านซานดัลฟอนแล้ว ไอ้ที่ว่า ‘รอบรู้และเชี่ยวชาญทุกด้าน’ นั่นมันก็แค่คำโอ่ยกตนเท่านั้นเอง!
คลีฟแลนด์คิดแล้วก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มของผู้อยู่เหนือกว่า
แต่แล้วเขาก็พลันชะงักฝีเท้า
เพราะตอนนี้มีแสงจันทร์อยู่ตรงหน้าเขา
จะมีแสงจันทร์ได้ยังไง?
ความคิดสุดท้ายของคลีฟแลนด์หยุดลงที่นี่ หลังจากนั้นทัศนวิสัยของเขาก็กลายเป็นความว่างเปล่า ฝ่ามือ แขน และในที่สุดร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นแสงจันทร์ที่นุ่มนวลและสลายไปในอากาศ
เด็กสาวที่ยืนเงียบอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์มองมาที่เขา แล้วพูดด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย
“ต้นกำเนิดมรณะ”