ตอนที่ 82 ความมืดมิดในงานเทศกาลขอบคุณพระเจ้า
และแล้วเดือนพฤศจิกายน ปี 1147 ก็เดินทางมาถึง
ฟาร์มาคุ้นเคยกับการเดินทางไปมาระหว่างมหาวิทยาลัยกับร้านขายยา เขาสามารถปรับตัวเข้ากันได้ดีกับเอเลนและนักเรียนในคลาสบรรยาย คลาสฝึกภาคปฏิบัติ และ การตรวจคนไข้
ในวันนี้ฟาร์มากำลังทำหน้าที่บรรยายสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนทางเอเลนกับพวกแพทย์โอสถพาร์ทไทม์กำลังดูแลร้านขายยาให้อยู่
“ฮึบ มาพักกันสักหน่อยเถอะ”
เอเลนทำท่าบิดขี้เกียจก่อนจะถามลอตเต้ที่กำลังพับถุงยาอย่างขะมักเขม้น
“จะว่าไปสัปดาห์หน้าแล้วนี่นะ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ลอตเต้จังได้มาร่วมงานไหม ถ้ามาได้เราไปนัดเจอกันที่งานเลยดีไหม? ”
เอเลนำแผ่นพับของเทศกาลขอบคุณพระเจ้ามาให้ลอตเต้ดู แล้วเธอก็เริ่มอ่านแผ่นพับดังกล่าวอย่างจริงจัง
“เอ๋ วันขอบคุณพระเจ้าปี 1147 ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะคะ แถมจัดที่มหาวิทยาลัยด้วย?”
“ใช่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยของเราจะจัดเป็นแบบแนวอนุรักษนิยม ซึ่งจะมีทุกๆ 3ปีน่ะ แล้วปีนี้ก็ถึงกำหนดการนั้นแล้วด้วย ฟาร์มาคุงก็น่าจะมาชวนเธอแล้วไม่ใช่หรือไงกัน?”
เทศกาลขอบคุณพระเจ้าเป็นเทศกาลเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเทพผู้พิทักษ์ และจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ทั่วโลกเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์
ในช่วงเวลานี้ กิจกรรมต่างๆ เช่น งานเต้นรำสวมหน้ากากและขบวนพาเหรดจะจัดขึ้นทั่วโลกเพื่อบูชาเทพผู้พิทักษ์ งานนี้จะจัดขึ้นที่ซึ่งงานดังกล่าวก็ถูกจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิเช่นกัน
“ฉันไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยค่ะ…”
ลอตเต้ตอบด้วยความหดหู่ใจ
“เอ๋? แปลกจังเลยนะ หรือหมอนั่นจะลืมกันนะ ทั้งที่ใครๆ ก็เข้าร่วมได้แท้ๆ จะครอบครัว เพื่อน พ่อแม่ก็มาได้หมดนะ ฉันยังคิดจะพาโซฟีไปด้วยอยู่เลย เป็นไปได้ลอตเต้จังก็มาด้วยกันเลยสิ อ๊ะจริงด้วย พวกเธอถ้าว่างก็มาด้วยกันได้นะ”
เอเลนชวนแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ที่อยู่ในร้าน ทั้งเซเลสและรีเบคก้าก็เหมือนจะสนใจทั้งคู่
“ฉันคิดว่าพวกเด็กๆ คงจะชอบน่าดู! ได้สิคะ “
พอเซเลสตอบเสร็จ รีเบคก้าก็รีบให้คำตอบตาม
“ฉันว่างตลอดอยู่แล้วค่ะ อยากไปค่ะ….”
เหมือนจะมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในคำพูดนั้นด้วย เอเลนก็ได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเธอ
“อาร่า! รีเบคก้าจัง จะทำตัวว่างแบบนั้นไม่ได้นะ พยายามหาอะไรมาทำให้ตารางชีวิตตัวเองแน่นกว่านี้หน่อยสิ”
“เหมือนท่านเจ้าของร้านเหรอคะ?”
รึเบคก้าถาม
“ไม่ใช่สิ ของฟาร์มาคุงนะเรียกว่าแน่นเกินไปต่างหาก เอาแบบอย่างเหลือเวลาว่างให้ได้เล่นบ้างเถอะ”
กระทั่งเอเลนยังสงสัยเลยว่าฟาร์มาจะได้เล่นสนุกเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือเปล่า
“ว้าว งั้นฉันไปด้วยนะคะท่านเอเลโอนอร์ โซฟีจังก็จะมาด้วยสินะคะ เธอเป็นยังไงแล้วบ้างคะ โตขึ้นขนาดไหนแล้ว”
ช่วงนี้เอเลนไม่ได้พาโซฟีมาที่ร้านขายยาเนื่องจากตารางงานที่ยุ่งมากขึ้น จึงทำให้ลอตเต้ไม่ได้เจอหน้าโซฟีเลย
“เธอไม่ได้โตเร็วอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่แข็งแรงล่ะนะ ถ้าเจอกับลอตเต้จังฉันว่าโซฟีก็น่าจะดีใจนะ!”
ลอตเต้มองแผ่นพับแล้วถามเอเลนด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ร้านขนมกับร้านอาหารพวกนี้นี่มันอะไรกันคะเนี่ย?”
“ว่าแล้วเชียวว่าลอตเต้จังต้องดูส่วนนี้เป็นพิเศษ ตรงนี้เป็นข้อเสนอของทางฟาร์มาคุงที่บอกในที่ประชุมสาขาว่าหากมีร้านแผงลอยมาเปิดด้วยน่าจะดีน่ะ”
“สมกับที่เป็นท่านฟาร์มาเลยค่ะ พอพูดถึงเทศกาลก็ต้องมีร้านขนมสิคะ ใช่ไหมล่ะคะท่านรีเบคก้า?”
“ฉันว่าก็..ไม่นะ…”
รีเบคก้าเหมือนจะไม่เห็นด้วย
“โถ่ ลอตเต้จังล่ะก็ งานเทศกาลขอบคุณพระเจ้าน่ะของแบบนั้นไม่ใช่เรื่องหลักหรอกนะ…..สิ่งที่สำคัญจริงในงานน่ะคืองานเต้นรำสวมหน้ากากต่างหากรู้หรือเปล่า?”
เอเลนทำหน้าเหมือนถามว่า “จะไหวหรือเปล่า” ออกมา
แล้ววันขอบคุณพระเจ้าก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
ในวันจัดงานฟาร์มาเดินทางไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าพร้อมกับบรูโน ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในคณะกรรมการบริหารของเทศกาลจึงทำให้ต้องออกเร็วหน่อย
ที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ เสียงดนตรีที่มีชีวิตชีวาซึ่งบรรเลงโดยวงดนตรีของมหาวิทยาลัยได้ดังก้องไปทั่วหนแห่ง และอาคารเรียนก็ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม
ผู้เยี่ยมชมหลายพันคนจากภายนอกมหาวิทยาลัยได้เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ในปีนี้ และเพลิดเพลินกับกิจกรรมที่มากมายในมหาวิทยาลัย
นักเรียนและผู้เยี่ยมชมสวมหน้ากากหลากสีเริ่มรวมตัวกันรอบ ๆ สถานที่จัดงานหลักและเวทีพิเศษ เห็นได้ชัดว่ามีบางคนที่เต้นไปมาอย่างบ้าคลั่งในงานเทศกาลแสนยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี
“ท่านเอเลโอนอร์อยู่ไหนแล้วนะ?”
ภายในบรรยากาศงานที่งดงามเช่นนี้ ลอตเต้ได้มาสถานที่นัดพบกับเอเลนเรียบร้อยแล้ว
ไม่นานนัก เธอก็พบว่าเอเลนนั้นถูกรายล้อมไปด้วยเหล่านักเรียนที่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ในคลาสที่เธอสอน ซึ่งกำลังพูดคุยกับเธออยู่ ถึงเอเลนจะสวมหน้ากากมาเช่นกัน แต่ด้วยผมยาวสีเงินกับการแต่งตัวมีสไตล์ที่โดดเด่นจึงทำให้ลอตเต้จำเธอได้ไม่ยากนัก
โดยเธอมาพร้อมกับรถเข็นเด็กที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วย
“นั่นลอตเต้จังใช่หรือเปล่า แทบดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่าแต่เธอไปซื้อหน้ากากที่ไหนมาเหรอ”
เอเลนที่สังเกตเห็นลอตเต้แล้วก็เดินเข้าไปทักเธอทันที
ลอตเต้สวมหน้ากากเต็มใบ โดยข้างหนึ่งของหน้ากากเป็นหูแมวประดับไว้อีกทั้งยังมีลวดลายประดับของเศษกระจกหลากสีที่งดงามอยู่ตามหน้ากากนั้นด้วย
“แหะๆ ฉันเป็นคนออกแบบมันเองค่ะ แล้วขอให้ช่างฝีมือทางวังที่สนิทด้วยทำให้ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ”
“น่ารักมากเลยจ่ะ ชุดสีชมพูที่ใส่มาวันนี้ก็เข้ากันดีนะ”
หน้ากากที่เอเลนสวมมานั้นเป็นหน้ากากที่ปิดคลุมเฉพาะบริเวณรอบดวงตาเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะการออกแบบคล้ายผีเสื้อที่แสดงถึงความทันสมัยและดูน่าหลงใหล
“ตอนนี้โซฟีก็หลับอยู่ด้วยสิ คิดว่าคงอีกสักพักเลยกว่าเธอจะตื่น”
เมื่อเอเลน เปิดที่คลุมรถเข็นเด็กออก ก็พบว่าข้างในนั้นมีโซฟีที่กำลังงีบหลับอยู่ ใบหน้าของเธอช่างดูสงบนิ่งราวกับฝันดีอยู่
แม้ความรู้สึกที่เหมือนกับเด็กทารกของเธอจะค่อยๆ จางหายไป แต่ความน่ารักของเธอกลับมีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ว้าว โซฟีจัง โตขึ้นเยอะเลยนะคะ”
“จริงสิ ลอตเต้จัง เช้านี้ฟาร์มาคุงได้พูดอะไรบ้างไหม?”
“ไม่เลยนะคะ แถมดูเหมือนจะยุ่งๆ อยู่ด้วย ท่านเอเลโอนอร์คะ….ฉันที่ไม่ได้รับเชิญให้ร่วมงานจากท่านฟาร์มา….ให้มางานวันขอบคุณพระเจ้าแบบนี้จะดีเหรอคะ?”
“เอ๋? แต่ฉันไปถามฟาร์มาคุงมาแล้วนะ เขาก็บอกว่าชวนลอตเต้จังไปงานตอนอยู่ที่ร้านขายยาแล้วนี่ หรือจะเข้าใจอะไรกันผิดไปหรือเปล่า อ๊ะ ดูตรงนั้นสิ”
ฟาร์มาเข้าร่วมพิธีขอบคุณพระเจ้าพร้อมกับอธิการบดีบรูโนและศาสตราจารย์ท่านอื่นบนเวทีพิเศษ
“อ๊ะ ท่านฟาร์มา!”
แม้ว่าลอตเต้จะโบกมือให้กับฟาร์มาแต่เขาก็ไม่สังเกตเห็นมัน
“เขาคงจะยุ่งกับงานมากจนไม่มีเวลาออกมาพักผ่อนกับเราหรอก ยังไงก็ไปเที่ยวในงานกันเถอะ”
“ได้ค่ะ!”
พื้นที่รอบสถานที่จัดงานหลักมีร้านค้าตั้งเรียงรายซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร และมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายด้วย
โดยปกติแล้วจะมีกฎห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายนอกอาคาร แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยอมหลับตาข้างหนึ่งกัน
ทางด้านลอตเต้ก็รีบเดินไปซื้อขนมที่เธอต้องการ ส่วนเอเลนก็เดินไปคุยกับพวกนักเรียนและนำทางลอตเต้เดินชมรอบๆ มหาวิทยาลัย
แถมเธอยังได้พบกับพลเรือเอกณองที่แฝงตัวมาเดินภายในงานด้วย
และดูเหมือนว่าเมโลดี้จะได้รับเชิญในฐานะแขกรับเชิญ เธอจึงได้ไปนั่งคุยกับบรูโนบริเวณส่วนที่นั่งของแขกรับเชิญพิเศษภายในงาน
บนเวทีพิเศษนั้นมีการแสดงต่างๆ เช่น การเต้นรำอุทิศให้กับเทพผู้พิทักษ์แต่ละองค์ที่เกี่ยวข้องกับงานขอบคุณพระเจ้า,ละครสั้น, ทอล์คโชว์, มายากล ฯลฯ และทั้งสองก็ส่งเสียงเชียร์อย่างกระตือรือร้นจากที่นั่งผู้ชม
“เป็นเทศกาลที่สนุกสนานจังเลยค่ะ ขนาดเพิ่งเคยมาครั้งแรกแท้ๆ”
เอเลนได้พยายามปลอบโซฟีที่ตื่นขึ้นมา ส่วนทางด้านลอตเต้ก็ไปสนุกกับบรรยากาศของเทศกาลอย่างเต็มที่
“ทั้งหมดก็เพราะข้อเสนอของฟาร์มาคุงนั่นแหละ ทั้งที่หมอนั่นดูเป็นจริงเอาจริงเอาจังแท้ๆ แต่ก็มีความคิดที่ไม่ธรรมดาเลยนะ เห็นได้เลยว่าเขาก็ชอบงานเทศกาลเหมือนกัน”
“ท่านเอเลโอนอร์ อยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาหน่อยแล้วด้วย เลยว่าจะไปซื้อมาฝากท่านด้วยค่ะ!”
“งั้นเหรอ? ฉันขอเป็นน้ำผลไม้ที่ให้ความสดชื่นหน่อยก็แล้วกัน”
ว่าแล้วลอตเต้ก็วิ่งหายไปในฝูงชนด้วยความสุข
“นั่นเอเลนใช่หรือเปล่า?”
ในจังหวะที่ลอตเต้ออกไปซื้อเครื่องดื่ม ฟาร์มาก็เดินมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งและเรียกเอเลนที่นั่งอยู่ในกลุ่มฝูงชน
“อ้าว ฟาร์มาคุงนี่ แล้วทางนั้นค่ะใครเหรอ?”
หญิงสาวผู้นั้นก็สวมหน้ากากด้วย ดังนั้นเอเลนจึงไม่รู้ว่าเขาเดินมากับใคร
“อ๋อ ถ้าทางนี้ละก็..”
พอเธอถอดหน้ากากออกก็พบว่านั่นคือ น้องสาวคนเล็กของเอ็มเมอริคนั่นเอง
ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“ถ้างั้นลอตเต้ล่ะ….?”
“อย่าบอกนะว่า..?”
เอเลนรู้ได้ทันทีถึงความสะเพร่าของเขาจากคำพูดนั้น
เธอเดาได้ทันทีว่าทำไมฟาร์มาถึงพูดแบบนั้ ก่อนที่เธอจะไปกระซิบข้างหูของฟาร์มาเพื่อไม่ให้น้องสาวของเอ็มเมอริคได้ยิน
“หมายความว่าไงกัน ฟาร์มาคุง หรือว่านายเข้าใจผิดว่าลอตเต้คือเด็กคนนี้… แล้วไปชวนเธอมางานตอนอยู่ร้านขายยาเหรอ?”
กลายเป็นว่าฟาร์มาดันไปเชิญน้องสาวคนสุดท้องของเอ็มเมอริคแทนที่จะเป็นลอตเต้
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย? นายควรจะมองหน้าคนดีๆ ก่อนจะเข้าไปชวนเขาไม่ใช่หรือไง!? นายจะบอกว่าแยกไม่ออกระหว่างเด็กคนนี้กับลอตเต้จังไม่ได้หรอกนะ รู้ไหมว่าลอตเต้จังหดหู่ขนาดไหน”
“อา… ผมพลาดไปแล้ว…”
ฟาร์มารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยในขณะที่กำลังคิดหาทางแก้ตัว
ลอตเต้ที่ไปซื้อเครื่องดื่มก็กลับมาพอดี
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเอเลน ลอตเต้ก็เบิกตากว้าง
ทั้งเสียง ทั้งใบหน้า คิดว่าใครเป็นใครกันคะ?
ฟาร์มาคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงดีกับความเข้าใจผิดว่าน้องสาวของเอ็มเมอริคกับลอตเต้ดันหน้าตาเหมือนกันมาก
“คือ..พวกคุณทั้งคู่ดูเหมือนกันมากจริงๆ …ทั้งเสียงกับใบหน้า…ขอโทษด้วยนะ”
หลังจากนั้นฟาร์มาก็ถูกลอตเต้และคุณน้องสาวถามว่าพวกเธอคนไหนเป็นคนไหน
“ขอโทษนะ ขนาดฉันก็แยกไม่ออกเหมือนกัน คงไม่มีสิทธิ์ไปบ่นฟาร์มาคุงได้แล้วสิ”
ทั้งฟาร์มาและเอเลนต่างก็ตอบผิดไปประมาณหนึ่งคำถามจากสามคำถามหากพวกเขาไม่มองหน้าพวกเธอขณะถาม
“ท่านฟาร์มา~ ท่านเอเลโอนอร์~! จงใจแกล้งสินะคะ จงใจแน่ๆ เลยใช่ไหม?”
“ฉันเสียใจนะคะแบบนี้”
ฟาร์มาขอโทษอย่างจริงจัง ลอตเต้ที่รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ตั้งสติใหม่และให้อภัยเขา หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้พบกับรีเบคก้าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ที่ดูเหมือนจะมีเวลาว่างมากเกินไป เอเลนจึงเดินไปพูดคุยกับเธอ
“รีเบคก้าจังในที่สุดก็มาจนได้นะ คิดอยู่ว่านัดกันไว้แล้วจะไม่มาหรือเปล่าเนี่ย”
“คือ..ฉันลองไปเชิญคนที่ฉันอยากชวนมาด้วย….แต่เหมือนฉันจะเป็นคนน่าเบื่อไปหน่อยก็เลย…”
ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นเรื่องที่ตนไม่ควรมาได้ยินเอาเสียเลย
“นั่นสินะคะฉันน่ะ..”
แล้วรีเบคก้าหน้าแดงและรู้สึกเขินอายขึ้นมาพอสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างเข้ามาปลอบเธอ
“จริงสิ คุณยูเกนตอนนี้เป็นยังไงแล้วบ้างครับ”
พอสบโอกาสฟาร์มาก็ถามน้องสาวของเอ็มเมอริคถึงพี่ชายเธอที่ฟาร์มาทำการรักษา
“ถ้าเป็นท่านพี่ล่ะก็ ตรงนั้นค่ะ”
เมื่อฟาร์มาและคนอื่นๆ มองไปยังทิศทางที่คุณน้องสาวชี้ ก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเต้นรำอย่างดุเดือดในฟลอร์เต้นรำ จนดึงดูดสายตาคนรอบๆ
“เดี๋ยวนะ? นั่นยูเกนเหรอ?”
เอเลนหยิบแว่นตัวเองมาสวมเพราะเธออาจจะมองผิดไปก็ได้
ยูเกน ผู้ได้รับการบำบัดด้วยยีนจนได้รับความสงบสุขของชีวิตในแต่ละวันกลับมาอีกครั้ง บุคลิกที่ชอบเก็บตัวได้ถูกลบจนเลือนหายไปและกลายเป็นคนร่าเริงสดใสไปเสียแล้ว น้องสาวของเขากล่าวออกมาอย่างมีความสุข
“ใครบอกว่าคนเราเปลี่ยนกันไม่ได้”
“ฟุฟุฟุ ใช่แล้วค่ะ ท่านพี่บอกว่าเหมือนตัวเองได้เกิดใหม่เลย เขาเลยอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนอื่นด้วยค่ะ”
“แต่แบบนั้นมันระดับคนบ้าเลยนะครับ”
ฟาร์มาพยายามพูดอย่างใจเย็น
“ก็พันธุกรรมถูกแก้ไขจนเกิดขึ้นมาเป็นของใหม่ด้วยนี่นะ แต่ถ้ามีความสุขได้แบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านกับท่านพี่เองค่ะ”
“ไว้พบกันใหม่นะ!”
ไม่นานนักหลังจากที่ยูเกนและน้องสาวของเขาแยกตัวไป ก็มีกลุ่มควันเริ่มลอยขึ้นมาภายในอากาศ
“เกินอะไรขึ้นกันคะ ฉันได้กลิ่นไหม้ แถมมีควันออกมาด้วย”
ลอตเต้ผู้มีจมูกเป็นเลิศสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมได้อย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่ามีเต็นท์ของแผงลอยที่กำลังจัดการไฟกำลังลุกไหม้อยู่
“ใครก็ได้ช่วยที! มีใครเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีบ้าง!”
พอฟาร์มาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ
“ไฟไหม้นี่นา ต้องรีบไปช่วยแล้ว”
“แย่แล้ว เดี๋ยวฉันช่วยด้วย ลอตเต้จังฝากดูแลโซฟีหน่อยนะ”
ฟาร์มารีบวิ่งไปยังจุดที่เกิดเพลิง ส่วนเอเลนก็ฝากโซฟีให้ลอตเต้ดูแลก่อนจะ นำคทาของเธอออกมาแล้ววิ่งตามไปสมทบ
ตอนนี้จึงเหลือแค่ลอตเต้ และรีเบคก้าที่ดูแลรถเข็นเด็กซึ่งมีโซฟีอยู่ข้างใน
“จะว่าไปท่านรีเบคก้านี่เป็นธาตุวายุสินะคะ”
“ก็ใช่หรอกถึงจะไม่ค่อยเก่งเรื่องศาสตร์แห่งเทพก็เถอะ ฉันรู้สึกนับถือทั้งสองท่านมากเลยนะที่สามารถพุ่งออกไปช่วยคนได้ทันทีในสถานการณ์แบบนี้”
ขณะที่รีเบคก้าและลอตเต้กำลังสนทนากัน รีเบคก้าก็ถูกใครบางคนทำร้ายจากด้านหลังและล้มลงกับพื้น
“กรี๊ด!”
ลอตเต้พยายามกรีดร้อง แต่เธอถูกตีเข้าที่สีข้าง ปากของเธอถูกอุดไว้ และเธอก็ถูกล็อกแขนรัดคอเอาไว้ ผู้โจมตีเป็นผู้ชายสามคน ส่วนโซฟีถูกชายร่างใหญ่คนหนึ่งจับตัวไว้
“ถ้าพวกเจ้ายังเอะอะ เดี๋ยวก็เชือดทิ้งหมดเลยนี่!”
“พะ- พวกนายไปใครกัน มาทำเรื่องน่าจะอายแบบนี้!”
รีเบคก้าลุกขึ้นในขณะที่ร่างกายยังสั่นเทา เธอดึงคทาแห่งเทพออกมา แต่ด้วยที่ว่าอีกฝ่ายมีลอตเต้และโซฟีเป็นตัวประกันเธอจึงไม่สามารถโจมตีใส่ชายกลุ่มนี้ได้
รีเบคก้าที่ยังไม่ได้สติดีนัก ได้ถูกลมพายุที่ปล่อยมาจากชายคนหนึ่งโจมตีเข้า และพอความโกลาหลเริ่มก่อตัวมากขึ้น ชายอีกคนก็ได้ปล่อยม่านควันออกมา ก่อนที่รีเบคก้าจะรีบตอบโต้ด้วยศาสตร์แห่งเทพเพื่อขจัดควันพวกนี้ออกไป แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะซื้อเวลาให้ชายกลุ่มนั้นหนีไป
“ยะ-แย่แล้ว!”
รีเบคก้าถูกชายกลุ่มนั้นสลัดหนีไปได้ ล้มลงกับพื้นและไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อดี
“ลอตเต้จัง! แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!”
เอเลนรีบกลับมาช่วยลอตเต้ที่ถูกสลัดลงจนไปนอนกับพื้นก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเธอขึ้นมา
“ทะ-ท่านเอเลโอนอร์ โซฟีจัง….ขอโทษนะคะ..มันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันทำอะไรไม่ถูกเลย…”
แล้วรีเบคก้าก็รีบเดินเข้ามาขอโทษต่อจากลอตเต้ที่เล่าถึงเรื่องที่เธอเจอก่อนหน้านี้
“ท่านเอเลโอนอร์ ฉันถูกกลุ่มชายปริศนาโจมตีจากทางด้านหลัง พวกมันมีกันสามคนค่ะ….ต้องขอโทษด้วยนะคะ ทั้งๆ ที่ฉันก็อยู่ตรงนี้แท้ๆ”
ลอตเต้และรีเบคก้าพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะการโจมตีและเครื่องแต่งกายที่ชายกลุ่มนั้นสวมใส่
“เข้าใจแล้ว ฉันว่าพวกมันคงหนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวฉันจะไปพาโซฟีกลับมาเอง คอยดูเถอะเจ้าคนพวกนั้น ถ้าฟาร์มาคุงกลับมาแล้วก็บอกด้วยนะ แล้วก็รีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ที”
เอเลนจับมือทั้งสองของเบามือก่อนที่จะวิ่งจากไปพร้อมกับพูดทิ้งท้าย
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ท่านเอเลโอนอร์!”
“ถึงท่านจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็สามคนเลยนะจะไม่เป็นไรเหรอ? แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?”
ในขณะที่ลอตเต้และรีเบคกก้ากำลังตื่นตระหนกฟาร์มาที่จัดการกับเพลิงไหม้เสร็จก็เดินกลับมา
“ท่านฟาร์มาคะ! จริงๆ แล้วคือว่า โซฟีจังกับท่านเอเลโอนอร์เค้า…!”
…━━…━━…━━…
เอเลนตามรอยมาจนพบกับโกดังร้างที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง
“ถึงจะไม่คิดว่าต้องมาที่นี่คนเดียว แต่ก็ช่วยไม่ได้ จะรอให้ยามตามมาแล้วค่อยลุยก็ไม่น่าจะทันการเอา”
เธอหายใจหอบและเตรียมคทาชี้ไปยังประตูเหล็กขนาดใหญ่ สิ่งที่เอเลนใช้ตามกลิ่นมาจนถึงตรงนี้ได้นั้น ถูกเรียกว่าเข็มสัมผัสมนตร์
ลักษณะการทำงานของมันจะเป็นเหมือนกับเข็มทิศที่ชี้ไปหาพลังแห่งเทพ หากผู้ใช้ทำการบันทึกพลังแห่งเทพของคนที่ต้องการสลักลงไปภายในเข็มดังกล่าว ทิศทางของเข็มนั้นจะมุ่งไปยังทิศที่ร่างของพลังแห่งเทพนั้นสถิตอยู่
เนื่องจากโซฟีนั้นเป็นพวกชอบคลานไปทั่วคฤหาสน์แถมยังชอบเล่นซ่อนแอบอีก เอเลนจึงได้สั่งเครื่องมือราคาแพงนี้มา เพื่อตามหาตัวเธอที่ซ่อนอยู่ภายในคฤหาสน์
“ค้อนวารี”
เมื่อเธอยืนยันได้แล้วว่าร่างของโซฟีอยู่ห่างจากประตูนี้ เธอก็ทำลายมันทันทีด้วยศาสตร์แห่งเทพ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในโกดัง ตอนนี้บริเวณพื้นโกดังได้เต็มไปด้วยน้ำที่เกิดจากมนตร์ของเอเลน จากนั้นเธอก็ตะโกนไปใส่คนที่อยู่ภายในนั้น
“เจ้าพวกคนร้ายลักพาตัว ฉันรู้นะว่าพวกแกอยู่ข้างใน ส่งตัวเด็กคนนั้นคืนมาซะ!”
“นี่เจ้ารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!”
ชายกลุ่มนั้นรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ พวกตนก็โดนโจมตีด้วยศาสตร์แห่งเทพระดับสูง ก่อนจะแสดงน้ำเสียงที่เหมือนอารมณ์เสียออกมา
“เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน!”
พอเอเลนเข้ามาภายในโกดังแล้วมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีเศษไม้กระจัดกระจายอยู่ทั่วโกดัง จนไปเห็นมุมหนึ่งของโกดังมีโต๊ะตั้งอยู่โดยมีผ้าห่มผืนหนึ่งห่ออะไรบางอย่างไว้ ดูเหมือนว่าโซฟีน่าจะหลับอยู่ข้างในนั้น
ถัดจากโซฟี ก็มีเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกพาตัวมาเหมือนกันในสภาพที่ถูกปิดปากและใส่กุญแจมือเอาไว้ กำลังกลิ้งไปมากับพื้น
“โซฟี! เป็นอะไรหรือเปล่าช่วยส่งเสียงมาหน่อย!”
เอเลนลองเรียกโซฟีดู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ดูท่าเธอน่าจะหลับไปแล้วจริงๆ
“คงไม่ตื่นขึ้นมาหรอก เพราะข้าให้มันดื่มหญ้าโอบัลไปแล้วยังไงล่ะ”
“หญ้าโอบัลงั้นเหรอ?”
มันเป็นยานอนหลับแบบดั้งเดิมที่ทำขึ้นจากยาต้มสมุนไพรที่ใช้กันมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟาร์มาพบว่ามันมีส่วนผสมของสารเสพติดและเป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกาย มันจึงถูกห้ามใช้ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ และถูกกำจัดออกไปโดยพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดินี
ทำให้มันไม่ใช่ของที่จะหาได้ง่ายในจักรวรรดิ
แต่หากเป็นต่างประเทศก็อีกเรื่อง
“พวกแกไม่ใช่ชนชั้นสูงของจักรวรรดิใช่ไหม”
“หึ ถึงเจ้าจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แม้ข้าจะไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ารู้เยอะขนาดนี้แล้วก็คงปล่อยให้กลับไปง่ายๆ ไม่ได้แล้วล่ะนะ”
ชายกลุ่มนั้นดึงคทาแห่งเทพของตนออกมาพร้อมกัน โดยไม่ประมาทเอเลนกันเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าเธอต้องรับมือกับการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสาม
“ทำไมพวกแกต้องมายุ่งกับคนของประเทศเราด้วย จะมาลักพาตัวเด็กพวกนี้ไปทำไมกัน!”
“มีชนชั้นสูงอีกมากมายที่ยอมจ่ายอย่างงามให้กับเด็กพวกนี้ เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นนะ”
“แกไม่รู้หรือไงว่า ไม่นานมานี้ มีเด็กกำพร้าหลายคนที่มีคุณสมบัติเป็นไร้ธาตุอยู่ทั่วเมืองหลวงจักรวรรดิเลยน่ะ”
แล้วชายอีกคนก็พูดต่อ
“ข้าก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกทอดทิ้งนี้เหมือนกัน เจ้าจะมาสนใจทำไมถ้าข้าจะลักพาตัวเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาเหมือนกันไป”
เมื่อเอลเลนฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พอจะเดาได้ว่ามีกลุ่มชนชั้นสูงชั้นต่ำที่คอยลักพาตัวและค้ามนุษย์ที่มีคุณสมบัติแห่งเทพไร้ธาตุซึ่ง ที่หาได้ยาก
“ใครมันจะไปปล่อยให้แกทำแบบนั้นได้! โซฟีจังเป็นน้องสาวคนเล็กของฉันต่างหาก เอาสิแค่สามคนมันจะสักแค่ไหนเชียว!”
“ที่เจ้าพูดมานั่นน่ะคิดดีแล้วเหรอ”
ประตูอีกด้านของโกดังเปิดออก และมีกลุ่มชายอีกหลายคนเข้ามาจากทางด้านนั้น โดยทุกคนต่างก็มีคทาติดตัวมา
ตอนนี้จึงกลายเป็นการเผชิญหน้าแบบสิบต่อหนึ่ง เอเลนจึงรีบทำการโจมตีเพราะไม่ต้องการให้การต่อสู้ยืดเยื้อ
“อาณาเขตวารีพิทักษ์”
ความสามารถของมันเหมือนกับบาเรียน้ำที่จะกลืนกินพลังแห่งเทพของผู้ใช้ไปเรื่อยๆ
แต่มันก็การป้องกันการโจมตีที่จะเข้ามาหาเอเลนได้บางส่วน
พอเอเลนเริ่มใช้ศาสตร์แห่งเทพ ชายกลุ่มนั้นก็ไม่รอช้าร่ายมนตร์ด้วยเช่นกัน
เอเลนไม่ทราบถึงภาษามนตร์ที่ชายกลุ่มนั้นร่าย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดูการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของพวกมันแล้วตัดสินใจว่าจะรับมือเช่นไร
“” 〇〇〇〇! “”
เมื่อชายคนหนึ่งร่ายมนตร์เป็นภาษาที่เข้าใจยาก เอเลนก็ถูกโจมตีด้วยลูกธนูไฟจากด้านหน้าและด้านหลัง
“” ×××××! “”
ถัดไปเป็นลมกระโชกแรง การโจมตีเหล่านั้นแทบจะไม่สามารถเจาะอาณาเขตของเอเลนเข้ามาได้ แต่ก็รู้ได้ว่ามันรุนแรงพอสมควร
“อะ-อะไรกัน?!”
เนื่องจากการร่ายมนตร์นั้นสามารถจะใช้ภาษาใดก็ได้ตราบใดที่ความหมายและเทคนิคยังคงถูกต้อง เอเลนที่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามนตร์ดังกล่าวนั้นเป็นชนิดใด ก็จำเป็นต้องหาทางรับมือเท่าที่เธอจะไหว
“สายน้ำร่ายรำ”
เอลเลนใช้ลูกกระสุนปืนใหญ่น้ำในยิงไปรอบทิศซึ่งมันถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วก่อนจะ เหวี่ยงคทาเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังในทีเดียว จนทำให้กระสุนน้ำดังกล่าวไปโดนเข้ากับบางคน และทำให้พวกมันกระเด็นจนกระแทกเข้ากับกำแพงแล้วหมดสติไป
“” △△△△△ △△! “”
ทางด้านของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเพลิง ได้สร้างกำแพงไฟขึ้นมา จึงทำให้พลังทำลายล้างของกระสุนน้ำอ่อนแอลง
ก่อนที่เอเลนจะถูกโจมตีกลับด้วยใบมีดวายุเข้าที่บริเวณขาของเธอ จนมีเลือดไหลออกมา
เอเลนสูญเสียการทรงตัวจากอาการบาดเจ็บนั้น จนล้มลงคุกเข่ากับพื้น
“ยังหรอกน่า……”
เมื่อเอเลนพยายามจะลุกขึ้นยืน ก็มีวัตถุลึกลับแสนน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามาในระยะสายตาของเธอ
มันคือปากกระบอกปืน
“ชิบ…”
ใบหน้าของเอเลนบิดเบี้ยวด้วยความสิ้นหวัง
ปากกระบอกปืนชี้เป้าไปที่เอเลน ทันทีที่เธอเปิดปากร่ายมนตร์ เธอก็จะถูกกระสุนดังกล่าวเจาะที่หัวทันที
แม้แต่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอย่างเอเลนก็ไม่สามารถเอาชนะความเร็วของกระสุนได้
“เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแต่กลับใช้ปืนเช่นนี้…ไม่ละอายใจบ้างหรือไง?”
“ไม่เห็นจะไปไรเลยนี่ ข้าไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว ตายเสียเถอะก่อนที่เรื่องมันจะวุ่นวายมากกว่านี้”
ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเหนี่ยวไก
“เดี๋ยวก่อน!”
มีเสียงดังก้องไปทั่วโกดังขนาดใหญ่
ที่มาพร้อมกับร่างของเด็กชายคนหนึ่งบริเวณเข้าทางโกดังที่ถูกทำลาย
“อึก… ฟาร์มาคุง…”
“เด็กคนนี้มาจากไหนกัน?”
ชายบางคนได้ชี้คทาแห่งเทพไปยังฟาร์มา ก่อนจะเตรียมท่าเข้าต่อสู้
“โปรดอย่าไปยุ่งกับเธอคนนั้นเลย พวกคุณกำลังตามหาผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีคุณสมบัติไร้ธาตุอยู่ใช่ไหมล่ะ”
ฟาร์มาเดินเข้าไปหาพวกเขาก่อนจะแสดงท่าทางว่าตนไม่มีอาวุธ
“หา? แล้วเด็กอย่างเจ้าจะไปทำอะไรได้กัน หรือว่าเจ้าก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีคุณสมบัติแปลกๆ?”
ชายคนนั้นหัวเราะออกมา
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คุยกันได้หน่อย”
“แสดงให้พวกข้าดูสิ”
ดูเหมือนว่าฟาร์มาจะดึงดูดความสนใจของชายกลุ่มนี้ได้ จากนั้นเขาก็ใช้กลบางอย่างทำให้นิ้วทั้งสองข้างของเขาสร้างกระแสไฟฟ้าเป็นประกายขึ้นมา
“การปล่อยตัวเธอคนนั้นเป็นเงื่อนไขครับ หากเธอปลอดภัย ผมก็จะไม่ต่อต้านอะไรอีก”
“ก็เอาสิ”
ชายกลุ่มนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาฟาร์มา ก่อนจะใส่กุญแจมือเหล็กที่มือของเขา
ปืนที่จ่อเอเลนไว้ถูกลดลงก่อนที่เธอจะถูกมัดแล้วเตะให้ล้มลงกับพื้น
ส่วนฟาร์มาก็ถูกใส่กุญแจมือ ก่อนละถูกผนึกศาสตร์แห่งเทพเอาไว้ด้วยยันต์กระดาษอีกที
ฟาร์มาได้ถูกลากไปบริเวณด้านหน้าของเกวียนที่เตรียมไว้ข้างนอกโกดัง ก่อนที่เขาจะถูกผลักให้เข้าไปในกรงเหล็ก พร้อมกับโซฟีและเด็กผู้ชายอีกคน
“ฟาร์มาคุง โซฟี……!”
เอเลนกรีดร้องเมื่อเห็นรถม้าลากเกวียนที่บรรทุกคนทั้งสองออกไป
“แกจะตะโกนขึ้นมาทำไม หุบปากไปซะ!”
เอเลนถูกทุบศีรษะด้วยของไม่มีคม ก่อนจะล้มลงกับพื้นไป
จนกระทั่งถึงตอนเย็นที่ผู้คุมของเมืองหลวงของจักรวรรดิพบว่าเอลเลนหมดสติอยู่ในโกดังและพาเธอไปที่ร้านขายยาด้วยรถม้า
“เป็นอะไรหรือเปล่า ท่านเอเลโอนอร์?”
รีเบคก้าและโรเจอร์ที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับเอเลนถาม
เอเลนไม่มีแว่นตา จึงทำให้การมองเห็นของเธอไม่ชัดเจนนักแต่เธอก็พอจะเห็นบรรยากาศรอบๆ ได้เป็นอย่างดี
ลอตเต้ที่กำลังนั่งน้ำตาคลออยู่ เธอเป็นคนที่คอยดูแลเอเลนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่กลับมาที่ร้าน
“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่โซฟีจังกับฟาร์มาคุงถูกลักพาตัวไปแล้ว แถมยังมีเด็กคนอื่นๆ ถูกลักพาตัวไปด้วยเหมือนกัน…พวกมันเป็นองค์กรอาชญากรข้ามชาติน่ะ!”
เจ้าหน้าที่ ทหาร กองอัศวินของจักรวรรดิที่ได้รับรายงานมาจากทางมหาวิทยาลัยยา ได้ทำการปิดล้อมเมืองหลวงของจักรวรรดิเอาไว้ทุกทางและค้นหาผู้สูญหายทั้งหมด จนทราบว่ามีผู้ถูกลักพาตัวไปกว่าหลายร้อยคน และเอเลนก็ถูกเจอตัวระหว่างการสืบสวนนั้นด้วย
“ท่านฟาร์มา――!”
ลอตเต้ส่งเสียงกรีดร้องแสนน่าสลดใจออกมาจนดังออกไปถึงนอกร้าน
ก่อนที่เธอจะเห็นร่างร่างหนึ่งเดิมมาจากอีกฝั่งของถนน
“เรียกผมมีอะไรหรือเปล่า?”
ฟาร์มากลับมาถึงพร้อมกับเสียงตอบรับนั้น
โดยอุ้มโซฟีที่นอนหลับอย่างสงบไว้ในอ้อมแขนของเขา
“เอ๋? ได้ยังไงกัน?!”
ฟาร์มาเดินกลับมาพร้อมโซฟีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
พูดเหมือนกับว่าตนเพิ่งไปเดินเล่นรอบเมืองมา
เหล่าพนักงานร้านขายยาได้รีบวิ่งลงมาข้างล่างเพื่อทักทายฟาร์มาด้วยน้ำเสียงที่โล่งใจ
“ดีใจจริงๆ …! ที่ท่านปลอดภัย!”
“อ่อจริงด้วย ที่นั่นมีเด็กหลายคนถูกลักพาตัวไป ผมที่รู้ก็เลยปล่อยตัวพวกเขาออกมาหมดแล้วครับ”
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วนี่นายหนีออกมาจากกรงขังนั้นได้ยังไงกัน นายถูกใส่กุญแจมือไว้แถมถูกผนึกศาสตร์แห่งเทพไว้แล้วนี่นา”
“จะกรง กุญแจมือ หรือผ้าที่สลักผนึกเอาไว้ต่างก็ทำมาจากวัสดุธรรมดา ดังนั้นถ้าจะทำให้มันหายไปก็ไม่ยากนะ”
เนื่องจากเป็นการพูดต่อหน้าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ด้วย ฟาร์มาจึงอธิบายแบบคลุมเครือไปแทน
“หมายความว่ายังไงกัน?”
ด้วยความสามารถในการลบสสารของเขา การจะกักขังเขาไว้ด้วยกรงแค่นั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หากเขาสามารถลบทั้งเหล็ก ทองแดง และเซลลูโลส เขาก็สามารถจะเป็นอิสระตอนไหนก็ได้
“ผมไม่สามารถถูกกักขังไว้ด้วยวัสดุธรรมๆ หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะมีครั้งหน้าก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
ฟาร์มาอธิบายให้เอเลนฟังด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ชักไม่เข้าใจไปทุกทีแล้วสิ”
ฟาร์มาแสร้งทำเป็นว่าถูกจับ เพื่อหาเบื้องหลังเส้นทางค้าการมนุษย์ของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ไร้ธาตุ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพกว่าหลายสิบราย นอกจากนั้นเขายังได้รายชื่อของลูกค้าที่ต้องการซื้ออีกด้วย
เขาอธิบายถึงการหนีออกจากกรงมาด้วยความง่ายดาย ก่อนจะเอาชนะและคุมตัวผู้กระทำผิดเอาไว้ทั้งหมด ตามด้วยการปิดชีพจรแห่งเทพของพวกเขา แล้วส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ในตอนท้าย
ท้ายที่สุดเด็กที่ถูกลักพาตัวไปก็กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของจักรวรรดิอย่างปลอดภัย
“ดีจริงๆ ที่โซฟีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
เอเลนนำโซฟีออกมาจากมือของฟาร์มาแล้วกอดเธอด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
“อ้า โซฟีจัง ดีจริงๆ ที่ปลอดภัย ขอบคุณมากนะฟาร์มาคุง ทั้งที่นายก็ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยแท้ๆ”
“โล่งอกไปทีค่ะ…”
ลอตเต้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ลงได้ เพราะมีเรื่องให้ดีใจแทน นั่นคือการที่พวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย
“ก็เธอเป็นครอบครัวคนสำคัญของเอเลนนี่นา ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตามที”
ฟาร์มาเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บให้เอเลนอีกที
แผลไฟไหม้ที่พองขึ้นมา ฟาร์มาได้ใช้พลังแห่งเทพถ่ายเทไปที่ร่างของเอเลน เพื่อเพิ่มความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลให้เธอ
“ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกคนที่ลักพาตัวเหรอ”
“ผมทำโทษเขานิดหน่อย เพื่อไม่ให้พวกนั้นสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อีกน่ะ”
ฟาร์มาหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา
ไม่มีใครกล้าถามว่าเขาทำอะไรลงไปกันแน่
วันต่อมา ตามข้อมูลที่ฟาร์มาให้ไว้ กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่เหลือถูกจับรวบหัวหาง โดยทหารของจักรวรรดิ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่าเด็กกำพร้าที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพไร้ธาตุ ได้รับการคุ้มครองและการดูแลที่ดียิ่งขึ้น ตามคำสั่งของจักรพรรดินี
———
Note 1 : เปิดมาก็มีปมให้คิดตามแล้วสิ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code // ตอนนี้เปิดเพจไว้อัพเดทเผื่อเรื่องใหม่ๆที่จะทำในอนาคตด้วยครับ อยากให้แปลเรื่องไหนลองมาเสนอๆกันได้ ถ้าผมอ่านแล้วสนุกเดี๋ยวจะแปลให้มาอ่านด้วยกันเนอะ