Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก – ตอนที่ 82

ตอนที่ 82 ความมืดมิดในงานเทศกาลขอบคุณพระเจ้า

 

และแล้วเดือนพฤศจิกายน ปี 1147 ก็เดินทางมาถึง

 

 

ฟาร์มาคุ้นเคยกับการเดินทางไปมาระหว่างมหาวิทยาลัยกับร้านขายยา เขาสามารถปรับตัวเข้ากันได้ดีกับเอเลนและนักเรียนในคลาสบรรยาย คลาสฝึกภาคปฏิบัติ และ การตรวจคนไข้

 

ในวันนี้ฟาร์มากำลังทำหน้าที่บรรยายสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนทางเอเลนกับพวกแพทย์โอสถพาร์ทไทม์กำลังดูแลร้านขายยาให้อยู่

 

 

“ฮึบ มาพักกันสักหน่อยเถอะ”

 

เอเลนทำท่าบิดขี้เกียจก่อนจะถามลอตเต้ที่กำลังพับถุงยาอย่างขะมักเขม้น

 

“จะว่าไปสัปดาห์หน้าแล้วนี่นะ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ลอตเต้จังได้มาร่วมงานไหม ถ้ามาได้เราไปนัดเจอกันที่งานเลยดีไหม? ”

 

เอเลนำแผ่นพับของเทศกาลขอบคุณพระเจ้ามาให้ลอตเต้ดู แล้วเธอก็เริ่มอ่านแผ่นพับดังกล่าวอย่างจริงจัง

 

“เอ๋ วันขอบคุณพระเจ้าปี 1147 ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะคะ แถมจัดที่มหาวิทยาลัยด้วย?”

 

“ใช่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยของเราจะจัดเป็นแบบแนวอนุรักษนิยม ซึ่งจะมีทุกๆ 3ปีน่ะ แล้วปีนี้ก็ถึงกำหนดการนั้นแล้วด้วย ฟาร์มาคุงก็น่าจะมาชวนเธอแล้วไม่ใช่หรือไงกัน?”

 

 

เทศกาลขอบคุณพระเจ้าเป็นเทศกาลเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเทพผู้พิทักษ์ และจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ทั่วโลกเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์

 

ในช่วงเวลานี้ กิจกรรมต่างๆ เช่น งานเต้นรำสวมหน้ากากและขบวนพาเหรดจะจัดขึ้นทั่วโลกเพื่อบูชาเทพผู้พิทักษ์ งานนี้จะจัดขึ้นที่ซึ่งงานดังกล่าวก็ถูกจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิเช่นกัน

 

“ฉันไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยค่ะ…”

 

ลอตเต้ตอบด้วยความหดหู่ใจ

 

“เอ๋? แปลกจังเลยนะ หรือหมอนั่นจะลืมกันนะ ทั้งที่ใครๆ ก็เข้าร่วมได้แท้ๆ จะครอบครัว เพื่อน พ่อแม่ก็มาได้หมดนะ ฉันยังคิดจะพาโซฟีไปด้วยอยู่เลย เป็นไปได้ลอตเต้จังก็มาด้วยกันเลยสิ อ๊ะจริงด้วย พวกเธอถ้าว่างก็มาด้วยกันได้นะ”

 

เอเลนชวนแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ที่อยู่ในร้าน ทั้งเซเลสและรีเบคก้าก็เหมือนจะสนใจทั้งคู่

 

 

“ฉันคิดว่าพวกเด็กๆ คงจะชอบน่าดู! ได้สิคะ “

 

พอเซเลสตอบเสร็จ รีเบคก้าก็รีบให้คำตอบตาม

 

 

“ฉันว่างตลอดอยู่แล้วค่ะ อยากไปค่ะ….”

 

เหมือนจะมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในคำพูดนั้นด้วย เอเลนก็ได้แต่ตบไหล่ให้กำลังใจเธอ

 

“อาร่า! รีเบคก้าจัง จะทำตัวว่างแบบนั้นไม่ได้นะ พยายามหาอะไรมาทำให้ตารางชีวิตตัวเองแน่นกว่านี้หน่อยสิ”

 

 

“เหมือนท่านเจ้าของร้านเหรอคะ?”

 

รึเบคก้าถาม

 

 

“ไม่ใช่สิ ของฟาร์มาคุงนะเรียกว่าแน่นเกินไปต่างหาก เอาแบบอย่างเหลือเวลาว่างให้ได้เล่นบ้างเถอะ”

 

กระทั่งเอเลนยังสงสัยเลยว่าฟาร์มาจะได้เล่นสนุกเหมือนเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือเปล่า

 

“ว้าว งั้นฉันไปด้วยนะคะท่านเอเลโอนอร์ โซฟีจังก็จะมาด้วยสินะคะ เธอเป็นยังไงแล้วบ้างคะ โตขึ้นขนาดไหนแล้ว”

 

ช่วงนี้เอเลนไม่ได้พาโซฟีมาที่ร้านขายยาเนื่องจากตารางงานที่ยุ่งมากขึ้น จึงทำให้ลอตเต้ไม่ได้เจอหน้าโซฟีเลย

 

“เธอไม่ได้โตเร็วอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ก็ถือว่าเป็นเด็กที่แข็งแรงล่ะนะ ถ้าเจอกับลอตเต้จังฉันว่าโซฟีก็น่าจะดีใจนะ!”

 

 

ลอตเต้มองแผ่นพับแล้วถามเอเลนด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

 

“ร้านขนมกับร้านอาหารพวกนี้นี่มันอะไรกันคะเนี่ย?”

 

“ว่าแล้วเชียวว่าลอตเต้จังต้องดูส่วนนี้เป็นพิเศษ ตรงนี้เป็นข้อเสนอของทางฟาร์มาคุงที่บอกในที่ประชุมสาขาว่าหากมีร้านแผงลอยมาเปิดด้วยน่าจะดีน่ะ”

 

“สมกับที่เป็นท่านฟาร์มาเลยค่ะ พอพูดถึงเทศกาลก็ต้องมีร้านขนมสิคะ ใช่ไหมล่ะคะท่านรีเบคก้า?”

 

“ฉันว่าก็..ไม่นะ…”

 

รีเบคก้าเหมือนจะไม่เห็นด้วย

 

“โถ่ ลอตเต้จังล่ะก็ งานเทศกาลขอบคุณพระเจ้าน่ะของแบบนั้นไม่ใช่เรื่องหลักหรอกนะ…..สิ่งที่สำคัญจริงในงานน่ะคืองานเต้นรำสวมหน้ากากต่างหากรู้หรือเปล่า?”

 

เอเลนทำหน้าเหมือนถามว่า “จะไหวหรือเปล่า” ออกมา

 

แล้ววันขอบคุณพระเจ้าก็มาถึงอย่างรวดเร็ว

 

ในวันจัดงานฟาร์มาเดินทางไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าพร้อมกับบรูโน ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในคณะกรรมการบริหารของเทศกาลจึงทำให้ต้องออกเร็วหน่อย

 

ที่มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ เสียงดนตรีที่มีชีวิตชีวาซึ่งบรรเลงโดยวงดนตรีของมหาวิทยาลัยได้ดังก้องไปทั่วหนแห่ง และอาคารเรียนก็ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม

 

ผู้เยี่ยมชมหลายพันคนจากภายนอกมหาวิทยาลัยได้เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยยาจักรวรรดิ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ในปีนี้ และเพลิดเพลินกับกิจกรรมที่มากมายในมหาวิทยาลัย

 

นักเรียนและผู้เยี่ยมชมสวมหน้ากากหลากสีเริ่มรวมตัวกันรอบ ๆ สถานที่จัดงานหลักและเวทีพิเศษ เห็นได้ชัดว่ามีบางคนที่เต้นไปมาอย่างบ้าคลั่งในงานเทศกาลแสนยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี

 

“ท่านเอเลโอนอร์อยู่ไหนแล้วนะ?”

 

 

ภายในบรรยากาศงานที่งดงามเช่นนี้ ลอตเต้ได้มาสถานที่นัดพบกับเอเลนเรียบร้อยแล้ว

 

ไม่นานนัก เธอก็พบว่าเอเลนนั้นถูกรายล้อมไปด้วยเหล่านักเรียนที่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ในคลาสที่เธอสอน ซึ่งกำลังพูดคุยกับเธออยู่ ถึงเอเลนจะสวมหน้ากากมาเช่นกัน แต่ด้วยผมยาวสีเงินกับการแต่งตัวมีสไตล์ที่โดดเด่นจึงทำให้ลอตเต้จำเธอได้ไม่ยากนัก

 

โดยเธอมาพร้อมกับรถเข็นเด็กที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วย

 

“นั่นลอตเต้จังใช่หรือเปล่า แทบดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่าแต่เธอไปซื้อหน้ากากที่ไหนมาเหรอ”

 

เอเลนที่สังเกตเห็นลอตเต้แล้วก็เดินเข้าไปทักเธอทันที

 

 

ลอตเต้สวมหน้ากากเต็มใบ โดยข้างหนึ่งของหน้ากากเป็นหูแมวประดับไว้อีกทั้งยังมีลวดลายประดับของเศษกระจกหลากสีที่งดงามอยู่ตามหน้ากากนั้นด้วย

 

“แหะๆ ฉันเป็นคนออกแบบมันเองค่ะ แล้วขอให้ช่างฝีมือทางวังที่สนิทด้วยทำให้ค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ”

 

 

“น่ารักมากเลยจ่ะ ชุดสีชมพูที่ใส่มาวันนี้ก็เข้ากันดีนะ”

 

หน้ากากที่เอเลนสวมมานั้นเป็นหน้ากากที่ปิดคลุมเฉพาะบริเวณรอบดวงตาเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะการออกแบบคล้ายผีเสื้อที่แสดงถึงความทันสมัยและดูน่าหลงใหล

 

 

“ตอนนี้โซฟีก็หลับอยู่ด้วยสิ คิดว่าคงอีกสักพักเลยกว่าเธอจะตื่น”

 

เมื่อเอเลน เปิดที่คลุมรถเข็นเด็กออก ก็พบว่าข้างในนั้นมีโซฟีที่กำลังงีบหลับอยู่ ใบหน้าของเธอช่างดูสงบนิ่งราวกับฝันดีอยู่

 

แม้ความรู้สึกที่เหมือนกับเด็กทารกของเธอจะค่อยๆ จางหายไป แต่ความน่ารักของเธอกลับมีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

 

“ว้าว โซฟีจัง โตขึ้นเยอะเลยนะคะ”

 

 

“จริงสิ ลอตเต้จัง เช้านี้ฟาร์มาคุงได้พูดอะไรบ้างไหม?”

 

“ไม่เลยนะคะ แถมดูเหมือนจะยุ่งๆ อยู่ด้วย ท่านเอเลโอนอร์คะ….ฉันที่ไม่ได้รับเชิญให้ร่วมงานจากท่านฟาร์มา….ให้มางานวันขอบคุณพระเจ้าแบบนี้จะดีเหรอคะ?”

 

“เอ๋? แต่ฉันไปถามฟาร์มาคุงมาแล้วนะ เขาก็บอกว่าชวนลอตเต้จังไปงานตอนอยู่ที่ร้านขายยาแล้วนี่ หรือจะเข้าใจอะไรกันผิดไปหรือเปล่า อ๊ะ ดูตรงนั้นสิ”

 

 

ฟาร์มาเข้าร่วมพิธีขอบคุณพระเจ้าพร้อมกับอธิการบดีบรูโนและศาสตราจารย์ท่านอื่นบนเวทีพิเศษ

 

“อ๊ะ ท่านฟาร์มา!”

 

แม้ว่าลอตเต้จะโบกมือให้กับฟาร์มาแต่เขาก็ไม่สังเกตเห็นมัน

 

“เขาคงจะยุ่งกับงานมากจนไม่มีเวลาออกมาพักผ่อนกับเราหรอก ยังไงก็ไปเที่ยวในงานกันเถอะ”

 

“ได้ค่ะ!”

 

 

พื้นที่รอบสถานที่จัดงานหลักมีร้านค้าตั้งเรียงรายซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร และมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำหน่ายด้วย

 

 

โดยปกติแล้วจะมีกฎห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายนอกอาคาร แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยอมหลับตาข้างหนึ่งกัน

 

ทางด้านลอตเต้ก็รีบเดินไปซื้อขนมที่เธอต้องการ ส่วนเอเลนก็เดินไปคุยกับพวกนักเรียนและนำทางลอตเต้เดินชมรอบๆ มหาวิทยาลัย

 

แถมเธอยังได้พบกับพลเรือเอกณองที่แฝงตัวมาเดินภายในงานด้วย

 

 

และดูเหมือนว่าเมโลดี้จะได้รับเชิญในฐานะแขกรับเชิญ เธอจึงได้ไปนั่งคุยกับบรูโนบริเวณส่วนที่นั่งของแขกรับเชิญพิเศษภายในงาน

 

บนเวทีพิเศษนั้นมีการแสดงต่างๆ เช่น การเต้นรำอุทิศให้กับเทพผู้พิทักษ์แต่ละองค์ที่เกี่ยวข้องกับงานขอบคุณพระเจ้า,ละครสั้น, ทอล์คโชว์, มายากล ฯลฯ และทั้งสองก็ส่งเสียงเชียร์อย่างกระตือรือร้นจากที่นั่งผู้ชม

 

“เป็นเทศกาลที่สนุกสนานจังเลยค่ะ ขนาดเพิ่งเคยมาครั้งแรกแท้ๆ”

 

เอเลนได้พยายามปลอบโซฟีที่ตื่นขึ้นมา ส่วนทางด้านลอตเต้ก็ไปสนุกกับบรรยากาศของเทศกาลอย่างเต็มที่

 

“ทั้งหมดก็เพราะข้อเสนอของฟาร์มาคุงนั่นแหละ ทั้งที่หมอนั่นดูเป็นจริงเอาจริงเอาจังแท้ๆ แต่ก็มีความคิดที่ไม่ธรรมดาเลยนะ เห็นได้เลยว่าเขาก็ชอบงานเทศกาลเหมือนกัน”

 

“ท่านเอเลโอนอร์ อยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ ฉันรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาหน่อยแล้วด้วย เลยว่าจะไปซื้อมาฝากท่านด้วยค่ะ!”

 

 

“งั้นเหรอ? ฉันขอเป็นน้ำผลไม้ที่ให้ความสดชื่นหน่อยก็แล้วกัน”

 

ว่าแล้วลอตเต้ก็วิ่งหายไปในฝูงชนด้วยความสุข

 

“นั่นเอเลนใช่หรือเปล่า?”

 

 

ในจังหวะที่ลอตเต้ออกไปซื้อเครื่องดื่ม ฟาร์มาก็เดินมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งและเรียกเอเลนที่นั่งอยู่ในกลุ่มฝูงชน

 

 

“อ้าว ฟาร์มาคุงนี่ แล้วทางนั้นค่ะใครเหรอ?”

 

 

หญิงสาวผู้นั้นก็สวมหน้ากากด้วย ดังนั้นเอเลนจึงไม่รู้ว่าเขาเดินมากับใคร

 

 

“อ๋อ ถ้าทางนี้ละก็..”

 

พอเธอถอดหน้ากากออกก็พบว่านั่นคือ น้องสาวคนเล็กของเอ็มเมอริคนั่นเอง

 

ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ

 

 

“ถ้างั้นลอตเต้ล่ะ….?”

 

“อย่าบอกนะว่า..?”

 

เอเลนรู้ได้ทันทีถึงความสะเพร่าของเขาจากคำพูดนั้น

 

เธอเดาได้ทันทีว่าทำไมฟาร์มาถึงพูดแบบนั้ ก่อนที่เธอจะไปกระซิบข้างหูของฟาร์มาเพื่อไม่ให้น้องสาวของเอ็มเมอริคได้ยิน

 

 

“หมายความว่าไงกัน ฟาร์มาคุง หรือว่านายเข้าใจผิดว่าลอตเต้คือเด็กคนนี้… แล้วไปชวนเธอมางานตอนอยู่ร้านขายยาเหรอ?”

 

 

กลายเป็นว่าฟาร์มาดันไปเชิญน้องสาวคนสุดท้องของเอ็มเมอริคแทนที่จะเป็นลอตเต้

 

 

“นายทำบ้าอะไรเนี่ย? นายควรจะมองหน้าคนดีๆ ก่อนจะเข้าไปชวนเขาไม่ใช่หรือไง!? นายจะบอกว่าแยกไม่ออกระหว่างเด็กคนนี้กับลอตเต้จังไม่ได้หรอกนะ รู้ไหมว่าลอตเต้จังหดหู่ขนาดไหน”

 

“อา… ผมพลาดไปแล้ว…”

 

ฟาร์มารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยในขณะที่กำลังคิดหาทางแก้ตัว

 

ลอตเต้ที่ไปซื้อเครื่องดื่มก็กลับมาพอดี

 

เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากเอเลน ลอตเต้ก็เบิกตากว้าง

 

ทั้งเสียง ทั้งใบหน้า คิดว่าใครเป็นใครกันคะ?

 

ฟาร์มาคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงดีกับความเข้าใจผิดว่าน้องสาวของเอ็มเมอริคกับลอตเต้ดันหน้าตาเหมือนกันมาก

 

 

“คือ..พวกคุณทั้งคู่ดูเหมือนกันมากจริงๆ …ทั้งเสียงกับใบหน้า…ขอโทษด้วยนะ”

 

หลังจากนั้นฟาร์มาก็ถูกลอตเต้และคุณน้องสาวถามว่าพวกเธอคนไหนเป็นคนไหน

 

“ขอโทษนะ ขนาดฉันก็แยกไม่ออกเหมือนกัน คงไม่มีสิทธิ์ไปบ่นฟาร์มาคุงได้แล้วสิ”

 

 

ทั้งฟาร์มาและเอเลนต่างก็ตอบผิดไปประมาณหนึ่งคำถามจากสามคำถามหากพวกเขาไม่มองหน้าพวกเธอขณะถาม

 

 

“ท่านฟาร์มา~ ท่านเอเลโอนอร์~! จงใจแกล้งสินะคะ จงใจแน่ๆ เลยใช่ไหม?”

 

“ฉันเสียใจนะคะแบบนี้”

 

 

ฟาร์มาขอโทษอย่างจริงจัง ลอตเต้ที่รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดก็ตั้งสติใหม่และให้อภัยเขา หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้พบกับรีเบคก้าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ที่ดูเหมือนจะมีเวลาว่างมากเกินไป เอเลนจึงเดินไปพูดคุยกับเธอ

 

 

“รีเบคก้าจังในที่สุดก็มาจนได้นะ คิดอยู่ว่านัดกันไว้แล้วจะไม่มาหรือเปล่าเนี่ย”

 

“คือ..ฉันลองไปเชิญคนที่ฉันอยากชวนมาด้วย….แต่เหมือนฉันจะเป็นคนน่าเบื่อไปหน่อยก็เลย…”

 

ทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นเรื่องที่ตนไม่ควรมาได้ยินเอาเสียเลย

 

 

“นั่นสินะคะฉันน่ะ..”

 

 

แล้วรีเบคก้าหน้าแดงและรู้สึกเขินอายขึ้นมาพอสังเกตเห็นว่าคนรอบข้างเข้ามาปลอบเธอ

 

 

 

“จริงสิ คุณยูเกนตอนนี้เป็นยังไงแล้วบ้างครับ”

 

พอสบโอกาสฟาร์มาก็ถามน้องสาวของเอ็มเมอริคถึงพี่ชายเธอที่ฟาร์มาทำการรักษา

 

 

“ถ้าเป็นท่านพี่ล่ะก็ ตรงนั้นค่ะ”

 

 

เมื่อฟาร์มาและคนอื่นๆ มองไปยังทิศทางที่คุณน้องสาวชี้ ก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเต้นรำอย่างดุเดือดในฟลอร์เต้นรำ จนดึงดูดสายตาคนรอบๆ

 

“เดี๋ยวนะ? นั่นยูเกนเหรอ?”

 

เอเลนหยิบแว่นตัวเองมาสวมเพราะเธออาจจะมองผิดไปก็ได้

 

 

ยูเกน ผู้ได้รับการบำบัดด้วยยีนจนได้รับความสงบสุขของชีวิตในแต่ละวันกลับมาอีกครั้ง บุคลิกที่ชอบเก็บตัวได้ถูกลบจนเลือนหายไปและกลายเป็นคนร่าเริงสดใสไปเสียแล้ว น้องสาวของเขากล่าวออกมาอย่างมีความสุข

 

 

 

“ใครบอกว่าคนเราเปลี่ยนกันไม่ได้”

 

“ฟุฟุฟุ ใช่แล้วค่ะ ท่านพี่บอกว่าเหมือนตัวเองได้เกิดใหม่เลย เขาเลยอยากแบ่งปันความสุขนั้นให้คนอื่นด้วยค่ะ”

 

 

“แต่แบบนั้นมันระดับคนบ้าเลยนะครับ”

 

ฟาร์มาพยายามพูดอย่างใจเย็น

 

“ก็พันธุกรรมถูกแก้ไขจนเกิดขึ้นมาเป็นของใหม่ด้วยนี่นะ แต่ถ้ามีความสุขได้แบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”

 

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านกับท่านพี่เองค่ะ”

 

“ไว้พบกันใหม่นะ!”

 

ไม่นานนักหลังจากที่ยูเกนและน้องสาวของเขาแยกตัวไป ก็มีกลุ่มควันเริ่มลอยขึ้นมาภายในอากาศ

 

 

“เกินอะไรขึ้นกันคะ ฉันได้กลิ่นไหม้ แถมมีควันออกมาด้วย”

 

ลอตเต้ผู้มีจมูกเป็นเลิศสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมได้อย่างรวดเร็ว

 

ดูเหมือนว่ามีเต็นท์ของแผงลอยที่กำลังจัดการไฟกำลังลุกไหม้อยู่

 

 

“ใครก็ได้ช่วยที! มีใครเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีบ้าง!”

 

พอฟาร์มาได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ

 

“ไฟไหม้นี่นา ต้องรีบไปช่วยแล้ว”

 

 

“แย่แล้ว เดี๋ยวฉันช่วยด้วย ลอตเต้จังฝากดูแลโซฟีหน่อยนะ”

 

ฟาร์มารีบวิ่งไปยังจุดที่เกิดเพลิง ส่วนเอเลนก็ฝากโซฟีให้ลอตเต้ดูแลก่อนจะ นำคทาของเธอออกมาแล้ววิ่งตามไปสมทบ

 

ตอนนี้จึงเหลือแค่ลอตเต้ และรีเบคก้าที่ดูแลรถเข็นเด็กซึ่งมีโซฟีอยู่ข้างใน

 

 

“จะว่าไปท่านรีเบคก้านี่เป็นธาตุวายุสินะคะ”

 

“ก็ใช่หรอกถึงจะไม่ค่อยเก่งเรื่องศาสตร์แห่งเทพก็เถอะ ฉันรู้สึกนับถือทั้งสองท่านมากเลยนะที่สามารถพุ่งออกไปช่วยคนได้ทันทีในสถานการณ์แบบนี้”

 

ขณะที่รีเบคก้าและลอตเต้กำลังสนทนากัน รีเบคก้าก็ถูกใครบางคนทำร้ายจากด้านหลังและล้มลงกับพื้น

 

“กรี๊ด!”

 

ลอตเต้พยายามกรีดร้อง แต่เธอถูกตีเข้าที่สีข้าง ปากของเธอถูกอุดไว้ และเธอก็ถูกล็อกแขนรัดคอเอาไว้ ผู้โจมตีเป็นผู้ชายสามคน ส่วนโซฟีถูกชายร่างใหญ่คนหนึ่งจับตัวไว้

 

“ถ้าพวกเจ้ายังเอะอะ เดี๋ยวก็เชือดทิ้งหมดเลยนี่!”

 

“พะ- พวกนายไปใครกัน มาทำเรื่องน่าจะอายแบบนี้!”

 

 

รีเบคก้าลุกขึ้นในขณะที่ร่างกายยังสั่นเทา เธอดึงคทาแห่งเทพออกมา แต่ด้วยที่ว่าอีกฝ่ายมีลอตเต้และโซฟีเป็นตัวประกันเธอจึงไม่สามารถโจมตีใส่ชายกลุ่มนี้ได้

 

รีเบคก้าที่ยังไม่ได้สติดีนัก ได้ถูกลมพายุที่ปล่อยมาจากชายคนหนึ่งโจมตีเข้า และพอความโกลาหลเริ่มก่อตัวมากขึ้น ชายอีกคนก็ได้ปล่อยม่านควันออกมา ก่อนที่รีเบคก้าจะรีบตอบโต้ด้วยศาสตร์แห่งเทพเพื่อขจัดควันพวกนี้ออกไป แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะซื้อเวลาให้ชายกลุ่มนั้นหนีไป

 

 

“ยะ-แย่แล้ว!”

 

รีเบคก้าถูกชายกลุ่มนั้นสลัดหนีไปได้ ล้มลงกับพื้นและไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อดี

 

 

“ลอตเต้จัง! แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!”

 

เอเลนรีบกลับมาช่วยลอตเต้ที่ถูกสลัดลงจนไปนอนกับพื้นก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเธอขึ้นมา

 

 

“ทะ-ท่านเอเลโอนอร์ โซฟีจัง….ขอโทษนะคะ..มันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันทำอะไรไม่ถูกเลย…”

 

แล้วรีเบคก้าก็รีบเดินเข้ามาขอโทษต่อจากลอตเต้ที่เล่าถึงเรื่องที่เธอเจอก่อนหน้านี้

 

“ท่านเอเลโอนอร์ ฉันถูกกลุ่มชายปริศนาโจมตีจากทางด้านหลัง พวกมันมีกันสามคนค่ะ….ต้องขอโทษด้วยนะคะ ทั้งๆ ที่ฉันก็อยู่ตรงนี้แท้ๆ”

 

ลอตเต้และรีเบคก้าพูดคุยเกี่ยวกับลักษณะการโจมตีและเครื่องแต่งกายที่ชายกลุ่มนั้นสวมใส่

 

“เข้าใจแล้ว ฉันว่าพวกมันคงหนีไปไหนได้ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวฉันจะไปพาโซฟีกลับมาเอง คอยดูเถอะเจ้าคนพวกนั้น ถ้าฟาร์มาคุงกลับมาแล้วก็บอกด้วยนะ แล้วก็รีบไปติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ที”

 

เอเลนจับมือทั้งสองของเบามือก่อนที่จะวิ่งจากไปพร้อมกับพูดทิ้งท้าย

 

 

“เดี๋ยวก่อนสิคะ ท่านเอเลโอนอร์!”

 

“ถึงท่านจะแข็งแกร่ง แต่นั่นก็สามคนเลยนะจะไม่เป็นไรเหรอ? แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?”

 

 

ในขณะที่ลอตเต้และรีเบคกก้ากำลังตื่นตระหนกฟาร์มาที่จัดการกับเพลิงไหม้เสร็จก็เดินกลับมา

 

 

“ท่านฟาร์มาคะ! จริงๆ แล้วคือว่า โซฟีจังกับท่านเอเลโอนอร์เค้า…!”

 

…━━…━━…━━…

 

 

เอเลนตามรอยมาจนพบกับโกดังร้างที่ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองของเมืองหลวง

 

 

“ถึงจะไม่คิดว่าต้องมาที่นี่คนเดียว แต่ก็ช่วยไม่ได้ จะรอให้ยามตามมาแล้วค่อยลุยก็ไม่น่าจะทันการเอา”

 

เธอหายใจหอบและเตรียมคทาชี้ไปยังประตูเหล็กขนาดใหญ่ สิ่งที่เอเลนใช้ตามกลิ่นมาจนถึงตรงนี้ได้นั้น ถูกเรียกว่าเข็มสัมผัสมนตร์

 

ลักษณะการทำงานของมันจะเป็นเหมือนกับเข็มทิศที่ชี้ไปหาพลังแห่งเทพ หากผู้ใช้ทำการบันทึกพลังแห่งเทพของคนที่ต้องการสลักลงไปภายในเข็มดังกล่าว ทิศทางของเข็มนั้นจะมุ่งไปยังทิศที่ร่างของพลังแห่งเทพนั้นสถิตอยู่

 

เนื่องจากโซฟีนั้นเป็นพวกชอบคลานไปทั่วคฤหาสน์แถมยังชอบเล่นซ่อนแอบอีก เอเลนจึงได้สั่งเครื่องมือราคาแพงนี้มา เพื่อตามหาตัวเธอที่ซ่อนอยู่ภายในคฤหาสน์

 

 

“ค้อนวารี”

 

 

เมื่อเธอยืนยันได้แล้วว่าร่างของโซฟีอยู่ห่างจากประตูนี้ เธอก็ทำลายมันทันทีด้วยศาสตร์แห่งเทพ ก่อนจะเดินเข้าไปภายในโกดัง ตอนนี้บริเวณพื้นโกดังได้เต็มไปด้วยน้ำที่เกิดจากมนตร์ของเอเลน จากนั้นเธอก็ตะโกนไปใส่คนที่อยู่ภายในนั้น

 

 

“เจ้าพวกคนร้ายลักพาตัว ฉันรู้นะว่าพวกแกอยู่ข้างใน ส่งตัวเด็กคนนั้นคืนมาซะ!”

 

“นี่เจ้ารู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน!”

 

ชายกลุ่มนั้นรู้สึกประหลาดใจที่จู่ๆ พวกตนก็โดนโจมตีด้วยศาสตร์แห่งเทพระดับสูง ก่อนจะแสดงน้ำเสียงที่เหมือนอารมณ์เสียออกมา

 

 

“เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน!”

 

พอเอเลนเข้ามาภายในโกดังแล้วมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีเศษไม้กระจัดกระจายอยู่ทั่วโกดัง จนไปเห็นมุมหนึ่งของโกดังมีโต๊ะตั้งอยู่โดยมีผ้าห่มผืนหนึ่งห่ออะไรบางอย่างไว้ ดูเหมือนว่าโซฟีน่าจะหลับอยู่ข้างในนั้น

 

ถัดจากโซฟี ก็มีเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกพาตัวมาเหมือนกันในสภาพที่ถูกปิดปากและใส่กุญแจมือเอาไว้ กำลังกลิ้งไปมากับพื้น

 

 

“โซฟี! เป็นอะไรหรือเปล่าช่วยส่งเสียงมาหน่อย!”

 

เอเลนลองเรียกโซฟีดู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ดูท่าเธอน่าจะหลับไปแล้วจริงๆ

 

 

“คงไม่ตื่นขึ้นมาหรอก เพราะข้าให้มันดื่มหญ้าโอบัลไปแล้วยังไงล่ะ”

 

“หญ้าโอบัลงั้นเหรอ?”

 

มันเป็นยานอนหลับแบบดั้งเดิมที่ทำขึ้นจากยาต้มสมุนไพรที่ใช้กันมานานแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฟาร์มาพบว่ามันมีส่วนผสมของสารเสพติดและเป็นพิษร้ายแรงต่อร่างกาย มันจึงถูกห้ามใช้ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ และถูกกำจัดออกไปโดยพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดินี

 

ทำให้มันไม่ใช่ของที่จะหาได้ง่ายในจักรวรรดิ

 

แต่หากเป็นต่างประเทศก็อีกเรื่อง

 

 

“พวกแกไม่ใช่ชนชั้นสูงของจักรวรรดิใช่ไหม”

 

“หึ ถึงเจ้าจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แม้ข้าจะไม่มีส่วนได้เสียอะไรกับเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ารู้เยอะขนาดนี้แล้วก็คงปล่อยให้กลับไปง่ายๆ ไม่ได้แล้วล่ะนะ”

 

ชายกลุ่มนั้นดึงคทาแห่งเทพของตนออกมาพร้อมกัน โดยไม่ประมาทเอเลนกันเลยแม้แต่น้อย

 

ดูเหมือนว่าเธอต้องรับมือกับการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสาม

 

“ทำไมพวกแกต้องมายุ่งกับคนของประเทศเราด้วย จะมาลักพาตัวเด็กพวกนี้ไปทำไมกัน!”

 

“มีชนชั้นสูงอีกมากมายที่ยอมจ่ายอย่างงามให้กับเด็กพวกนี้ เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นนะ”

 

“แกไม่รู้หรือไงว่า ไม่นานมานี้ มีเด็กกำพร้าหลายคนที่มีคุณสมบัติเป็นไร้ธาตุอยู่ทั่วเมืองหลวงจักรวรรดิเลยน่ะ”

 

แล้วชายอีกคนก็พูดต่อ

 

“ข้าก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกทอดทิ้งนี้เหมือนกัน เจ้าจะมาสนใจทำไมถ้าข้าจะลักพาตัวเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาเหมือนกันไป”

 

 

เมื่อเอลเลนฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พอจะเดาได้ว่ามีกลุ่มชนชั้นสูงชั้นต่ำที่คอยลักพาตัวและค้ามนุษย์ที่มีคุณสมบัติแห่งเทพไร้ธาตุซึ่ง ที่หาได้ยาก

 

“ใครมันจะไปปล่อยให้แกทำแบบนั้นได้! โซฟีจังเป็นน้องสาวคนเล็กของฉันต่างหาก เอาสิแค่สามคนมันจะสักแค่ไหนเชียว!”

 

 

“ที่เจ้าพูดมานั่นน่ะคิดดีแล้วเหรอ”

 

 

ประตูอีกด้านของโกดังเปิดออก และมีกลุ่มชายอีกหลายคนเข้ามาจากทางด้านนั้น โดยทุกคนต่างก็มีคทาติดตัวมา

 

ตอนนี้จึงกลายเป็นการเผชิญหน้าแบบสิบต่อหนึ่ง เอเลนจึงรีบทำการโจมตีเพราะไม่ต้องการให้การต่อสู้ยืดเยื้อ

 

 

“อาณาเขตวารีพิทักษ์”

 

ความสามารถของมันเหมือนกับบาเรียน้ำที่จะกลืนกินพลังแห่งเทพของผู้ใช้ไปเรื่อยๆ

 

แต่มันก็การป้องกันการโจมตีที่จะเข้ามาหาเอเลนได้บางส่วน

 

 

พอเอเลนเริ่มใช้ศาสตร์แห่งเทพ ชายกลุ่มนั้นก็ไม่รอช้าร่ายมนตร์ด้วยเช่นกัน

 

เอเลนไม่ทราบถึงภาษามนตร์ที่ชายกลุ่มนั้นร่าย จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดูการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของพวกมันแล้วตัดสินใจว่าจะรับมือเช่นไร

 

 

 

“” 〇〇〇〇! “”

 

 

เมื่อชายคนหนึ่งร่ายมนตร์เป็นภาษาที่เข้าใจยาก เอเลนก็ถูกโจมตีด้วยลูกธนูไฟจากด้านหน้าและด้านหลัง

 

“” ×××××! “”

 

 

ถัดไปเป็นลมกระโชกแรง การโจมตีเหล่านั้นแทบจะไม่สามารถเจาะอาณาเขตของเอเลนเข้ามาได้ แต่ก็รู้ได้ว่ามันรุนแรงพอสมควร

 

 

“อะ-อะไรกัน?!”

 

เนื่องจากการร่ายมนตร์นั้นสามารถจะใช้ภาษาใดก็ได้ตราบใดที่ความหมายและเทคนิคยังคงถูกต้อง เอเลนที่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามนตร์ดังกล่าวนั้นเป็นชนิดใด ก็จำเป็นต้องหาทางรับมือเท่าที่เธอจะไหว

 

 

 

“สายน้ำร่ายรำ”

 

 

เอลเลนใช้ลูกกระสุนปืนใหญ่น้ำในยิงไปรอบทิศซึ่งมันถูกคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วก่อนจะ เหวี่ยงคทาเพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังในทีเดียว จนทำให้กระสุนน้ำดังกล่าวไปโดนเข้ากับบางคน และทำให้พวกมันกระเด็นจนกระแทกเข้ากับกำแพงแล้วหมดสติไป

 

 

“” △△△△△ △△! “”

 

ทางด้านของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเพลิง ได้สร้างกำแพงไฟขึ้นมา จึงทำให้พลังทำลายล้างของกระสุนน้ำอ่อนแอลง

 

ก่อนที่เอเลนจะถูกโจมตีกลับด้วยใบมีดวายุเข้าที่บริเวณขาของเธอ จนมีเลือดไหลออกมา

 

เอเลนสูญเสียการทรงตัวจากอาการบาดเจ็บนั้น จนล้มลงคุกเข่ากับพื้น

 

 

“ยังหรอกน่า……”

 

เมื่อเอเลนพยายามจะลุกขึ้นยืน ก็มีวัตถุลึกลับแสนน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามาในระยะสายตาของเธอ

 

 

มันคือปากกระบอกปืน

 

 

 

“ชิบ…”

 

 

ใบหน้าของเอเลนบิดเบี้ยวด้วยความสิ้นหวัง

 

ปากกระบอกปืนชี้เป้าไปที่เอเลน ทันทีที่เธอเปิดปากร่ายมนตร์ เธอก็จะถูกกระสุนดังกล่าวเจาะที่หัวทันที

 

 

แม้แต่ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพอย่างเอเลนก็ไม่สามารถเอาชนะความเร็วของกระสุนได้

 

 

“เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพแต่กลับใช้ปืนเช่นนี้…ไม่ละอายใจบ้างหรือไง?”

 

 

“ไม่เห็นจะไปไรเลยนี่ ข้าไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว ตายเสียเถอะก่อนที่เรื่องมันจะวุ่นวายมากกว่านี้”

 

ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเหนี่ยวไก

 

 

 

“เดี๋ยวก่อน!”

 

มีเสียงดังก้องไปทั่วโกดังขนาดใหญ่

 

ที่มาพร้อมกับร่างของเด็กชายคนหนึ่งบริเวณเข้าทางโกดังที่ถูกทำลาย

 

“อึก… ฟาร์มาคุง…”

 

“เด็กคนนี้มาจากไหนกัน?”

 

ชายบางคนได้ชี้คทาแห่งเทพไปยังฟาร์มา ก่อนจะเตรียมท่าเข้าต่อสู้

 

“โปรดอย่าไปยุ่งกับเธอคนนั้นเลย พวกคุณกำลังตามหาผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีคุณสมบัติไร้ธาตุอยู่ใช่ไหมล่ะ”

 

ฟาร์มาเดินเข้าไปหาพวกเขาก่อนจะแสดงท่าทางว่าตนไม่มีอาวุธ

 

“หา? แล้วเด็กอย่างเจ้าจะไปทำอะไรได้กัน หรือว่าเจ้าก็เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มีคุณสมบัติแปลกๆ?”

 

ชายคนนั้นหัวเราะออกมา

 

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คุยกันได้หน่อย”

 

“แสดงให้พวกข้าดูสิ”

 

 

ดูเหมือนว่าฟาร์มาจะดึงดูดความสนใจของชายกลุ่มนี้ได้ จากนั้นเขาก็ใช้กลบางอย่างทำให้นิ้วทั้งสองข้างของเขาสร้างกระแสไฟฟ้าเป็นประกายขึ้นมา

 

“การปล่อยตัวเธอคนนั้นเป็นเงื่อนไขครับ หากเธอปลอดภัย ผมก็จะไม่ต่อต้านอะไรอีก”

 

“ก็เอาสิ”

 

ชายกลุ่มนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาฟาร์มา ก่อนจะใส่กุญแจมือเหล็กที่มือของเขา

 

ปืนที่จ่อเอเลนไว้ถูกลดลงก่อนที่เธอจะถูกมัดแล้วเตะให้ล้มลงกับพื้น

ส่วนฟาร์มาก็ถูกใส่กุญแจมือ ก่อนละถูกผนึกศาสตร์แห่งเทพเอาไว้ด้วยยันต์กระดาษอีกที

 

ฟาร์มาได้ถูกลากไปบริเวณด้านหน้าของเกวียนที่เตรียมไว้ข้างนอกโกดัง ก่อนที่เขาจะถูกผลักให้เข้าไปในกรงเหล็ก พร้อมกับโซฟีและเด็กผู้ชายอีกคน

 

 

“ฟาร์มาคุง โซฟี……!”

 

เอเลนกรีดร้องเมื่อเห็นรถม้าลากเกวียนที่บรรทุกคนทั้งสองออกไป

 

“แกจะตะโกนขึ้นมาทำไม หุบปากไปซะ!”

 

เอเลนถูกทุบศีรษะด้วยของไม่มีคม ก่อนจะล้มลงกับพื้นไป

 

จนกระทั่งถึงตอนเย็นที่ผู้คุมของเมืองหลวงของจักรวรรดิพบว่าเอลเลนหมดสติอยู่ในโกดังและพาเธอไปที่ร้านขายยาด้วยรถม้า

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า ท่านเอเลโอนอร์?”

 

รีเบคก้าและโรเจอร์ที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับเอเลนถาม

 

เอเลนไม่มีแว่นตา จึงทำให้การมองเห็นของเธอไม่ชัดเจนนักแต่เธอก็พอจะเห็นบรรยากาศรอบๆ ได้เป็นอย่างดี

 

ลอตเต้ที่กำลังนั่งน้ำตาคลออยู่ เธอเป็นคนที่คอยดูแลเอเลนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่กลับมาที่ร้าน

 

“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่โซฟีจังกับฟาร์มาคุงถูกลักพาตัวไปแล้ว แถมยังมีเด็กคนอื่นๆ ถูกลักพาตัวไปด้วยเหมือนกัน…พวกมันเป็นองค์กรอาชญากรข้ามชาติน่ะ!”

 

เจ้าหน้าที่ ทหาร กองอัศวินของจักรวรรดิที่ได้รับรายงานมาจากทางมหาวิทยาลัยยา ได้ทำการปิดล้อมเมืองหลวงของจักรวรรดิเอาไว้ทุกทางและค้นหาผู้สูญหายทั้งหมด จนทราบว่ามีผู้ถูกลักพาตัวไปกว่าหลายร้อยคน และเอเลนก็ถูกเจอตัวระหว่างการสืบสวนนั้นด้วย

 

 

 

“ท่านฟาร์มา――!”

 

ลอตเต้ส่งเสียงกรีดร้องแสนน่าสลดใจออกมาจนดังออกไปถึงนอกร้าน

 

ก่อนที่เธอจะเห็นร่างร่างหนึ่งเดิมมาจากอีกฝั่งของถนน

 

“เรียกผมมีอะไรหรือเปล่า?”

 

ฟาร์มากลับมาถึงพร้อมกับเสียงตอบรับนั้น

 

โดยอุ้มโซฟีที่นอนหลับอย่างสงบไว้ในอ้อมแขนของเขา

 

“เอ๋? ได้ยังไงกัน?!”

 

ฟาร์มาเดินกลับมาพร้อมโซฟีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

 

พูดเหมือนกับว่าตนเพิ่งไปเดินเล่นรอบเมืองมา

 

เหล่าพนักงานร้านขายยาได้รีบวิ่งลงมาข้างล่างเพื่อทักทายฟาร์มาด้วยน้ำเสียงที่โล่งใจ

 

 

“ดีใจจริงๆ …! ที่ท่านปลอดภัย!”

 

“อ่อจริงด้วย ที่นั่นมีเด็กหลายคนถูกลักพาตัวไป ผมที่รู้ก็เลยปล่อยตัวพวกเขาออกมาหมดแล้วครับ”

 

ทุกคนที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก

 

 

“แล้วนี่นายหนีออกมาจากกรงขังนั้นได้ยังไงกัน นายถูกใส่กุญแจมือไว้แถมถูกผนึกศาสตร์แห่งเทพไว้แล้วนี่นา”

 

“จะกรง กุญแจมือ หรือผ้าที่สลักผนึกเอาไว้ต่างก็ทำมาจากวัสดุธรรมดา ดังนั้นถ้าจะทำให้มันหายไปก็ไม่ยากนะ”

 

เนื่องจากเป็นการพูดต่อหน้าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ด้วย ฟาร์มาจึงอธิบายแบบคลุมเครือไปแทน

 

“หมายความว่ายังไงกัน?”

 

 

ด้วยความสามารถในการลบสสารของเขา การจะกักขังเขาไว้ด้วยกรงแค่นั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

 

หากเขาสามารถลบทั้งเหล็ก ทองแดง และเซลลูโลส เขาก็สามารถจะเป็นอิสระตอนไหนก็ได้

 

“ผมไม่สามารถถูกกักขังไว้ด้วยวัสดุธรรมๆ หรอก ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะมีครั้งหน้าก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”

 

ฟาร์มาอธิบายให้เอเลนฟังด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

 

 

“ชักไม่เข้าใจไปทุกทีแล้วสิ”

 

ฟาร์มาแสร้งทำเป็นว่าถูกจับ เพื่อหาเบื้องหลังเส้นทางค้าการมนุษย์ของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ไร้ธาตุ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพกว่าหลายสิบราย นอกจากนั้นเขายังได้รายชื่อของลูกค้าที่ต้องการซื้ออีกด้วย

 

เขาอธิบายถึงการหนีออกจากกรงมาด้วยความง่ายดาย ก่อนจะเอาชนะและคุมตัวผู้กระทำผิดเอาไว้ทั้งหมด ตามด้วยการปิดชีพจรแห่งเทพของพวกเขา แล้วส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ในตอนท้าย

 

ท้ายที่สุดเด็กที่ถูกลักพาตัวไปก็กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของจักรวรรดิอย่างปลอดภัย

 

 

“ดีจริงๆ ที่โซฟีไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”

 

เอเลนนำโซฟีออกมาจากมือของฟาร์มาแล้วกอดเธอด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม

 

 

“อ้า โซฟีจัง ดีจริงๆ ที่ปลอดภัย ขอบคุณมากนะฟาร์มาคุง ทั้งที่นายก็ต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยแท้ๆ”

 

“โล่งอกไปทีค่ะ…”

 

ลอตเต้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ลงได้ เพราะมีเรื่องให้ดีใจแทน นั่นคือการที่พวกเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย

 

“ก็เธอเป็นครอบครัวคนสำคัญของเอเลนนี่นา ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็ตามที”

 

ฟาร์มาเข้ามารักษาอาการบาดเจ็บให้เอเลนอีกที

 

แผลไฟไหม้ที่พองขึ้นมา ฟาร์มาได้ใช้พลังแห่งเทพถ่ายเทไปที่ร่างของเอเลน เพื่อเพิ่มความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลให้เธอ

 

 

“ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกคนที่ลักพาตัวเหรอ”

 

“ผมทำโทษเขานิดหน่อย เพื่อไม่ให้พวกนั้นสามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้อีกน่ะ”

 

ฟาร์มาหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา

 

ไม่มีใครกล้าถามว่าเขาทำอะไรลงไปกันแน่

 

 

วันต่อมา ตามข้อมูลที่ฟาร์มาให้ไว้ กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่เหลือถูกจับรวบหัวหาง โดยทหารของจักรวรรดิ

 

ด้วยเหตุนี้เองทำให้เหล่าเด็กกำพร้าที่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพไร้ธาตุ ได้รับการคุ้มครองและการดูแลที่ดียิ่งขึ้น ตามคำสั่งของจักรพรรดินี

 

———

Note 1 : เปิดมาก็มีปมให้คิดตามแล้วสิ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code // ตอนนี้เปิดเพจไว้อัพเดทเผื่อเรื่องใหม่ๆที่จะทำในอนาคตด้วยครับ อยากให้แปลเรื่องไหนลองมาเสนอๆกันได้ ถ้าผมอ่านแล้วสนุกเดี๋ยวจะแปลให้มาอ่านด้วยกันเนอะ

 

 

 

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลกายในช่องว่างแห่งมิติไร้ซึ่งที่สิ้นสุด ที่ซึ่งเหล่าผู้เคยต่อสู้ฝ่าฟันกับชีวิตของตนดำรงอยู่ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลยว่าที่นี่คือแห่งหนใด พื้นที่กว้างใหญ่เป็นอนันต์เปรียบเสมือนดั่งสุสาน มีผู้พิทักษ์ไร้นามคอยปกป้องอยู่ เหล่าผู้ล่วงลับต่างหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของตนเป็นนิรันดร์ วันหนึ่งผู้พิทักษ์สุสานได้เลือกคน คนหนึ่งซึ่งหลับใหลอยู่ภายใต้หลุมฝังศพของคนผู้นั้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ตนนั้นได้ดึงเอาความทรงจำของร่างดังกล่าวออกมาจากสุสานก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้วงอวกาศ มันได้ล่องลอยไปในจักรวาลอันห่างไกลและท้ายที่สุดมันก็ถึงยังจุดหมาย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งภายในร่างของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตจากฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset