ตอนที่ 284 ความจริงปรากฏ
ตอนที่ 284 ความจริงปรากฏ
ฮ่องเต้ยังไม่เชื่ออีกหรอกเหรอ ทั้งยังกล่างหาว่านางเป็นคนทำให้สือซีเอ๋อร์กลายเป็นเช่นนี้
ซูหวานหว่านถึงกับหมดคำพูด ทันใดนั้นก็มีองครักษ์หนึ่งคนวิ่งพรวดเข้ามาจับมือนางเอาไว้ แล้วก็องครักษ์อีกคนก็วิ่งเข้ามาใช้มีดจ่อไปที่คอของซูหวานหว่าน
พวกเขากำลังจะฆ่านาง!
“ช้าก่อน!” เสียงใสของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมา “ฝ่าบาทอย่างเพิ่งเข้าใจผิดไป”
ซูหวานหว่านเห็นฮองเฮาจ้าวจื่อเหยียนวิ่งเข้ามา ด้านหลังของนางมีฮูหยินตระกูลร่ำรวยเดินตามนางมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนเหล่านี้ที่มาก็เพื่อที่มาประจบสอพลอสือซีเอ๋อร์ เมื่อมาถึงก็เห็นเพียงหญิงชราร่างกายซูบผอมยืนอยู่ หญิงชราคนนั้นยืนซบไปที่อกของฮ่องเต้ ทำให้ผู้คนที่เห็นภาพนี้ต่างอยากอาเจียนออกมา
ทันใดนั้นฮูหยินหลายคนก็เริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบกันออกมา “ฝ่าบาทมีรสนิยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
“ใครจะไปรู้กันเล่า! แต่ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหญิงชราคนนี้มีปิ่นปักผมเหมือนกับพระสนมสือที่ใส่ไปยังจวนอัครเสนาบดีวันนั้นเลย”
“งั้น…งั้นแสดงว่าหญิงชราคนนี้คือพระสนมเอกอย่างงั้นเหรอ?”
“…”
ทุกคนต่างก็พากันตกใจ ขนอ่อนตามร่างกายลุกขึ้นเกรียว คนเหล่านี้ลืมเรื่องที่คำพูดที่จะเอ่ยเอาใจฮูหยินไปเสียหมด
สตรีสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้นเอ่ยสมทบออกมาว่า “ข้าจำวันที่พระสนมเอกได้ไปที่จวนอัครเสนาบดีได้ ต่างหูคู่นั้นเป็นคู่ที่พระสนมโปรดปรานและมักจะใส่อยู่บ่อย ๆ!”
ตอนนี้ในใจของทุกคนเชื่อมั่นว่าคนที่ยืนอยู่กับฮ่องเต้ในตอนนี้คือพระสนมเอกสือซีเอ๋อร์ องค์จักรพรรดิคงมีท่าทางที่นิ่งเฉยไม่ปริปากเอ่ยคำใดออกมา องครักษ์สั่งให้ลูกน้องของตัวเองนำเครื่องมือทรมานออกมา และก่อนที่องค์รักษ์จะลงมือทำอะไรซูหวานหว่าน หญิงสาวรีบแกล้งร้องไห้ออกมา “พระสนมเอก พระองค์ได้ฝึกฝนคาถามนต์ดำ ได้ทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ข้าก็แค่อยากจะเปิดโปงเรื่องนี้เท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่านางจะทำให้ฝ่าบาทลุ่มหลงในตัวของนางได้มากจนถึงขั้นมองความจริงไม่ออก เอาแต่ปกป้องนางอย่างเดียว!”
เมื่อทันทีที่ทุกคนได้ยินคำว่า ‘คาถา’ ก็ต่างพากันแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาว่า “ข้าก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเหมือนกัน! เดิมที่แล้วพระสนมเป็นคนเย่อหยิ่ง มีรูปโฉมงดงาม ที่แท้เป็นเพราะว่านางใช้คาถานั่นเอง!”
“ใช่แล้ว! ถึงว่าอายุก็ปาไปแล้วสามสิบกว่าแล้ว แต่รูปโฉมของนางยังสวยราวกับเด็กสาวอายุสิบแปดปี?”
“…”
เมื่อได้ยินความคิดเห็นแบบนี้ ฮ่องเต้ก็ค่อย ๆ ตั้งสติขึ้นมาได้ เขาก้มหน้ามองไปที่สือซีเอ๋อร์ที่ซบอกตัวเอง เขาจับมือนางออกพร้อมกับผลักออกทันที!
ร่างกายที่ทรุดโทรมไร้เรี่ยวแรงของสือซีเอ๋อร์ถูกฝ่าบาทผลักออกไปไกล ร่างกายของนางรู้สึกเจ็บปวด สือซีเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและหันไปมองที่ฮ่องเต้ ดวงตาของนางรื้นไปด้วยหยาดน้ำสีใส “ฝ่าบาท ข้าเป็นพระสนมเอกของท่าน! นางสนมคนนี้ไม่ได้ฝึกวิชาคาถาอะไรทั้งสิ้นเลยเพคะ!”
ยังมีหน้ามาปฏิเสธอีกหรอกหรือ? ซูหวานหว่านจึงเอ่ยเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “ฝ่าบาท เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเป็นเพราะข้าตั้งจะเปิดโปงนาง และแน่นอนว่าหลักฐานทุกอย่างข้าได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!”
หลังจากพูดออกมาแบบนั้นซูหวานหว่านก็มองไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตนเอง เพื่อที่จะมองดูว่าพวกเขาวางดาบลงแล้วหรือยัง ผลสุดท้ายองครักษ์คนนั้นก็วางดาบลง และรับฟังในสิ่งที่ซูหวานหว่านพูด
ซูหวานหว่านก็ได้บอกให้เหล่าองครักษ์ไปในที่ที่นางและฉีเฉิงเฟิงได้เคยเข้าไปในวันนั้น และใช้โอกาสนี้บังคับให้ชูอวิ๋นบอกวิธีทางเข้าทางลับนั้น เพื่อที่จะพาทุกคนเข้าไปดูให้เห็นกับตา
ความจริงแล้วฮ่องเต้อยากจะเอ่ยห้ามซูหวานหว่าน แต่ในเมื่อเห็นทุกคนอยากจะเห็นหลักฐาน จึงตอบรับและให้เหล่าองครักษ์นั้นไปนำหลักฐานมา
หลังจากที่เดินตามไปทางที่ชูอวิ๋นบอก เหล่าองครักษ์ก็เร่งมือค้นหาหลักฐาน ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็หาหลักฐานเจอ เหล่าองครักษ์หยิบหลักฐานเหล่านั้นออกมา … มีแม้กระทั่งผิวหนังมนุษย์ !
นอกจากนี้ยังมีเครื่องประทินความงาม!
ทันทีที่เห็นของเหล่านี้ สตรีสูงศักดิ์ทุกคนต่างก็อาเจียนออกมา หญิงคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้และมีความรอบรู้ที่ไม่ธรรมดา ก็พูดถึงเรื่องคาถาและการลอกผิดหน้าคนออกมา สิ่งที่นางกล่าวออกมาทำให้ทุกคนอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนหนึ่งดังขึ้นมาเหมือนกับนึกอะไรออกมาได้ “ดูเหมือนว่าข้าจะจำได้แล้ว ข้าเคยรู้จักพระสนมมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก โตขึ้นมานางไม่สวยอย่างแม่ของนาง หน้าตาของนางก็ดูธรรมดา นางได้ถูกแต่งตั้งเข้ามาเป็นสนมเอกของฮ่องเต้ ตอนนั้นข้าก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดนางถึงได้รับการแต่งตั้ง พอมาวันนี้ข้าก็เพิ่งจะเข้าใจ!”
“…”
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกขุ่นเคือง และนึกย้อนไปเมื่อตอนที่เขาได้ยลโฉมของสือซีเอ๋อร์เขาแทบอยากจะลบภาพเหล่านั้นออกไปจากสมอง หากไม่ใช่เพราะว่าขันทีไห่ได้บอกกับเขาว่ารูปลักษณ์ของสือซีเอ๋อร์งดงามเหมือนดั่งภาพวาด เขาคงจะไม่สงสัยและอยากจะเห็นรูปโฉมของนาง เช้าขึ้นมาเขาได้เจอสือซีเอ๋อร์ตัวจริง และก็ประทับใจความงามของนางมาก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวในตอนนั้นจะเป็นเรื่องโกหก! สิ่งที่เผยออกมาในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นรูปโฉมที่แท้จริง! สือซีเอ๋อร์ขี้เหร่มาก!
ซูหวานหว่านมองไปยังสือซีเอ๋อร์ที่กำลังจะหมดสติลงเนื่องจากเสียเลือดมากเกิน หญิงสาวแอบปิดปากและหัวเราะออกมา และแอบใช้พลังวิเศษเลียนเสียงสือซีเอ๋อร์แล้วพูดออกมาว่า “ฝ่าบาท อย่าเชื่อพวกเขา! สนมคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องราวนั้น”
พูดออกมาเช่นนี้ไม่อายหรือย่างไร เมื่อทุกคนได้ฟังความขยะแขยงพลันเกิดขึ้นใจ
“ฝ่าบาท เครื่องมือทรมานมาถึงแล้ว!” องครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้ไปนำเครื่องทรมานวิ่งกลับมา คนเหล่านี้ไม่ได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นจึงเดินไปทางซูหวานหว่านทันที
ซูหวานหว่านมองไปที่ฮองเฮาเงียบ ๆ และฮองเฮาก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร! พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนโง่หรืออย่างไร! ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วว่าผู้ใดเป็นคนร้าย พวกเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้กับคุณหนูเจ้าอีกหรือ?”
หญิงสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ต่างพูดออกมาอย่างเห็นด้วยเช่นกัน ใบหน้าฉีเฉิงเปลี่ยนสีไปในทันที
ต่อหน้าผู้คนมากมายเขาจะทำซูหวานหว่านได้อย่างไร! ถึงแม้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว… แต่ว่าแบบนี้
ฉีเฉิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณห้าม ชี้ไปที่หญิงชราที่กำลังจะหมดสติ และกล่าวออกมาว่า “ทรมานนางซะ! ไม่ใช่กับคุณหนูจ้าว”
“…”
ทุกคนต่างได้ยินคำพูดของเขาชัดเจนทุกคำ ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าหญิงชราที่นอนอยู่บนพื้นเป็นถึงสนมเอก แต่พวกเขาก็ยังคงประหม่าอยู่เล็กน้อย แต่ฉีเฉิงถึงกับสั่งมาแบบนี้ พวกเขาก็จะต้องทำตาม!
เพียงชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานของสือซีเอ๋อร์ก็ดังขึ้น เสียงร้องของนางดังไปทั่วตำหนักฉางเล่อ!
เสียงร้องโหยหวยนั้นเกิดขึ้นอย่างยาวนาน เหมือนกับดั่งฝันร้ายที่คอยตามมาหลอกหลอน!
เหล่าสตรีสูงศักดิ์ต่างหวาดกลัว ต่างหาข้ออ้างให้ตัวเองแล้วรีบเดินออกไปจากที่นี่ทันที จ้าวจื่อเหยียนยืนดูอย่างสงบอยู่ข้างซูหวานหว่าน
เรื่องนี้ควรที่จะจบลงได้แล้ว ซูหวานหว่านแอบพาฉีเฉิงเฟิงออกมาจากมิติฟาร์มอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ทุกคนไม่ทันได้สังเกต ชายหนุ่มและฉีเฉิงเองก็ยังไม่ได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว เขาได้เอ่ยขออะไรบางอย่างจากฮ่องเต้ แล้วก็ได้รับพระราชโองการมา ชายหนุ่มพาตัวซูหวานหว่านออกมาจากวัง เพื่อไปที่จวนอัครเสนาบดีทันที
“พระราชโองการนั่นมีเนื้อหาว่าอย่างไร” ซูหวานหว่านสอบถามออกมา
ฉีเฉิงเฟิงก็เปิดมันให้ซูหวานหว่านอ่าน ไม่นานใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาทันทีและนางก็เร่งฝีเท้าในการเดินของตัวเองให้เร็วขึ้นมา
ซูหวานหว่านตื่นเต้นมากในระหว่างทางเดินมาที่จวนอัครเสนาบดี เมื่อทั้งสองคนเดินทางมาถึง ดูเหมือนว่าที่จวนของพวกเขากำลังมีการจัดงานเลี้ยง ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
หากไม่ใช่เพราะฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านก็ไม่สามารถที่เข้าไปในจวนอัครเสนาบดีได้!
เมื่อทั้งสองคนได้เดินเข้ามายังงานเลี้ยง พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องแหลมดังขึ้น “เอ๊ะ! นี่ซูหวานหว่านหรอกหรือ? คุณหนูใหญ่สกุลจ้าวที่ทุกคนต่างก็พูดถึงกัน?”
น้ำเสียงประชดประชันนี้ดูคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก ซูหวานหว่านหันไปมองก็พบว่าเป็นฮูหยินถังที่นั่งอยู่ในห้องโถง และทำท่าทางหัวเราะใส่นาง
“หึ ดูเหมือนว่าเวลาที่เจ้าอยู่กับองค์ชายสามจะแตกต่างกันมากเลยนะ” สตรีนางหนึ่งเอ่ยสมทบฮูหยินถัง
เสียงของคนที่พูดนั่นก็คือเสียงของแม่เหนียนซื่อ ฮูหยินแห่งจวนอัครเสนาบดี!
“โอ้ องค์ชายสาม ข้าไม่ได้เป็นคนพูดนะ มีผู้หญิงตั้งมากมายให้เลือก เหตุใดถึงไปเลือกผู้หญิงที่ถูกใช้แล้วแบบนี้กัน?” ฮูหยินถังก็มองไปที่ซูหวานหว่านอย่างยั่วโมโห