บทที่ 297 ช่วยเหลือเหล่าผู้บริหาร
บทที่ 297 ช่วยเหลือเหล่าผู้บริหาร
อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดมา
ถึงแม้ว่ารูปร่างของอวี้ฮ่าวหรานจะผอมบาง แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ขนลุก!
“พวกเรา! ถึงแม้ว่าไอ้เวรนี่จะแข็งแกร่ง แต่พวกเรามีกันหลายคน ถ้าพวกเราร่วมมือกัน เราต้องฆ่ามันได้แน่ และหลังจากที่มันตาย ความลับเรื่องเงินค่าไถ่ก็จะยังไม่ถูกเปิดเผย!”
เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ของตัวเองกำลังสับสน หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ตะโกนขึ้นให้สติเพื่อนของตัวเองทันที
ในมุมมองของเขา สองมือหรือจะสู้สิบหกมือจริงไหม?
“ฮึ มดอย่างพวกแกไม่ควรมั่นใจอะไรโง่ ๆ แบบนั้น!”
อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก
“บัดซบ แกเพ้ออะไรของแก…”
เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกของอวี้ฮ่าวหราน กลุ่มชายฉกรรจ์จึงโมโหจนหน้าแดง แต่ก่อนที่พวกเขาจะเถียงได้จบประโยค ร่างของอวี้ฮ่าวหรานกลับหายไปจากจุดที่ยืนอย่างฉับพลัน และเสี้ยววินาทีต่อมา สามคนในพวกเขาก็ร่างลอยละลิ่วไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงจนเลือดออกจมูกและปาก
“โครม!!”
บรรดาชายฉกรรจ์ที่เหลือซึ่งเห็นภาพผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“ม…เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ!?”
ทว่าไม่มีใครตอบคำถามพวกเขา จากนั้นอีกวินาทีถัดมา เสียงของคนถูกอัดก็ดังขึ้นอีกสามครั้งรัว ๆ แทบจะติดกัน และพร้อมกันนั้นร่างของอีกสามคนก็ลอยละลิ่วไปอัดกับกำแพง!
คราวนี้เหลืออีกแค่สองคนและชายร่างผอมอย่างอาโกวที่ยังยืนอยู่ พวกเขาต่างตื่นตระหนกมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า พวกเขาต่างหันซ้ายหันขวามองหาอวี้ฮ่าวหราน และท้ายที่สุดพวกเขากลับเห็นว่าอวี้ฮ่าวหราน กลับไปยืนอยู่จุดเดิมราวกับว่าไม่เคยขยับออกไปไหนเลย
“น…นี่แกเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่!!”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างเย็นชาเป็นการตอบรับ และหลังจากนั้นแค่การก้าวเพียงครั้งเดียวเขาไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง!
“ไม่ว่าฉันจะเป็นคนหรือเป็นผี มดแมลงชั้นต่ำอย่างพวกแกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้!”
หลังจากพูดจบประโยค อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดใส่เข้าไปที่อกของคนทั้งสองส่งร่างทั้งคู่ลอยกระเด็นออกไปนอกระเบียงชั้นสองตกไปยังชั้นล่างโดยที่ไม่สนใจเลยว่าชะตากรรมของอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย!
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ อาโกวก็พลันตัวสั่นงันงกราวกับถูกเขย่าตัว
“ผ…ผม พ…พี่ชาย…ผมผิดไปแล้ว…”
อาโกวลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอน ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมามองด้วยซ้ำ
“พ…พี่ชายโปรดให้อภัยผมเถอะ…ผม…”
ก่อนที่อาโกวจะทันได้พูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้ามากำคอเสื้อและยกตัวของอีกฝ่ายขึ้น
“หยุดพูดไร้สาระ ตอนนี้พาฉันไปหาพวกคนที่แกจับมา ไม่งั้นวันนี้ฉันจะฆ่าแกทิ้งซะ!”
ในระหว่างที่พูด อวี้ฮ่าวหรานได้ปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อข่มขู่อีกฝ่ายให้ยอมจำนนง่ายมากกว่าเดิม
“ค…ค…ครับ พี่ชาย! ผมจะรีบพาพี่ไปเดี๋ยวนี้ พี่อย่าฆ่าผมเลยนะ!”
หลังจากถูกขู่ฆ่าและถูกกดดันโดยกลิ่นอายสังหารของอวี้ฮ่าวหราน อาโกวตอบตกลงทันทีโดยไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย
แต่แล้วหลังจากที่ตอบกลับ อาโกวก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่าง เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“พ…พี่ชาย…ผ…ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าผมพาพี่ไปเจอคนพวกนั้นแล้วพี่จะปล่อยผมไป?”
“โอ้? แกอยากได้ความมั่นใจงั้นเหรอ? ได้! ฉันให้คำมั่นกับแกเอาไว้เลยว่าถ้าแกไม่พาฉันไป ฉันฆ่าแกแน่!”
เมื่อเผชิญกับคำขู่ของอวี้ฮ่าวหราน อาโกวก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกต่อไป นอกจากต้องยอมนำทางเดินขึ้นไปชั้นสามซึ่งผู้จัดการหวังและผู้บริหารร่างอ้วนคนหนึ่งถูกมัดอยู่
“ท…ท่านประธาน! ท่านหาพวกเราเจอ! ขอบคุณ! ขอบคุณสวรรค์จริง ๆ พวกเรารอดแล้ว!”
หลังจากกังวลและตื่นตระหนกอยู่ทั้งคืน ผู้จัดการหวังและผู้บริหารร่างอ้วนต่างมีสภาพที่อิดโรย แต่เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มในเวลานี้ สีหน้าของพวกเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อวี้ฮ่าวหรานลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าคนของตัวเองยังปลอดภัยกันดี จากนั้นก็เดินไปแก้เชือกให้กับทั้งสองคน
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า โดยเฉพาะคุณ ผู้จัดการหวัง ภรรยาของคุณกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งคืนและตอนนี้กำลังรอคุณอยู่ที่บริษัท”
“ภรรยาของผม? นี่ซินเอ๋อร์ไปถึงบริษัทเพื่อขอให้ท่านประธานช่วยผมเลยงั้นเหรอ?”
ผู้จัดการหวังอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้รู้ว่าภรรยาของเขาบุกไปถึงบริษัทเพื่อตัวของเขาแบบนี้
“ภรรยาของคุณเป็นห่วงคุณมากจนสามารถวิ่งฝ่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาหาผมถึงออฟฟิศได้เลยเชียวล่ะ”
อวี้ฮ่าวหรานเล่นมุกเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
“น…นี่มันไม่น่าเชื่อเลย ปกติเธอจะกลัวไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า แต่นี่เธอถึงกับวิ่งฝ่าพวกเจ้าหน้าที่เลยงั้นเหรอ…”
ผู้จัดการหวังรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาไม่นึกเลยว่าภรรยาของเขาจะก้าวผ่านความกลัวทุกอย่างได้เพื่อเขาแบบนี้
“ภรรยาของคุณเป็นห่วงคุณจากใจจริง”
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานปลอบผู้จัดการหวังและผู้บริหารร่างอ้วนอยู่พักหนึ่ง เขาก็พาทุกคนออกจากตึกไปยังรถของพวกนักเลงที่จอดเอาไว้อยู่สองคัน เขาแบ่งรถคันหนึ่งให้ ผู้จัดการหวังและผู้บริหารร่างอ้วนขับกลับไป ส่วนตัวเขานั้นขับอีกคันไปอีกสถานที่หนึ่งกับอาโกว
…
ในคฤหาสน์ของแก๊งฉลามคลั่ง
“ฮ่า ๆ สะใจจริง ๆ โว้ย! คราวนี้ไอ้เวรนั่นมันต้องชิบหายแน่นอน!”
หลิ่วอวี้จิงมองดูข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเครือฮ่าวหรานในมือถือด้วยสีหน้าสะใจ
“แน่นอนว่าด้วยเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานจะยุ่งจนไม่มีเวลามาใส่ใจแก๊งพยัคฆ์เวหาแน่นอน และนั่นจะเป็นโอกาสที่เราจะได้ลงมือเขมือบโจวเฟยหู่ได้ทั้งตัว!”
ที่ด้านข้าง กงซุนซาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
หากแผนการนี้ของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น กว่าอวี้ฮ่าวหรานจะจัดการกับปัญหาภายในของเครือฮ่าวหรานเสร็จ มันก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสองสามเดือน ซึ่งหลังจากนั้นโจวเฟยหู่ก็คงเป็นศพไปนานแล้ว
ส่วนเรื่องที่หลี่อิงไห่ต้องการจะยึดเครือฮ่าวหรานโดยการกว้านซื้อหุ้นนั้น กงซุนซาและหลิ่วอวี้จิงไม่ได้สนใจเลย เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วกับการที่บริษัทเล็ก ๆ ของหลี่อิงไห่จะทำแบบนั้นได้สำเร็จ
พวกเขาก็แค่หลอกใช้หลี่อิงไห่ให้ถ่วงเวลาอวี้ฮ่าวหรานก็แค่นั้น
…
อีกด้านหนึ่ง ในโกดังร้างทางทิศใต้ของเมืองฮ่วยอัน
“แม่งเอ๊ย เมื่อไหร่เราจะฆ่าไอ้พวกที่เราจับมาได้สักทีวะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้วที่ต้องมาเฝ้าพวกมัน!”
“อย่าบ่นให้มากน่า เราต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากไม่มีคำสั่งอื่นเพิ่มตาม พวกมันห้ามตายเด็ดขาดไม่งั้นหัวหน้าเอาเราตายแน่!”
“…”
กลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนกำลังนั่งเล่นไพ่อยู่ในโกดังพร้อมกับสบถขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
แต่แล้วในขณะที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นจู่ ๆ ประตูโกดังกลับกระเด็นปลิวลงไปที่พื้นราวกับถูกสิบล้อชน!
โครม!!
เสียงประตูที่กระแทกลงไปที่พื้นดังสนั่นจนคนที่อยู่ในโกดังทั้งหมดสะดุ้งโหยง
“อ…อะไรวะ!? มีใครมาวางระเบิดใส่เรางั้นเหรอ???”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์หันไปมองประตูโกดังที่ไร้ซึ่งบานประตูด้วยสีหน้าโง่งม
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฝุ่นกำลังฟุ้งไปทั่ว ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาในโกดังด้วยสีหน้ายิ้มเย็นชา
“มันไม่มีระเบิดอะไรทั้งนั้นหรอก มีแต่ฉันเนี่ยแหละที่จะทำให้พวกแกพบกับจุดจบ!”