บทที่ 21 ชายผู้โชคร้ายทั้งสองคน
“ลูกพี่บอกว่ามันเป็นบ้านหลังแรกในหมู่บ้าน แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่ามันคือหลังแรกของฝั่งไหนฟระ!” เจ้ารองมองไปรอบ ๆ หมู่บ้านพลางเกาหัวอย่างคิดไม่ตก
หมู่บ้านชาวประมงไหก่างมีสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างพิเศษ ด้วยความที่มันถูกสร้างขึ้นริมทะเล ดังนั้นเมื่อบุคคลภายนอกมาที่นี่จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างทิศเหนือทิศใต้เหมือนกับคนในพื้นที่ได้
“อืม ฉันจำได้ว่าลูกพี่บอกว่าเป็นบ้านหลังแรกที่อยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้าน หรือทางตะวันตกสักอย่างนี่แหละ” เมื่อเจ้ารองได้ยินคำตอบของฉางเหมาก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งสองคนต้องการโทรกลับไปถาม แต่หลังจากคิดไปคิดมาพวกเขาก็ตัดใจ เนื่องจากกลัวว่าจะถูกด่า ขณะที่ทั้งสองกำลังหดหู่และไม่รู้ว่าจะทำยังไงอยู่นั้นเอง พวกเขาก็เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งคาบหญ้าไว้ในปากพร้อมกับเดินฮัมเพลงมาแต่ไกล
นั่นคือลูกชายคนรองตระกูลหวังนั่นเอง วันนี้เขามีความสุขมาก เนื่องจากปลาในบ่อของเขาโตขึ้นมาก นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่วิธีการเลี้ยงดูและอาหารที่ให้ก็เหมือนกับคนอื่นแต่ปลาในบ่อของเขากลับโตเร็วกว่าที่อื่น
หากบ่อเลี้ยงปลาอื่น ๆ ใช้เวลาหนึ่งปี บ่อเลี้ยงปลาของเขาจะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น แม้ว่าทุกคนจะไปหาเขาเพื่อเรียนรู้วิธีการ แต่ก็ไม่มีใครทำได้เหมือนเขา ถึงแม้ว่าลูกชายคนที่สองของตระกูลหวังจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก เขาคิดว่าเป็นเพราะที่ดินของเขามีฮวงจุ้ยที่ดี
วันนี้ลูกชายคนรองตระกูลหวังยุ่งอยู่ในบ่อปลาเป็นเวลานาน หลังจากเสร็จงานที่นั่นเขาก็ค่อย ๆ เดินกลับบ้านของเขา แต่ใครจะคิดละว่าเพิ่งเข้าไปในหมู่บ้านแท้ เขาก็ดันพบกับสิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนนี้เข้าให้! ลูกชายคนที่รองตระกูลหวังมองคนทั้งสองอย่างสงสัย ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างหยิ่งแต่ก็มีความกล้าน้อยมาก
“หยุดก่อน! ฉันถามอะไรหน่อย บ้านหลังแรกในหมู่บ้านนี้ชื่ออะไร” สิงห์มอเตอร์ไซค์ทั้งสองไม่มีทางเลือก เมื่อพวกเขาเห็นเด็กวัยรุ่นท่าทางโง่งมเดินผ่านมาก็รีบร้องถามทันที ยิ่งพวกเขาเห็นลูกชายคนรองตระกูลหวังแลดูราวกับจะกลัวพวกเขาก็ยิ่งได้ใจ
“พวกคุณมีธุระอะไรกับผม?” หลังจากที่ได้ยินลูกชายคนรองตระกูลหวังก็ตกใจมาก เขาไม่คิดว่าคนทั้งสองนี้กำลังมองหาบ้านของเขา พวกเขามาเพื่อหาซื้อปลาเหรอ? แต่พวกเขาดูไม่เหมือนคนที่มาหาซื้อปลาเลย!
“โอ้ บ้านของนายคือบ้านหลังแรกงั้นเหรอ งั้นพาเราไปบ้านนายหน่อยสิ” ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม พวกเขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นขนาดนี้ ดูท่างานที่ลูกพี่ให้พวกเขาทำน่าจะสำเร็จไม่ยาก
เมื่อลูกชายคนรองตระกูลหวังได้ยินว่าทั้งสองต้องการไปบ้านของเขา ก็คิดว่าพวกเขาคงมาซื้อปลา ไม่งั้นจะต้องการไปบ้านเขาทำไม เขารีบพาทั้งสองคนเดินไปที่บ้านทันที พลางอธิบายสรรพคุณของปลาของเขาไประหว่างทาง
“ผมบอกคุณได้เลย ปลาของบ้านผม ในหมู่บ้านแถบนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก มันเป็นปลาที่ดีที่สุด บ่อปลาอื่นไม่มีใครสามารถเทียบได้” เมื่อทั้งสองคนได้ยินสิ่งที่ลูกชายคนรองตระกูลหวังพูดก็ทำหน้าแปลก ๆ ออกมา
เขาบอกว่าปลาที่เขาจับได้นั้นเป็นปลาที่ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นมังกรทะเลสองตัวที่ถูกขายไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ต้องถูกขายโดยคนคนนี้ เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วตาของทั้งสองคนก็เปล่งประกายออกมา อย่างไรก็ตามคนทั้งสองยังคงอดทนและตามลูกชายคนรองตระกูลหวังไปจนถึงประตูบ้านของเขา
ทันใดนั้นโดยไม่รอให้ลูกชายคนรองตระกูลหวังหันกลับมา ทั้งสองคนก็ทุบตีลูกชายคนรองตระกูลหวังอย่างหนักหน่วงทันที ครั้งนี้ลูกชายคนรองตระกูลหวังไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงถูกตี ตอนนี้นอกเหนือจากความคับข้องใจแล้ว เขาก็ได้แต่กุมหัวไว้เพื่อปกป้องตัวเองจากมือและเท้าที่ประเคนลงมา
ลูกชายคนรองตระกูลหวังร้องเสียงดังจนพ่อแม่ของเขาที่กำลังทำอาหารอยู่ในบ้านได้ยิน เมื่อคนทั้งสองวิ่งออกมาดู พวกเขาก็เห็นคนแปลกหน้าสองคนกำลังทุบตีลูกชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน! เมื่อทั้งคู่เห็นภาพนี้พวกเขาก็โกรธจัด แม่ของลูกชายคนรองตระกูลหวังหยิบไม้กวาดออกมาและพ่อของเขาก็คว้าท่อเหล็กออกมา
คู่สามีภรรยาวิ่งไปด้านหน้าของคนแปลกหน้าสองคน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแก่แล้ว แต่เมื่อใช้ไม้กวาดและท่อเหล็กตีลงไปก็สร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อย เสียงตะโกนของพวกเขาทำให้เพื่อนบ้านตกใจจนวิ่งออกมาดู
เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้ คนแปลกหน้าทั้งสองก็รีบวิ่งไปที่ด้านนอกของหมู่บ้านเพื่อจะขับมอเตอร์ไซค์หนี แต่ตอนนี้บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน นั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถขี่มอเตอร์ไซค์หนีได้ ด้วยความสิ้นหวังทั้งสองจึงต้องทิ้งมอเตอร์ไซค์และวิ่งหนีไป
ขณะที่ฉู่เหินกำลังนั่งอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงโวยวายดังจากข้างนอกบ้าน เขาบอกให้เสี่ยวชิงรออยู่ในบ้านแล้วรีบสวมรองเท้าวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อฉู่เหินวิ่งออกมา คนเหล่านั้นก็วิ่งไปไกลแล้ว
หลังจากที่พวกนั้นหายไปในความมืดแล้ว ฉู่เหินก็ได้แต่เสียดายที่ตัวเองออกมาช้าเกินไป ต่อมาเขาก็รู้ว่ามีคนสองคนรุมทำร้ายลูกชายคนรองตระกูลหวัง สำหรับเขาแล้ว แม้ว่าลูกชายคนรองตระกูลหวังจะค่อนข้างเป็นคนชอบวางโตโอ้อวด แต่ปกติแล้วก็เป็นเขาก็คนดีมาก
ยิ่งไปกว่านั้นฉู่เหินรู้ดีว่าลูกชายคนรองตระกูลหวังเป็นคนขี้ขลาด แม้กระทั่งใบไม้ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ยังทำให้เขาตกใจได้ แล้วคนเช่นนี้จะทำให้คนอื่นโมโหได้ยังไง แถมยังโมโหถึงขนาดที่ว่าเต็มใจที่จะเสี่ยงขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ และเข้ารุมทำร้าย
แต่เมื่อเขาได้ยินว่าชายทั้งสองกำลังมองหาบ้านหลังแรกในหมู่บ้าน เมื่อฉู่เหินได้ยินดังนั้นเขาก็เข้าใจทันที บางทีลูกชายคนรองตระกูลหวังอาจจะรับเคราะห์แทนตัวเองและผู้ชายสองคนนี้ตั้งใจจะมาจัดการกับเขา เพียงแต่ช่วงนี้เขาไม่เคยไปมีเรื่องกับใคร หากใครที่ไม่พอใจเขาจริง ๆ แล้วก็น่าจะเป็นหลิวซานหู่ในวันนั้น ฉู่เหินคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วและไม่คิดว่า หลิวซานหู่จะส่งคนมาสร้างปัญหาให้เขา
เดิมทีฉู่เหินต้องการไปเยี่ยมลูกชายคนรองตระกูลหวัง แต่เสี่ยวชิงยังรอเขาอยู่ที่บ้าน หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจไปส่งเสี่ยวชิงกลับบ้านก่อน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ในฤดูร้อนกลางวันจะยาวนานกว่าเล็กน้อย ดังนั้นสองทุ่มกว่าท้องฟ้าถึงจะมืดลง
“ถ้าเธอยังไม่กลับบ้าน ฉันกลัวว่าพ่อแม่ของเธอจะเป็นห่วงแล้วนะ” หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่เหิน ถึงแม้ว่าเสี่ยวชิงจะเคืองอยู่บ้างแต่เธอก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
แต่เดิมเสี่ยวชิงต้องการออกไปที่ทะเลกับฉู่เหิน แต่หลังจากคิดว่ามีกฎที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ปากต่อปาก ของหมู่บ้านชายฝั่งทะเลทั้งหลาย เรื่องที่ผู้หญิงไม่สามารถออกทะเลได้ ดังนั้นทุกครอบครัวจะไม่ยอมให้ผู้หญิงขึ้นเรือเมื่อพวกเขาจะไปหาปลา แม้ว่าคนหนุ่มสาวบางคนจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่พวกเขาต่างก็ถูกเฝ้ามองโดยผู้เฒ่าผู้แก่จึงไม่มีใครกล้าที่จะละเมิดมัน
หลังจากฉู่เหินไปส่งเสี่ยวชิงที่หน้าหมู่บ้านของเธอแล้ว เขาก็ไม่กล้าเข้าไปข้างใน เขาไม่กลัวคนอื่นจะเห็น แต่เขากลัวว่าเสี่ยวเฟิงจะรู้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะฝึกฝนจนเป็นยอดฝีมือแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเสี่ยวเฟิงเขาก็ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่ดี
นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับการฝึกฝน ถ้าเสี่ยวเฟิงตีเขาจริง ๆ เขาจะกล้าตีกลับเหรอ ? มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่ลูกชายคนรองตระกูลหวังไม่สามารถเอาชนะเสี่ยวเฟิงได้ ดังนั้นกับบางคนจึงไม่สามารถใช้เลยกำปั้นเพื่อแก้ปัญหาได้
สำหรับคนเช่นนั้น มีเพียงการใช้กลยุทธ์ที่สามสิบหกหรือก็คือการหนี! จึงจะเป็นการดีที่สุด หลังจากแยกทางกับเสี่ยวชิงแล้ว ฉู่เหินก็ค่อย ๆ เดินกลับไปที่หมู่บ้านชาวประมงไหก่างของเขา