บทที่ 32 เขาชื่อว่าฉู่เหิน เป็นน้องชายของฉัน[รีไรท์]
พวกเขามองเห็นอะไร พระเจ้าช่วย!!!
นายกเทศมนตรีและรองนายกเทศมนตรี ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนประจำมณฑลและรองผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนประจำมณฑล ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนประจำเมืองและรองผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนประจำเมือง พวกเขาทั้งหมดต่างยืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
ตอนนี้พวกตำรวจข้างในต่างรู้สึกว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น และมันต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน เนื่องจากตอนนี้เหล่าหัวหน้าทั้งหลายต่างออกไปปฏิบัติงานข้างนอก จึงไม่มีใครที่สามารถออกคำสั่งได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐชั้นผู้น้อยเหล่านี้จึงตัดสินใจออกไปยืนข้างนอกด้วยตัวเอง! ล้อเล่นน่า! ไม่เห็นพวกหัวหน้าใหญ่ยืนอยู่ด้านนอกเหรอไง!
ในเวลานี้ถ้าใครยังกล้านั่งอยู่ในห้องแอร์ นั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ! อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกเขาออกไปข้างนอกได้ไม่นาน พวกเขาก็เห็นบุคคลอีกผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นตัวจริงของคนผู้นั้นมาก่อน แต่อย่างน้อยก็มักจะเห็นในข่าวทางทีวี คนผู้นั้นคือผู้ว่าการมณฑลจางหยู่!
จนถึงตอนนี้พวกเขาสามารถฟันธงได้แล้วว่า ครั้งนี้จะต้องมีเรื่องใหญ่มากเกิดขึ้น มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ผู้ว่าการมณฑลมาด้วยตัวเอง ต่อมาคนฉลาดบางคนก็เริ่มคิดขึ้นมาได้ หรือว่าที่พวกเขาทั้งหมดมารวมกันคราวนี้เป็นเพราะหัวหน้าของตัวเอง? หลังจากคิดถึงตอนนี้คนบางคนเริ่มมีใบหน้าปั้นยาก ในขณะที่คนอื่นเริ่มมองด้วยสายตาสะใจ
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคนที่กำลังทำหน้าปั้นยากนั้น คือคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้กำกับคนนั้น ส่วนกลุ่มคนที่มีความสุขและสะใจก็คือคนที่มักถูกพวกเขารังแก แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่าตอนนี้ภายในสำนักงานรักษาความปลอดภัยพลเรือนแห่งนี้นั้น ยังมีเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังทำงานยุ่งอยู่
“ซานซาน คนอื่นออกไปกันหมดแล้ว นายไม่ออกไปข้างนอกเหรอ?” ชายหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เงยหน้าขึ้นถามเพื่อนร่วมงานที่กำลังนั่งทำงานอยู่เช่นกัน
“ฉันไม่ได้อยากเกาะมังกรเกาะหงส์อะไร ทำไมฉันต้องออกไปข้างนอกด้วย นั่งทำงานของฉันไปอย่างนี้ดีกว่า ถ้าเห็นว่าฉันขวางหูขวางตาก็ไล่ฉันออกได้เลย สำนักงานใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีคนทำงานอยู่สักคนได้ยังไง! ว่าแต่เฉิงเฟิงคนที่จบจากมหาวิทยาลัยอย่างนายทำไมไม่ออกไปล่ะ เผื่อโชคดีอาจจะได้ทำความรู้จักกับพวกหัวหน้าใหญ่บ้างก็เป็นได้!”
หลังจากเฉิงเฟิงได้ยินคำพูดของชานซาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ความฝันของฉันคือการเป็นข้าราชการที่ดี สำหรับเรื่องใช้เส้นสายพวกนั้นปล่อยมันไปเถอะ มันไม่เหมาะกับฉันหรอก” หลังจากพูดจบเฉิงเฟิงก็เริ่มทำงานในมือของเขาอีกครั้ง
ช่วงเวลาแห่งความทรมานนี้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นรถเก่า ๆ สองคันวิ่งมาจากระยะไกล ๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งหมดสี่คน มีสารวัตรคนหนึ่งและรองสารวัตรอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนมีลูกน้องอีกหนึ่งคนในทีม! เดิมทีพวกเขาทั้งสี่คนต่างมีความสุขมาก นั่นเป็นเพราะถ้าพวกเขาทำเรื่องนี้ได้สำเร็จละก็ พวกเขาทั้งหมดก็จะมีวันคืนที่รุ่งเรืองอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกเขากำลังเข้าไปใกล้ประตูของสำนักรักษาความปลอดภัยพลเรือน พวกเขาก็เห็นเข้ากับรถยนต์หลายคันจอดอยู่ข้างสถานีตำรวจ และก็มีคนหลายคนยืนอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นท่าทางเคารพนบนอบราวกับคนเหล่านั้นราวกับกำลังรอต้อนรับตนเองอยู่ยังไงยังงั้น นั่นก็ทำให้สารวัตรและรองสารวัตรต่างพากันใจสั่น ในความคิดของพวกเขา คนพวกนี้น่าจะเป็นคนที่ถูกจับอยู่บนรถโทรเรียกมาแน่เลย
แต่เมื่อพวกเขามองอย่างละเอียดทีละคนก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงพลเรือนประจำมณฑลนั้นพวกเขาต่างก็รู้จัก แต่ว่าทำไมหัวหน้าใหญ่ทั้งสองถึงมาที่นี่ในตอนนี้
จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ “คนพวกนั้นเป็นใคร? ดูเหมือนว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีและรองนายกเทศมนตรี” พวกเขารีบหยุดรถ แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงไป ในเวลานี้พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง
ในขณะทั้งสองกำลังคิดเกี่ยวกับผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการด้วยความวุ่นวายใจ พลางรู้สึกว่าสมองของตัวเองมีไม่พอ ลองคิดดูซิ คนทั้งสี่คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ลำดับต้น ๆ ของมณฑล จะบอกว่าคนเหล่านั้นมารอต้อนรับพวกเขาตีให้ตายพวกเขาก็ไม่เชื่อ
หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบมองดูคนอื่น ๆ ตอนแรกที่เห็นคนทั้งสี่ พวกเขาก็คิดว่าอาจจะเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า หรือว่าวันนี้ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการจะจัดงานเลี้ยง? ทั้งสองคนหันมาสบตากันสักพัก ก่อนที่จะเหลือบมองผู้ชายที่ชื่อจางหยู่จากนั้นก็เลิกใส่ใจ ไม่มีทางเลือก ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นพวกเขานึกไม่ออกว่าคนคนนั้นเป็นใคร
คนเหล่านี้ไม่ได้ลงจากรถและคนที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้เดินเข้าไป ราวกับทุกคนกำลังเผชิญหน้ากันในลักษณะนี้ ! ผ่านไปไม่นาน คนที่อยู่บนรถก็ไม่สามารถทนต่อแรงบีบคั้นเช่นนี้ได้ พวกเขาเปิดประตูรถแล้วรีบลงไป ก่อนที่จะก้มหัวทักทายพวกผู้นำเหล่านั้น!
อย่างไรก็ตามสารวัตรและพวกลูกน้องของเขาต่างก็พบว่า เหล่าผู้นำต่างมองดูพวกเขาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้แต่ยืนก้มหน้าอย่างเชื่อฟัง และไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา สำหรับคนไม่กี่คนที่อยู่บนรถนั้น พวกเขาต่างก็ลืมไปนานแล้ว ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดคือการช่วยชีวิตตัวเองก่อน
ฉู่เหินมองสถานการณ์ที่ด้านนอก เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มคนเหล่านั้นไม่มีคนที่เขารู้จักเลย ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าช่วงนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน จะให้เอาเวลาที่ไหนไปดูทีวี
หลังจากลงจากรถ ฉู่เหินก็เดินไปเปิดประตูรถฝั่งผู้อาวุโสจางและช่วยพยุงเขาออกมาเสี่ยวชิงและพี่ใหญ่จางเปิดประตูรถอีกคันออกมา จากนั้นพี่ใหญ่หวงและพี่สะใภ้ก็ทยอยกันลงมาจากรถ น่าแปลกที่ตอนนี้พี่สะใภ้สามารถเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ โดยไม่ต้องมีใครช่วยพยุงได้แล้ว
อย่างไรก็ตามเสี่ยวชิงก็ยังคงเข้าคอยประคองอย่างเอาใจใส่ ทุกคนพากันเดินไปที่สำนักงานความมั่นคงฯ โดยที่คนที่ยืนอยู่ด้านข้างเหล่านั้นต่างไม่มีใครใส่ใจพวกเขาเลย เดิมทีจางหยู่ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อถูกสายตาของผู้อาวุโสจางจ้องมอง เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปาก จากนั้นเหล่าผู้นำก็มองดูพวกฉู่เหินเดินเข้าไปในสำนักงานรักษาความปลอดภัยพลเรือนแล้วพวกเขาก็รีบตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าผู้อาวุโสจางจะไม่ได้พูดอะไรกับลูกชายของเขา แต่จางหยู่ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก! แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความสุขเพราะชายชราถูกจับ แต่เป็นเพราะเขาเห็นชายชราเดินมาด้วยตัวเอง ตัวเขารู้ดีว่าขาข้างหนึ่งของพ่อเขานั้นไม่ดีนัก ปกติเวลาเดินเขาต้องจะต้องใช้ไม้เท้าช่วยอยู่ตลอดเวลา แต่มาตอนนี้มันกลับไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
“ฉันขอแนะนำให้พวกคุณรู้จักก่อน นี่คือน้องชายของฉันชื่อฉู่เหิน นี่คือแฟนของเขาหลิวเสี่ยวชิง! เรื่องอื่น ๆ ฉันไม่อยากรู้ ฉันให้เวลาพวกคุณสามวันในการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นพวกคุณทุกคนรวมถึงจางหยู่จงกลับบ้านไปปลูกมันฝรั่งแทนเถอะ!” หลังจากที่ชายชราพูดจบ เขาก็นั่งลงด้วยความโกรธและไม่พูดอะไรออกมาอีก
เหล่าผู้คนพากันรุมซักถามฉู่เหินถึงสาเหตุของเรื่องราว พวกเขามีท่าทางเกรงอกเกรงใจขณะที่สอบถาม ไม่เพียงแต่ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ แม้แต่จางหยู่เองก็เช่นกัน อย่าล้อเล่นน่า คนที่ผู้อาวุโสจางให้เกียรตินั้นมีอยู่ไม่กี่คน ดังนั้นลูกชายของเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!
ใช้เวลาไม่นานทุกคนก็เข้าใจถึงสาเหตุของเรื่องราว และคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ต่างก็โกรธเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ อีกทั้งยังมีการใช้ความรุนแรง! โชคดีที่ฉู่เหินเองก็มีเขี้ยวเล็บอยู่บ้าง ถ้าหากฉู่เหินโดนเจ้าพวกโง่เง่านี้ทำร้ายเข้าจริง ๆ ละก็ น่ากลัวว่าเรื่องนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
แน่นอน คนเหล่านี้ต่างก็ไม่รู้ว่าเมื่อฉู่เหินเจอเจ้าพวกโง่เง่าพวกนั้น เขายังไม่ได้รู้จักกับผู้อาวุโสจาง และตอนนี้เรื่องก็ได้บทสรุปแล้ว แต่ในขณะนั้นเองพี่ใหญ่จางก็พลันพูดออกมาเบา ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้กลุ่มคนที่เพิ่งสงบใจลงได้ระทึกใจขึ้นมาอีกครั้ง