โรงเรียนนักผจญภัยอัลเมเรียใช้ระบบแบบที่นักเรียนสามารถเลือกรับบทเรียนใดๆก็ได้ ทั้งคาบเล็คเชอร์หรือปฎิบัติ ที่เห็นว่าจำเป็นต่อตัวเอง ที่ใช้ระบบแบบนี้ก็เป็นเพราะ <<คลาส>> ของนักผจญภัยมันมีแตกแยกออกมาเป็นสาขาต่างๆมากมาย และถึงแม้ว่าจะมี <<คลาส>> แบบเดียวกัน แต่ทุกคนก็ไม่ได้มีความรู้ สกิล และสไตล์การต่อสู้ที่จำเป็นต่อการเติบโตเหมือนกันเป๊ะซะหมดนั่นเอง
แต่นั่นมันก็คือในกรณีของคนที่มีเลเวลสูงกว่า 20 ขึ้นไป กล่าวคือเป็นกรณีของคนที่คลาสอัพไปเป็นอาชีพระดับกลางกันแล้วนั่นแหละ นักผจญภัยหน้าใหม่ที่เพิ่งจะได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆอย่างพวกผมน่ะ ได้ถูกโรงเรียนกึ่งๆกำหนดคาบเรียนที่ <<คลาส>> นั้นๆสมควรต้องได้เรียนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ทว่าคาบเรียนบังคับพวกนั้นก็มีไปจนถึงแค่ช่วงกลางวัน หลังจากนั้นใครจะทำอะไรก็แล้วแต่ จะไปเข้าคาบเรียนที่ตนมีความสนใจต่อก็ได้ ไปทำเควสต์เก็บสั่งสมประสบการณ์และทดลองใช้ความรู้ที่ได้จากการร่ำเรียนในศึกจริงไปด้วยก็ดี นับว่าเป็นรูปแบบการเรียนที่มีระดับอิสระสูงพอสมควรเลย
ฉะนั้นผมจึงสามารถศึกษาที่โรงเรียนนักผจญภัย แล้วก็ฝึกวิชากับเหล่าอาจารย์ที่คฤหาสน์ได้ทั้งสองอย่าง สภาพแวดล้อมอันไร้ที่ติแบบนี้ทำเอาผมตื้นตันมากจนตัวจะลอยเลยเนี่ย
(ขอสู้กับผู้คนหลายๆแบบอย่างที่คุณลีโอเน่เค้าแนะนำนั่นก็ด้วยแหละ แต่คาบเล็คเชอร์เองก็สำคัญไม่แพ้กันนะ! ถ้าศึกษาพวกความรู้ขั้นพื้นฐานที่เป็นแก่นในที่นี่เอาไว้ ก็น่าจะทำให้ซึมซับการฝึกแล้วก็เข้าใจในเรื่องเล่าประสบการณ์วีรกรรมของพวกคุณลีโอเน่ได้มากยิ่งขึ้นด้วย!)
เพราะมีใจกระปรี้กระเปร่าแบบนี้แหละ ทำให้ผมที่มีจุดยืนเป็นเด็กใหม่ย้ายเข้ามาเรียนกลางคันสามารถมั่นหน้าเข้าไปนั่งฟังเล็คเชอร์ยามเช้าได้แบบกระตือรือร้น ทว่า……..สภาพแวดล้อมอันน่าจะไร้ที่ตินี่ แท้จริงแล้วมันมีปัญหาใหญ่อยู่หนึ่งอย่างเหมือนกัน
“ ………………….ชิ!! ”
นั่นก็คือจิเซลที่เข้ามานั่งฟังเล็คเชอร์อยู่ในห้องเรียนเดียวกันนั้น อารมณ์โคต~~~รเสียสุดๆไปเลยน่ะเอง
ขนาดผมที่นั่งอยู่ห่างไปพอสมควรยังดูรู้เลย…….ท่าทางมันชัดเจนแจ่มแจ้งมากซะจนชวนให้สงสัยเลยด้วยซ้ำเนี่ยว่าจิเซลแอบใช้สกิลกดดันใส่ผมอยู่รึเปล่า
แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นบรรยากาศไม่สู้ดีนี้หรือยังไง แก๊งสถานกำพร้าและพวกเด็กๆในเมืองที่เพิ่งจะได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆในปีนี้ก็เลยเว้นช่วงไว้ระยะห่างจากผมกันหมด มีคนอยู่เต็มห้องเรียนเลยแท้ๆ แต่มีแค่บริเวณรอบตัวผมนี่แหละที่ว่างโล่งเป็นช่องเลย
(ซะ จิเซลยังโกรธอยู่จริงๆด้วย……..!)
แต่จะโกรธก็สมควรแล้วล่ะ
ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ ถึงแม้จะได้เวทรักษาช่วยจนแผลหายเป็นปลิดทิ้งเลยก็เถอะ แต่ความจริงเรื่องที่ผมใช้สกิลฟาดการโจมตีอัดเข้ากลางเบ้าหน้าของสาวตัวน้อยๆนั่นมันก็ยังคงอยู่ดังเดิม จะโกรธก็แหงอยู่แล้ว
หลังจากจบการสอบและไปรายงานผลให้พวกคุณลีโอเน่รับรู้แล้ว ผมก็แว๊บกลับมาขอโทษอีกรอบอยู่หรอกนะ แต่จิเซลที่ฟื้นได้สติในตอนนั้นก็เอาแต่ตะโกนว่า [มันต้องผิดพลาดตรงไหนแน่ๆ!] แล้วพยายามจะเข้ามาทำร้ายผมท่าเดียวเลย ไม่ค่อยชัวร์เหมือนกันว่าได้ยินเสียงผมขอโทษรึเปล่า……..ลองขอโทษด้วยใจจริงอีกซักรอบนึงคงจะดีกว่าละมั้ง
“ อะ เอ่อ! จิเซล! ”
พอเล็คเชอร์จบปุ๊บ ผมก็บึ่งตรงเข้าไปหาจิเซลโดยพลัน
“ คือว่า ขอโทษนะ! การสอบจบไปแล้วแท้ๆแต่ดันโจมตีใส่แบบนะ——-อุก ”
จ้อง!
โดนจ้องด้วยสายตารุนแรงสุดขั้วจนพูดอะไรไม่ออกเลย
ไอ้เจ้าบรรยากาศที่เหมือนจะสื่อว่า “ อย่าสะเออะเข้ามาชวนคุย ” นั่นมันทิ่มแทงเชือดเฉือนซะหยั่งกับใช้ฆ่าคนได้ ขนาดพวกลูกไล่ที่อยู่รอบๆก็ยังต้องถึงกับส่งสายตาประมาณ “ เฮ้ยอย่าไปกระตุ้นไม่เข้าเรื่องสิวะไอ้บ้าช่วยไสหัวไปที่อื่นทีเหอะขอร้องล่ะ! ” มาให้ผมด้วยเลยอีกต่างหาก
นี่แหละนะที่เค้าเรียกว่าอับจนหนทางอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดแล้วในวันนั้น อย่าว่าแต่จะขอโทษเลย แค่เอาตัวเข้าไปเฉียดใกล้จิเซลผมก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ อื~อ…….ทำยังไงดีหว่า……. ”
ผมที่เข้าคาบเรียนในวันนี้ครบหมดทุกวิชาแล้ว กำลังเดินทางกลับคฤหาสน์พลางเอียงหัวส่งเสียงอืมๆใช้ความคิดไปด้วย
ที่ถึงกับต้องคิดหนักขนาดนี้นั้นก็เพราะ สถานการณ์ที่ผู้คนพากันหลีกเลี่ยงไม่คบค้าสมาคมเพราะผมทำจิเซลโมโหนั่น มันลากยาวไปถึงคาบเรียนปฎิบัติด้วยนั่นเอง
เนื่องจากสกิลที่ปรากฎขึ้นมาโอนเอียงไปทางสายนั้น ทำให้ตัวผมที่เป็น <<ไร้อาชีพ>> ได้ถูกส่งเข้ามาร่วมเรียนปฎิบัติกับสายอาชีพระยะประชิดด้วยแน่ะ แน่นอนว่าในนั้นก็มีจิเซลที่หงุดหงิดจิตงุ่นง่านถึงขีดสุดอยู่ด้วย ทำให้ตัวผมซึ่งถูกเพ่งเป้าความพิโรธเข้าใส่ไม่อาจหาคนมาเป็นคู่ซ้อมสู้ประลองฝีมือได้ไปโดยปริยาย คนที่เคยเป็นรูมเมทกับผมตอนสมัยสถานกำพร้าเค้าก็ทำมือบอกแค่ว่า “ ขอโทษนะ ” แล้วหลบไปเลย ขนาดพวกเด็กๆในเมืองที่น่าจะไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึกหนาบางอะไรมากก็ยังสัมผัสได้ถึงท่าทางไม่สู้ดี ปฎิเสธไม่ยอมจับคู่กับผมกันหมด
เกี่ยวกับสู้ประลองฝีมือนี่ เราสามารถประกาศหาคู่ซ้อมในสนามฝึกซ้อมอิสระ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเลเวลเท่าไหร่หรือเป็น <<คลาส>> อะไร ได้ก็จริง….แต่ก็คงไม่น่ามีคนที่อยากจะเป็นคู่ซ้อมให้กับนักผจญภัยหน้าใหม่ที่เพิ่งจะได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆอย่างผมหรอก
“ แบบนี้ก็ทำตามคำสั่งของคุณลีโอเน่ที่ว่า [จงไปสู้กับผู้คนหลายๆแบบแล้วเก็บสั่งสมประสบการณ์ซะ] ไม่ได้น่ะสิ…….. ”
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ความหมายของการกลับมาเรียนก็จะลดหลั่นหายไปครึ่งนึงเลย
ถึงไม่ใช่แบบนั้น แต่สถานการณ์ที่ความเลินเล่อของผมทำให้จิเซลโกรธไม่ยอมหายซะทีแบบนี้มันก็ชวนให้รู้สึกปวดใจอยู่ดี อยากจะหาทางคืนดีกับจิเซลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้อยู่หรอกนะ……..แต่จิเซลเค้าก็เกลียดผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แถมถ้าเข้าไปคุยด้วยก็ยังทำไม่ได้แบบนี้ก็ไร้ซึ่งหนทางกันพอดี……
เดินไปตามทางเดินภายในโรงเรียนพลางครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี—-เป็นในฉับพลันนั้นเอง
ที่จู่ๆเหตุการณ์อันแสนจะเหลือเชื่อ ก็พลันบังเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันและเฉียบพลัน
“ ………..! ใช่จริงๆด้วย! ”
พริบตาหลังจากที่เหมือนได้ยินเสียงอันงามสง่าเช่นนั้นดังลอยมาจากจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป—ฟิ้ว! เสียงอะไรบางอย่างแล่นเฉือนสายลมก็ดังกังวาน พร้อมกันกับที่ คนคนนั้น พลันปรากฎตัวขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าสายตาผม
เส้นผมสีเงินกับผิวสีขาวนวลอันงดงามดูละม้ายคล้ายกับดาบอันเลอค่าหนึ่งเล่ม รูปโฉมที่มีสง่าราศีราวกับไม่ใช่ของจากภพนี้นั่น…..ผมไม่มีทางดูผิดเด็ดขาด
ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า คนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นนักผจญภัย
คุณเอลิเซีย ราฟาแกลิออนเค้า…….กำลังยืนขวางอยู่เบื้องหน้าของผม
“ ———เอ๊ะ!? เดี๋ยวนะ ห้ะ!? ”
ผมนี่คืออลหม่านอย่างหนักเลย ก็แค่กระพริบตาครั้งเดียวฉับพลันถัดมาคุณเอลิเซียก็โผล่อยู่ตรงหน้าแล้วนี่นา แถมสถานการณ์มันยังไม่ได้จบอยู่แค่นั้นอีกต่างหาก
“ ค่อยยังชั่ว…….กลุ่มนักผจญภัยระดับ S สามคนนั้นเค้าไม่ได้ติดต่อแจ้งเรื่องอะไรมาซักนิดเดียว ก็เลยนึกว่าจงใจโกหกว่าเธอไม่เป็นอันตรายใดๆถึงชีวิตเพื่อเร่งให้ฉันมุ่งหน้าไปจัดการกับสแตมปีดซะอีก…..! แต่เมื่อวาน ได้ยินว่ามี <<ไร้อาชีพ>> มาเข้ารับการสอบชิงสิทธิ แล้วทีนี้ฉันก็เลย—– ”
“ ฮ๊าววว!? อุเอ๊ะ!? อะหวา…อะหวาหวาหวาหวาหวาหวา!? ”
อารมณ์มันปั่นป่วนโดยสมบูรณ์ ทั้งตัวแดงแจ๋ไปหมดหยั่งกับแอปเปิลเลย
ก็คุณเอลิเซียเค้ากุมมือผมเอาไว้ด้วยสีหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ แล้วสัมผัสอันอ่อนนุ่มกับไออุ่นนั่นมันก็หน้าอยู่ใกล้เสียงไพเราะกลิ่นก็หอมอ๊าาาาาาาา!?
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่……ใครก็ได้! ใครก็ได้ช่วยอธิบายที!!
หันขวับมองไปรอบๆราวกับกึ่งๆร้องเรียกขอความช่วยเหลือทันควัน แต่รอบข้างเองก็พอกัน ถึงจะไม่ขนาดผม แต่ผู้คนก็แตกตื่นกันใช่เล่น
“ เฮ้ยนั่นมัน….ผู้สืบสายเลือดผู้กล้าไม่ใช่เหรอ? ” “ เอ๊ะ!? กุมมือเด็กผู้ชายแล้วร้องไห้อยู่!? เกิดเหตุงามหน้า!? ” “ เอ้ยๆ…ให้ว่าแล้วเด็กนั่นมัน <<ไร้อาชีพ>> ที่สอบชิงสิทธิผ่านเมื่อวานซืนไม่ใช่เรอะ…… ”
ผ่านไปได้ไม่กี่วินาทีเองแต่ก็พร้อมใจแห่มามุงกันเรียบร้อยแล้ว
เจอความแตกตื่นแบบนี้แล้ว หัวผมยิ่งทวีคูณความอลหม่านหนักเข้าไปใหญ่ ทว่า
“ …….อยู่ตรงนี้ ออกจะสะดุดตาเกินไปนิดสินะ ”
“ เอ๊ะ!? ”
ในฉับพลันที่คุณเอลิเซียพึมพำออกมาเบาๆหลังรับรู้ถึงความแตกตื่น ผมก็ถูกคุณเอลิเซียหิ้วตัวแนบรักแร้——
“ เอ๋——————-!? ”
แล้วก็โดนคุณเอลิเซียฉุดหายไปด้วยความเร็วมหาศาลทั้งๆอย่างนั้นเลย
และแล้วคุณเอลิเซียที่ฉุดผมเข้ามาอยู่ใต้เงาของสนามประลองอันไร้ซึ่งวี่แววผู้คน ก็ค่อยๆทำการกล่าวอธิบายเรื่องราวความเป็นมาให้ผมที่งุนงงสับสนไม่รู้อะไรเป็นยังไงได้ฟังอย่างช้าๆ
ในวันที่โค่นฮีโดร่าลงได้นั่น คุณเอลิเซียเค้าถูกพวกคุณลีโอเน่ไล่ให้ต้องออกห่างไปจากผมอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปรับมือกับสแตมปีด (ฝูงสัตว์ประหลาดบ้าคลั่ง) ต่อ
แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อเพิ่มเติมใดๆมาอีก เลยหลงเข้าใจผิดคิดว่าผมตายไปแล้ว
ทว่าเป็นในตอนนั้นเอง ที่ได้ยินข่าวว่ามี <<ไร้อาชีพ>> ผ่านการสอบชิงสิทธิเข้ามาได้ ก็เลยออกมาเดินตระเวนดูรอบๆโรงเรียนหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เมื่อวาน……อือ ก็เป็นสิ่งที่คุณเอลิเซียพูดออกมาเมื่อตะกี้ทั้งหมดเลยนั่นแหละนะ
แต่ผมที่สมองหยุดทำงานไปโดยสมบูรณ์นี่ก็เพิ่งจะเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาหลังจากได้เค้าช่วยอธิบายให้ใหม่อีกรอบนี่แหละ
ง่ายๆเลยก็คือ พวกคุณลีโอเน่เค้าคงเผลอลืมสัญญาที่ให้กับคุณเอลิเซียว่า [แล้วจะแจ้งความเป็นอยู่ของผมให้ทราบทีหลัง] นั่นไปละมั้ง
พอได้ฟังคำอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้แล้วก็ค่อยสงบใจลงได้หน่อย—–แต่สถานการณ์ที่มีคุณเอลิเซียยืนอยู่ต่อหน้านี่ก็พลันทำให้ผมสติแตกกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้งทันที….และแล้ว คุณเอลิเซียก็ก้มหัวให้กับผมที่มึนๆอยู่ด้วยท่วงท่าอากัปกิริยาอันงดงาม
“ ทีนี้ก็เลย…….เฝ้าตามหาเธอมาตลอด เพราะอยากขอโทษที่พาลพูดจาไม่ดีใส่ไปในตอนนั้น แล้วก็อยากจะขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้จากเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นน่ะ ต้องขอโทษด้วยนะ แล้วก็ ขอบคุณนะ ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะทำได้ ก็พูดบอกออกมาได้ทั้งหมดเลย ”
“ มะ ไม่ครับไม่ครับไม่ๆครับ! นั่นมันก็ไม่ใช่ฝีมือผมคนเดียวเลยซักนิดด้วย! ไม่ต้องไปใส่ใจก็ได้นะครับ! แค่ได้ยินคุณเอลิเซียพูดแบบนี้ผมก็….ตื้นตันจนไม่รู้จะตื้นตันยังไงแล้ว……! ”
ที่บอกว่าพาลนั่นมันคืออะไรหว่า…..แม้จะรู้สึกฉงนขึ้นมาแต่หัวมันก็ตื๊อคิดอะไรไม่ออกเลย
ส่ายหัวที่หดอย่างประหม่าฟุ่บฟั่บ แต่คุณเอลิเซียเค้าก็ทำสีหน้าจริงจังไม่ยอมถอยให้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ ไม่ได้ แบบนั้นฉันก็ทำใจให้สงบไม่ได้กันพอดีสิ ”
“ อะ อ๊าวอ๊าว…… ”
คุณเอลิเซียเค้าเอาใบหน้าที่งดงามแนบชิดเข้ามา จนผมนี่คือเกือบๆจะหายใจไม่ได้อยู่แล้ว
อะ อืมมม……ถึงจะพูดว่า “ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไปขอบคุณเหล่านักผจญภัยระดับ S ในตอนนั้นแทนเถอะ ” แต่พวกคุณลีโอเน่เค้าก็แสร้งเหมือนกับว่าเดินทางออกจากเมืองนี้ไปแล้วด้วยนี่สิประเด็น…….แล้วคนอย่างผมมันจะร้องขออะไรจากคุณเอลิเซียเค้าได้เล่า……..
เป็นในจังหวะที่ความดีใจกับความสับสน ความหวาดหวั่นกับความหลงใหล ความประหม่า…อารมณ์หลากหลายรูปแบบมันพุ่งทะลุเกินขีดจำกัดที่รับไหวจนเกือบๆจะหลั่งไหลทะลักออกมาอยู่นั่นเอง ที่พลันมีไอเดียหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัวของผมที่กลัดกลุ้มอยู่ถึงขีดสุด
“ ………….อ๊ะ เอ่อ ถ้าอย่างงั้นก็……….. ”
นั่นแหละคือ สิ่งที่ผมกำลังกลุ้มใจเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในตอนนี้
“ คือว่า ผม….ตอนนี้ผมทำเด็กผู้หญิงในสถานกำพร้าเค้าโมโหสุดๆไปเลยครับ ”
และแล้วผม ก็เล่าเรื่องระหว่างผมกับจิเซลให้คุณเอลิเซียฟัง
“ ——-แล้วทีนี้ ก็ไม่รู้เลยน่ะครับว่าต้องขอโทษยังไงเค้าถึงจะยอมอภัยให้ ถ้าเป็นนักผจญภัยหญิงเหมือนกันอย่างคุณเอลิเซียแล้วละก็ อาจจะมีข้อเสนอแนะอะไรดีๆก็ได้….แบบนี้ ”
พอเล่าทั้งหมดให้ฟังจบแล้ว ผมก็จ้องมองขึ้นมายังใบหน้าของคุณเอลิเซีย
คุณเอลิเซียเค้ากำลังขมวดคิ้วอันแสนงดงามนั่นอยู่ด้วยท่าทางเหมือนใช้ความคิด ก่อนที่จะ
“ ………….ขนมอร่อยๆ ละมั้งนะ ”
“ เอ๊ะ? ”
“ เวลาเกิดอะไรแบบนี้ขึ้น ลองขอโทษโดยเอาขนมอร่อยๆไปให้พร้อมกันด้วยก็น่าจะพอแล้วล่ะ ”
อ้าวนี่เห็นแก่กินหรอกเหรอ?
แม้จะมีเสียงแบบนั้นดังขึ้นมาจากจิตเบื้องลึกของผมอยู่ชั่วขณะ แต่มันก็เป็นเสียงที่เบามากจริงๆ
“ แบบนี้นี่เอง! ”
รู้สึกอีกทีผมก็เห็นด้วยเต็มกำลังกับความคิดของคุณเอลิเซียซึ่งเป็นคนที่ผมเลื่อมใสไปแล้ว
เอ้ยแต่นี่มันก็ ฟังดูเป็นแผนที่ไม่เลวเลยเหมือนกันนะ
ถึงจะเห็นแบบนั้น แต่จิเซลก็ดูจะชอบของหวานๆ ตามประสาเด็กผู้หญิงอยู่เหมือนกัน ระหว่างที่เก็บหอมรอมริบรวบรวมเงินเพื่อไปซื้อเกราะโลหะนั่น ก็เคยมีแว้บไปซื้อขนมมาแอบกินไม่ให้ใครรู้อยู่ด้วย แถมถ้าเป็นขนมมันก็คงจะไม่ทำให้รู้สึกเหมือนโดนประชดเวลามีคนให้อะไรแพงๆมาอีกด้วย นับว่าเป็นวิธีแสดงความจริงใจที่ไม่เลวเลยนะเนี่ย
โชคดีที่ตอนสมัยอยู่สถานกำพร้า ผมกับเพื่อนๆเคยทำเควสต์ (ที่แท้จริงแล้วเป็นงานจิปาถะธรรมดา) จนมีเงินสะสมอยู่นิดหน่อย มีค่าพอให้ลองดูอยู่นะ แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างนึง…….
“ มีร้านในใจอยู่สองสามร้านเหมือนกันแหละครับ แต่ไม่รู้เลยว่าควรจะเลือกขนมแบบไหนดี ”
เพราะอยู่ในเมืองนี้มานาน ก็เลยพอจะรู้จักร้านดีๆอยู่ในระดับนึง แต่ประเด็นคือผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับความชอบของเด็กผู้หญิงเลยนี่แหละ ขนาดซื้อมากินเองยังแทบจะไม่เคยเลยด้วยซ้ำไป
พอลองถามคุณเอลิเซียเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูปุ๊บ
“ พอจะรู้อยู่หรอกว่าขนมแบบไหนถึงจะเหมาะ……แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าขนมแบบนั้นมีขายอยู่ที่ไหนภายในเมืองบ้างนี่สิ จะให้ยกตัวอย่างแบบละเอียดถี่ยิบตรงนี้เลยนี่คงไม่ไหวหรอก…… ”
ก็แหงอยู่แล้วเนอะ คุณเอลิเซียเพิ่งมาถึงเมืองนี้ได้แค่เดือนเดียวเองด้วย ให้ว่าแล้วเพราะเป็นคนดังสุดๆนี่แหละถึงทำให้ออกมาจับจ่ายใช้สอยแบบสบายๆไม่ได้ ทว่าเป็นในจังหวะที่ผมกลับมาระดมสมองใช้ความคิดว่าจะทำยังไงดีต่ออีกรอบนั่นเอง
“ ……….อ๊ะ ถ้าอย่างนั้น ลองแบบนี้ดูไหม ”
คุณเอลิเซียพูดขึ้นเหมือนได้ไอเดียอะไรดีๆ ก่อนจะกล่าวข้อเสนอนั่นออกมาด้วยท่าทางที่ดูเหมือนตื่นเต้นพิกล…….และผมที่ได้ยินข้อเสนอนั่นเข้าไปแล้วก็ถึงกับหัวขาวโพลนไปเลยทีเดียว