“ พวกอาจารย์เค้าสุดยอดจริงๆนั่นแหละน้า……ไม่คิดเลยว่าตัวผมที่ห่วยแตกทำอะไรไม่เป็นตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ จะใช้สกิลสายนักรบได้แล้วยังไม่พอ ยังใช้สกิลสายจอมขมังเวทกับสายนักบวชได้ด้วยอีกต่างหาก ”
วันถัดมาหลังจากวันหยุด ช่วงเที่ยงวัน
ผมย่ำเท้าเดินไปตามพื้นที่ภายในโรงเรียน พลางพึมพำออกมาด้วยความชื่นชมว่าเช่นนั้น
ช่วงนี้ผมชอบหยิบเอาสเตตัสเพลทขึ้นมาเช็คดูจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว กำลังเดินอยู่แท้ๆ แต่กลับทนไม่ได้ เอาแต่จับจ้องมองตรงไปยังช่องสกิลแล้วยิ้มแก้มบานไม่หุบอยู่นั่นแหละ
โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อวาน พอมีสกิลสายเวทมนตร์กับสายนักบวชปรากฎขึ้นมาปุ๊บ จำนวนการเปิดเช็คช่องสกิลของผมมันก็พุ่งพรวดขึ้นมาในทันใด เปิดสเตตัสเพลทขึ้นมาทีนึงก็ต้องคิดซาบซึ้งและเคารพพวกคุณลีโอเน่ทีนึง กะใจอยากฝึกวิชาก็ยิ่งเพิ่มพูนสูงส่งมากขึ้น
………ทว่า แม้การฝึกวิชาจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นสุดขั้ว แต่ก็จะลืมไม่ได้ว่ามีปัญหาหนึ่งที่ผมยังดองเอาไว้โดยไม่ได้รับการแก้ไข นั่นก็คือ
“ ไม่มีเงิน…….. ”
ใช่แล้ว ปัญหาขัดสนเงินทองนั่นเอง
ตัวผมในตอนนี้ ที่ใช้เงินเก็บจากสมัยสถานกำพร้าหมดไปกับการเลือกขนมที่ได้คุณเอลิเซียมาช่วยเมื่อวันก่อนนั้น แทบจะไม่มีเงินที่ใช้จ่ายได้แบบอิสระเลย
กว่าจะคืนดีกับจิเซลได้ก็เห็นทีว่าจะต้องซื้อขนมราคาแพงอีกหลายครั้งเลยด้วย….เพื่อการนั้นแล้วก็มีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นเก็บเกี่ยวเงินทุนอย่างเร่งด่วน
นอกจากนี้ ก็ยังรู้แน่ชัดเจนแล้วด้วยว่าการเดินเที่ยวรอบเมืองกับคุณเอลิเซีย (ที่ตามมาช่วยเลือกขนมให้) นั่นมันก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน
ถ้าให้ขยายความก็คือ คุณเอลิเซียเค้าไม่ได้กินแค่ของที่เปิดให้ลองชิมฟรีอย่างเดียว ยังเดินซื้อกินกระจุกกระจิกนั่นนี่พอสมควรเลยเหมือนกัน แต่คงเพราะคิดว่าถ้าตัวเองกินอยู่คนเดียวมันจะไม่ดีละมั้ง คุณเอลิเซียเค้าเลยพยายามจะจ่ายเงินเลี้ยงให้ผมได้กินด้วยอยู่เรื่อย……..แน่นอนว่าผมมันไม่ใจกล้าหน้าหนาพอจะให้เค้าเลี้ยงหรอก เลยต้องจ่ายเงินในส่วนของตัวเอง และเงินที่เสียไปนั่นมันก็นับเป็นจำนวนมากใช่เล่นเลยทีเดียว
ถ้าขอให้คุณเอลิเซียช่วยละๆการซื้อกินกระจุกกระจิกลงหน่อยก็คงหมดปัญหาน่ะแหละ……แต่พอเห็นคุณเอลิเซียลูบท้องตัวเองด้วยท่าทางเหมือนเศร้าเสียใจอยู่ครั้งนึงปุ๊บ ความคิดนั้นมันก็ระเบิดบึ้มหายไปจากหัวผมเลย
ในใจผมนี่คือไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาเงินเท่านั้นแล้ว
เอาล่ะ ในเมื่อทราบตรงกัน ต่อไปก็จะเข้าสู่ประเด็นว่าจะหาเงินยังไง……ภายในบัสเคิลเบียร์อันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยแห่งนี้ หากพูดถึงวิธีที่นักผจญภัยหน้าใหม่จะหาเงินได้แล้ว—-ก็มีแค่รับทำเควสต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้แหละ ผมจึงก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาในอาคารอิฐหลังใหญ่——กิลด์นักผจญภัย——-ซึ่งตั้งอยู่ภายในเนื้อที่ของโรงเรียน แล้วจึงหยุดอยู่หน้ากระดานข่าวของที่นั่น
เนื่องจากเป็นช่วงเที่ยงวันด้วยแหละ เลยมีผู้คนออเนืองแน่นอยู่หน้ากระดานข่าวเต็มไปหมด
บนกระดานข่าวนั้นไม่ได้มีแค่เควสต์ แต่ยังมีประกาศเตือนถึงเหตุผิดปกติในบริเวณโดยรอบหรือข่าวสารงานอีเวนต์ที่เจาะไปยังกลุ่มนักผจญภัยด้วย ฉะนั้นจึงเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของนักผจญภัยที่แม้จะไม่มีธุระอะไรแต่ก็มักจะมามุงกันอยู่หน้ากระดานข่าวอยู่ดี
และผมเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น……เนื่องจากอยากจะเลียนแบบเป็นนักผจญภัย ก็เลยมาซุ่มด้อมๆมองๆหน้ากระดานข่าวอยู่บ่อยๆตั้งแต่สมัยตอนยังอยู่สถานกำพร้า เพราะแบบนั้นแหละ แม้จะอยู่กลางฝูงชน แต่ผมก็สามารถอ่านข้อความที่ถูกนำมาแปะใหม่ได้ในทันทีเลย
เกิดสถานการณ์ไม่สู้ดีขึ้นที่ชายแดนทางตะวันออกซึ่งติดอยู่กับจักรวรรดิบ้างล่ะ สัตว์ที่ล่าได้ในป่าทิศตะวันตกลดจำนวนลงไป ทำให้ราคาตลาดของเควสต์ถาวร—–เนื่องจากมอนสเตอร์ที่วัตถุดิบสามารถนำมาทำอาหารได้นั้นมักเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ ฉะนั้นต่อให้ไม่มีคนกำหนดเควสต์ แต่ถ้าล่ามาได้ ทางกิลด์ก็จะรับซื้อด้วยเงินในปริมาณนึง—–เพิ่มสูงขึ้นบ้างล่ะ
พอกวาดสายตาผ่านข้อมูลทั้งหลายแหล่นั่นแล้ว ผมก็เริ่มที่จะมองควานหาเควสต์ที่จะรับทำอยู่หน้ากระดานข่าว……แต่แล้วก็พลันประสบพบเจอกับปัญหาใหญ่อีกอย่างนึงเข้า
งานที่จะทำเงินได้นั้น ส่วนใหญ่เป็นงานที่จำเป็นต้องออกไปเคลื่อนไหวทำกิจกรรมที่นอกเมืองเกือบจะทั้งหมดเลย แน่นอนว่าเควสต์ถาวรนั่นก็เช่นเดียวกัน
กิจกรรมที่นอกเมือง—-กล่าวแล้วก็คืองานคุ้มกัน ปราบมอนสเตอร์ หรือไม่ก็เก็บเกี่ยววัตถุดิบ….ซึ่งเควสต์พวกนี้ต่างก็มีความเสี่ยงต่อชีวิตเหมือนกันหมด ฉะนั้นจึงมีหลักเกณฑ์ข้อใหญ่ๆเลยคือควรจับกลุ่มมีปาร์ตี้ก่อนค่อยรับทำ โดยเฉพาะนักผจญภัยหน้าใหม่อย่างผมนี่ หากไม่ก่อตั้งปาร์ตี้ที่มีจำนวน 4 คนขึ้นไปซะก่อนก็จะไม่สามารถรับเควสต์ไปทำได้เลย
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผมก็ถูกพวกคุณลีโอเน่ที่อนุญาตให้มารับเควสต์กำชับเอาไว้อย่างเข้มงวดเลยเหมือนกันว่า “ถ้าไม่ได้ไปที่แหล่งสั่งสมพลังเวท แค่ตัวแกในตอนนี้คนเดียวก็น่าจะรับมือได้สบายๆอยู่หรอก แต่ก็หาปาร์ตี้เผื่อเอาไว้ซะจะดีกว่านะ” แน่ะ
หรือก็คือหากผมอยากจะหาเงินให้ได้ในตอนนี้ ก็จำเป็นที่จะต้องตั้งปาร์ตี้กับใครซักคนนั่นเอง แต่……
“ ขนาดคู่มือให้ประลองฝีมือด้วยในคาบเรียนปฎิบัติยังจะหาไม่ได้เลย แล้วต้องทำยังไงถึงจะตั้งปาร์ตี้ได้เล่า…….. ”
ในสถานการณ์ที่ถูกจิเซลจ้องจนต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบนี้ ต่อให้ทำยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก
จะขอเข้าร่วมในปาร์ตี้ของคนที่เดินทางมาจากนอกเมืองก็ได้อยู่หรอก แต่คนที่อุตส่าห์ถ่อเดินทางไกลมาจนถึงเมืองนี้ ส่วนมากก็คงเป็นระดับกลางขึ้นไปกันหมดแล้วนั่นแหละ
น้ำหน้าอย่างผมมันมีความสามารถต่ำเกินไป คงไม่มีใครอยากจะคบค้าด้วยแน่ๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การตั้งปาร์ตี้กับคนจากสถานกำพร้าที่รู้จักกันและมีความสามารถในระดับไล่เลี่ยกันมันก็น่าจะดีที่สุดนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ทำแบบนั้นได้ก็ต้องคืนดีกับจิเซลซะก่อน
เพื่อที่จะคืนดีแล้ว ก็จำเป็นต้องเก็บเงินทุนซื้อของไปขอโทษ และเพื่อที่จะเก็บเงินแล้วก็จำเป็นต้องตั้งปาร์ตี้……..วนลูปอย่างสวยงามเลยนี่นา
อื~ม ลงอีหรอบนี้แล้ว ลองเสี่ยงดวงประกาศหาปาร์ตี้ดูดีมั้ยนะ…….แต่จะมีคนที่ตอบรับต่อคำเชิญชวนของ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0 ซักกี่คนกันเชียวน่ะ…….เป็นในฉับพลันที่ผมกำลังกลัดกลุ้มอยู่หน้ากระดานข่าวนั่นเอง
“ โย่ ครอสไม่ใช่เรอะน่ะ นายมายืนกอดอกครวญครางอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย? ”
“ เอ๊ะ? ”
พอเจอกลุ่มหนุ่มสาว 4 คนที่เข้ามาส่งเสียงทักเช่นนั้นแล้ว ผมก็ถึงกับดวงตาเบิกโพลงเลย
เพราะทุกคนต่างก็เป็นคนคุ้นหน้าที่อาศัยอยู่ด้วยกันในสถานกำพร้ามาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง
เอ๊ะ เข้ามาส่งเสียงทักผมแบบนี้มันจะดีจริงๆเหรอ? ผมรีบหันซ้ายหันขวามองไปมองมารอบๆเพื่อหาตัวจิเซลทันที ระหว่างนั้นก็พูดตอบไปด้วย
“ เอ๊ะ อ่า เอ่อ…พอดีกะว่าจะลองรับเควสต์ดูน่ะ….. ”
เพราะดีใจที่มีคนคุยด้วยหลังถูกหนีมาเป็นเวลานาน บวกกับจิตใจที่อ่อนแรงเนื่องจากอับจนหนทาง ทำให้ผมตัดสินใจทำการเล่าอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง แต่ก็แน่นอนว่าต้องอุบเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับคุณเอลิเซียและเรื่องขนมเอาไว้
พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ ทั้งสี่ก็
“ งั้นก็มาตั้งปาร์ตี้กับพวกเราดิ กำลังรู้สึกว่าแค่ 4 คนมันยังไม่ค่อยมั่นใจอยู่พอดีเลยเนี่ย ”
“ เอ๊ะ!? จะดีเหรอ!? ”
ตอบตกลงออกมาง่ายซะจนทำเอาถึงกับตะลึง
ผมนี่คือเผลอตัวพูดเสียงดังลั่นออกมาจนเกือบสะท้านไปทั่วทั้งกิลด์เลย
พอเห็นว่าคนรอบๆหันมามองกันเป็นตาเดียว ผมที่รู้สึกตัวก็พลันพูดขึ้นต่ออย่างเบาๆ
“ ตะ แต่ว่านะ ถ้าตั้งปาร์ตี้แล้วมันจะเด่นสะดุดตานะ? เด่นคนละระดับกับแอบคุยกันแบบนี้เลยนะ…..คือ แล้วจิเซลจะไม่ว่าอะไรเหรอ? ”
“ อ่อ….เอ้อก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ”
“ เด็กคนนั้นเค้าแค่ทำดื้อแพ่งไม่ยอมพูดความรู้สึกออกมาตรงๆเท่านั้นแหละนะ…..ทั้งทางนิสัยกับจุดยืนเลย ”
ทุกคนตอบข้อสงสัยของผมอย่างชิลๆสบายๆซะจนไม่อยากจะเชื่อ
และในท้ายที่สุด เด็กผู้ชายที่มีตำแหน่งเป็นปาร์ตี้ลีดเดอร์ก็พลันเข้ามาโอบไหล่ผม
“ เอ้อ เอาเป็นว่าไม่ต้องไปใส่ใจมากนักหรอก ขนมที่นายเอามาให้จิเซลนั่นมันก็อร่อยสุดๆเลยด้วยไง คิดซะว่าเป็นการตอบแทนสำหรับไอ้นั่นก็แล้วกัน ”
“ ……อึก อะ อือ! ขอบใจนะ! ”
ผมจับมือกับลีดเดอร์แล้วพูดขอบคุณ
(เอฟเฟคของขนมแผลงฤทธิ์เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย…….ได้คุณเอลิเซียช่วยเอาไว้โดยแท้เลย!)
ระหว่างที่คิดเช่นนั้น ผมก็รีบเตรียมตัวอย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปทำเควสต์ที่ทุกคนจองเอาไว้เรียบร้อยแล้วนั่นได้โดยไว
“ ว้าว…….นี่น่ะเหรอป่าทิศตะวันตก……. ”
พอออกจากเมืองแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกได้ซักพัก ก็พบป่าที่หนาแน่นไปด้วยแมกไม้กระจายตัวกว้างอยู่เบื้องหน้า
เนื้อหาของเควสต์ที่ทุกคนรับมานั่นก็คือ ต้องทำการล่ากระต่ายเขาแล้วก็กวางมีปีก เพื่อนำกลับไปขายเป็นวัตถุดิบทำอาหารแน่ะ
เนื่องจากมอนสเตอร์พวกนี้เริ่มจะหายไปจากป่าทิศตะวันตกอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหลัก ทำให้อุปสงค์ของเนื้อเพิ่มพูนสูงมากขึ้น ระดับที่มีการตั้งเควสต์รายบุคคลซึ่งมีผลตอบแทนราคางามๆ แยกเอาไว้เป็นคนละอันกันกับเควสต์ถาวรเลยทีเดียว
ป่าทิศตะวันตกนั้นคือสถานที่ซึ่งนักผจญภัยหน้าใหม่อย่างพวกผมมักจะใช้เป็นแหล่งสะสมเงินทุนและค่าประสบการณ์อยู่บ่อยๆ ให้ว่าแล้วก็คือพื้นที่สำหรับมือใหม่นั่นแหละนะ เพราะแบบนี้เลยมีคล้ายๆการกำหนดไม่ให้นักผจญภัยระดับสูงเข้าไปแย่งเหยื่อจากกลุ่มหน้าใหม่ได้ขึ้นมาแน่ะ……จนถึงตอนนี้ที่อุปสงค์ของเนื้อเพิ่มสูงขึ้นมา แต่ภายในป่าก็ยังมีแต่นักผจญภัยหน้าใหม่อยู่เต็มไปหมดเหมือนเดิม
“ งั้นก็ เอาเป็นว่าลองเข้าไปดูก่อนแล้วกัน ฉันที่เป็น <<อัศวิน (ฝึกหัด)>> จะนำหัวแถวไปเอง เอรินที่เป็น <<เรนเจอร์>> กับโคลีย์ที่เป็น <<ผู้ใช้เวทน้ำ>> จะเป็นกองหลัง ส่วนดาร์ทที่เป็น <<นักดาบยักษ์ (ฝึกหัด)>> กับครอสก็ช่วยทำหน้าที่คุ้มกันปกป้องกองหลังทีนะ —<<เรนเจอร์>> เนี่ยจำเป็นต่อการตรวจจับหาตำแหน่งเหยื่อ ส่วน <<ผู้ใช้เวท>> ก็จะเป็นไพ่ตายของเราในตอนที่มีมอนสเตอร์เก่งๆโผล่ออกมา ฉะนั้นช่วยปกป้องเอาไว้ให้ดีๆหน่อยล่ะ ”
“ อะ อือ ”
ลีดเดอร์ตรวจสอบรูปแบบทีมไปพลางอธิบายให้ผมซึ่งเพิ่งจะเคยตั้งปาร์ตี้เป็นครั้งแรกไปด้วย แล้วจากนั้นปาร์ตี้ของพวกผมก็มุ่งหน้าตรงดิ่งเข้าไปภายในป่า
แม้จะไม่ใช่ “ของจริง” ที่ถูกเรียกว่าแหล่งสั่งสมพลังเวท แต่อาณาเขตของพวกมอนสเตอร์ที่เพิ่งจะเคยได้ย่างกรายเข้าไปเป็นครั้งแรกนี่ก็ทำเอาใจผมถึงกับเต้นตึ๊กตั๊กในหลายๆความหมายเลย ผมกำดาบสั้นในมือเอาไว้พลางพยายามเพ่งสมาธิเพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงจนเกร็งไปหมด ก่อนจะหันมองไปรอบๆอย่างอยู่ไม่สุข
แต่เควสต์สายเก็บเกี่ยว หรือล่ามอนสเตอร์แบบนี้ ตามปกติแล้วมันก็แทบจะไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเลยนั่นแหละ
เพราะโดยส่วนมาก ที่ต้องทำก็แค่เดินไปตามเส้นทางที่คนอื่นบุกเบิกเอาไว้ให้แล้ว จากนั้นก็แค่ล่าเหยื่อที่อยู่ในบริเวณรอบๆซะแค่นั้นก็จบ ฉะนั้นแค่ระวังในกรณีถูกลอบโจมตี—ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากเอรินที่ยังเป็น <<เรนเจอร์>> เลเวลต่ำอยู่อาจตรวจจับตำแหน่งศัตรูพลาด หรือระยะการตรวจจับแคบเกินจนตอบสนองต่อศัตรูที่บุกเข้ามาใส่อย่างรวดเร็วไม่ทัน—เท่านั้นก็พอแล้ว…….ความรู้พื้นฐานที่ได้เรียนมาจากคาบเล็คเชอร์มันบอกอยู่แบบนั้นอะนะ แต่——
“ นะ นี่ลีดเดอร์ เหมือนว่าเราค่อยๆออกห่างจากทางเดินปกติไปเรื่อยๆเลยนะ จะไม่เป็นไรแน่เหรอ? ”
พอก้าวห่างออกมาจากทางเส้นที่ถูกย่ำทำให้เดินง่ายได้ซักระยะ ผมที่อดรนทนอยู่ไม่ไหวก็พลันเอ่ยถามออกมาเช่นนั้น
ในกระดานข่าวก็มีประกาศเขียนบอกว่า “ที่เหยื่อในป่าทิศตะวันตกลดจำนวนลงนั่น อาจจะเป็นเพราะว่ามีมอนสเตอร์ที่แกร่งนิดๆหลงเข้ามาเป็นช่วงๆก็เป็นได้ จงระมัดระวังตัวให้ดี” อยู่อีกตะหาก…..พยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่ไม่จำเป็นเอาไว้ซะมันต้องดีกว่าแน่ๆล่ะ
แต่ทุกคนกลับยิ้มเยาะ ราวกับเห็นว่าความวิตกกังวลของผมมันคือความคิดของพวกหน้าใหม่เลยอย่างงั้นแหละ
“ ไม่เป็นไรหรอกน่า ป่าทิศตะวันตกมันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากมายอะไร ขอแค่มี <<เรนเจอร์>> อยู่ด้วยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง มอนสเตอร์ส่วนมากก็แค่ริสก์ 2 อย่างเก่งสุดก็แค่ริสก์ 3 ระดับต่ำเท่านั้นเองนะ? ถ้าเป็นพวกเราละก็รับมือไหวแน่น่า ”
“ ช่ายๆ ให้พูดแล้ว เพราะเส้นทางปกติมันหาเหยื่อไม่ได้นี่แหละนะ เค้าถึงได้ตั้งเควสต์นี้ขึ้นมา ถ้าจะทำให้ดีก็ต้องบึ่งเข้าไปลึกหน่อยนั่นแหละ ”
“ พวกเราเข้ามาในป่านี้หลายรอบแล้ว ไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอก ”
“ งะ งั้นเหรอ……? ”
ทุกคนต่างก็พูดแบบนั้น ก่อนจะถลำลึกเข้าไปในป่ามากขึ้นๆ
แล้วพอเข้ามาถึงจุดลึกของป่า….ลึกในระดับที่สัมผัสถึงเค้าลางของนักผจญภัยกลุ่มอื่นๆไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวแล้วปุ๊บ
หลังจากก้าวมาถึงพื้นที่เปิดกว้างซึ่งมีแมกไม้หนาไม่ค่อยมากนักเท่าไหร่ ลีดเดอร์ก็พลันหยุดกึกอยู่กับที่
“ ………..โอเค แถวๆนี้แหละมั้ง ”
“ เอ๊ะ……? แต่แถวนี้มัน…เหมือนจะไม่มีมอนสเตอร์เลยซักนิดเดียวนะ…… ”
คำพูดของลีดเดอร์ทำเอาผมถึงกับสับสน หรือว่าผมจะไม่รู้เรื่องรู้ราวไปเอง จริงๆแล้วมีรังมอนสเตอร์หรืออะไพรรค์นั้นอยู่รึเปล่าหว่า พอผมคิดแบบนั้นแล้วหันมองไปรอบๆ
“ ขอโทษนะครอส…….แต่ว่า หากเจอกับข้อเสนอหรือเควสต์ที่น่าสงสัยแล้ว ก็ต้องหัดระแวงเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก—-นี่น่ะมันคือกฎขั้นพื้นฐานของนักผจญภัยเลยนะเว้ย ”
“ เอ๊ะ——- ”
พวกลีดเดอร์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผมพลันหันขวับไปอย่างพร้อมเพรียงกันในคราเดียว ก่อนจะแผ่กระจายตัวแตกวงต่อหน้าต่อตา ราวกับพยายามจะปิดทางหนีทีไล่ของผมเอาไว้อย่างงั้นแหละ และในฉับพลันนั้นเอง
“ เป้าหมายของเควสต์นี้มันไม่ใช่กระต่ายเขาห่าเหวอะไรพรรค์นั้นหรอก——แต่คือแกน่ะแหละครอส ”
“ ——ฮึก!? ”
พลันได้ยินเสียงอันต่ำทุ้มระดับชวนให้ตัวสั่นดังขึ้นมาจากข้างหลัง ทำให้ผมพลิกตัวกลับหลังไปในทันใด
และสิ่งที่ลอยเข้ามาในสายตาผม ณ ตรงนั้น——ก็คือภาพของสาวน้อยผมสีทรายที่กระโจนออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับเด็กจากแก๊งสถานกำพร้าอีกกว่าหลายสิบคน….และกำลังฟาดบัสตาร์ดซอร์ดขนาดยักษ์ตรงดิ่งอัดเข้ามาใส่ผมเต็มแรง