นึกว่าใจจะหยุดเต้นซะแล้ว
ก็คนที่จับจ้องมองผมอยู่จากซอกหลืบนั่น เค้าคือคนที่เป็นต้นเหตุอันรุนแรงให้ผมหลงใหลใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักผจญภัยเลยนี่นา
หญิงสาวผู้แสนงดงามประดุจดั่งดาบเลอค่าที่ถูกลับคมจนถึงขีดสุด ประดับไว้ด้วยเส้นผมสีเงินอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
คุณเอลิเซีย ราฟาแกลิออน
ผิดกับหุ่นทรวดทรงที่ดูบอบบาง เธอคนนี้คืออัจฉริยะตัวจริงเสียงจริงที่ไต่ขึ้นมาเป็นอาชีพระดับสูงสุดได้โดยมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้นเอง ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะเธอผู้นี้ล่ะคือผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าที่ครั้งนึงในอดีตกาลเคยโค่นเทพมารลงได้ หนำซ้ำความเป็นเลิศของเธอยังสูงโดดเด่นมากยิ่งกว่าผู้สืบสายเลือดคนก่อนๆหน้าอีกต่างหาก
ได้ยินว่าเดินทางมายังบัสเคิลเบียร์แห่งนี้เพื่อตามหาคู่ชีวิตที่เหมาะสมคู่ควรต่อสายเลือดนั้น ตามเดิมแล้วเป็นบุคคลที่อยู่เหนือเมฆเลย ไม่ใช่คนที่เด็กกำพร้าที่เป็น <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวใกล้ชิดได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างไปนิดๆไง
เหตุวุ่นวายของพ๊อยซั่นสไลม์ฮีโดร่าที่เกิดขึ้นเมื่อราวๆเดือนครึ่งก่อนหน้านี้
นั่นล่ะคือต้นเหตุที่ทำให้ผมกับคุณเอลิเซียได้มามีแอบนัดพบกันอย่างลับๆ ที่โดนเค้าดักจับตัวอย่างกะทันหันในโรงเรียนก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกด้วย
แต่ว่า…..สถานการณ์ที่โดนเค้าจ้องมองตาไม่กระพริบด้วยด้วยท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่างเนี่ยเพิ่งจะมีครั้งนี้แหละครั้งแรก เล่นเอาผมที่งงงวยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดีถึงกับแสดงอาการสับสนออกมาอย่างชัดเจนเลย
“ ……..คืนดีกับเด็กที่ดูเกเรคนนั้น ได้แล้วหรือ? ”
“ เอ๊ะ? ”
“ พวกเธอสองคนคุยกันเสียงเบาก็เลยได้ยินไม่ค่อยชัดว่าพูดเรื่องอะไรกัน แต่เห็นท่าทางเหมือนกับว่าสนิมสนมกันมากๆเลยน่ะ เลยสงสัยว่าคืนดีกันได้แล้วหรือเปล่า ”
พอถูกคุณเอลิเซียพูดแบบนั้นใส่แล้ว สมองของผมก็กลับมาหมุนทำงานอย่างปกติได้ในที่สุด
อ๋อจริงด้วยสิ
เพื่อเป็นการขอบคุณและไถ่โทษ (?) ต่อเรื่องที่เกิดขึ้นตอนฮีโดร่าบุก คุณเอลิเซียเค้าก็เลยยอมเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยให้ผมกับจิเซลคืนดีกันได้ ฉะนั้นก็เลยอยากจะทราบถึงบทสรุปของเรื่องราวงั้นสินะ
ผมที่เข้าใจเป้าหมายของคุณเอลิเซียได้ในที่สุด พลันวิ่งตรงเข้าไปหาเค้าแล้วโพล่งออกมาอย่างรวดเร็วทันที
“ ครับ ใช่แล้วล่ะครับ! พอดีว่ามันเกิดเรื่องยุ่งขึ้นนิดหน่อย แล้วก็เหมือนว่านั่นมันจะกลายเป็นต้นเหตุให้ผมคืนดีกับจิเซลได้แหละครับ ต้องขอขอบคุณมากๆเลยครับที่ช่วยให้คำปรึกษาผมมาตลอดจนถึงตอนนี้! ”
“ งั้นหรือ…..ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ ก็ไม่เหลือความจำเป็นที่จะต้องไปเลือกขนมด้วยกันกับเธออีกแล้วจริงๆด้วยสินะ ”
อะ อ้าว?
ทำไมกันหว่า
ผมรายงานให้ฟังว่าเรื่องกลุ้มใจถูกคลี่คลายลงไปได้แล้วแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าคุณเอลิเซียเค้าดูมีท่าทางเหมือนเศร้าใจสุดๆไปเลยซะอย่างนั้น…….เอ้อคิดไปเองละมั้ง คุณเอลิเซียเค้าก็หน้านิ่งอ่านอารมณ์ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยนี่นะ
แต่แล้วคุณเอลิเซียเค้ากลับยืนนิ่งไหล่ตกแถมยังเงียบกริบไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีกเลย เล่นเอาผมถึงกับมึนไม่รู้ควรจะทำยังไงดีเลยเนี่ย
ดูท่าทางเหมือนเค้าจะเศร้าอยู่จริงๆนะเนี่ย…….แต่ทำไมกันล่ะ? เป็นในจังหวะที่ผมกลุ้มจับจิตอยู่นั่นเอง
“ อ๊ะ ”
ที่จู่ๆคุณเอลิเซียก็เงยหน้ากลับขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับนึกไอเดียดีๆออกได้
“ นี่ครอส ที่พูดว่า [เกิดเรื่องยุ่งขึ้นก็เลยคืนดีกันได้] นั่น แสดงว่าเธอคืนดีกับเด็กที่ดูเกเรคนนั้นได้เองโดยธรรมชาติหรือ? ไม่ใช่เพราะว่าขนมที่ฉันเลือกให้ใช่ไหม ”
“ เอ๊ะ? ……..อ่า ก็ เอ้อ น่าจะเป็นอย่างนั้น…….ละมั้งครับ? ”
แม้จะสับสนกับคำถามอันเป็นปริศนาของคุณเอลิเซีย แต่ผมก็พยักหน้าตอบกลับเค้าไป
เท่านั้นแหละคุณเอลิเซียพลันเคลื่อนตัวตรงเข้ามาใกล้ ก่อนจะ
“ ถ้าอย่างนั้น ก็จะยังไม่ถือว่าฉันได้ขอบคุณและไถ่โทษเธอแล้วหรอกนะ ”
“ ………..เอ๊ะ? ”
“ ก็ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือให้เธอกับเด็กคนนั้นคืนดีกันได้เลยนี่นา ฉะนั้น ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่อยากให้ฉันทำให้ละก็ ขอได้ทั้งหมดทุกอย่างเลยนะ ”
“ เอ๊ะ เอ๋…….!? ”
เจอะเข้ากับคุณเอลิเซียที่ยื่นใบหน้าแสนงามเข้ามาใกล้พลางให้คำขาดแล้ว ผมก็ถึงกับมึนงงด้วยใบหน้าอันแดงแจ๋เลย
นอกจากจะช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องจิเซลแล้วไม่พอ ยังอุตส่าห์ติดตามไปช่วยเลือกขนมให้แบบกึ่งๆแอบนัดพบกันด้วยอีกต่างหาก แค่นี้ผมก็เกรงใจมากพอแล้วแท้ๆ
แต่ไม่รู้ว่าคุณเอลิเซียเค้าเป็นคนจริงจังกับเรื่องหนี้บุญคุณพวกนี้มากๆเลยหรือไง เพราะดูเหมือนเค้าจะคิดจริงๆจังๆเลยเนี่ยว่ายังขอบคุณและไถ่โทษผมได้ไม่ดีพอ ไม่มีท่าทางเหมือนกับว่าจะยอมถอยจบเรื่องง่ายๆเลยแม้แต่น้อยนิด
(ผมก็เพิ่งจะมารู้เอาซักพักใหญ่ๆหลังจากที่ถูกพวกคุณลีโอเน่เก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน…….เวลาแบบนี้ ถ้ามัวเกรงใจไม่เข้าเรื่องแบบนั้นมันจะยิ่งไม่ดีต่ออีกฝ่ายเข้าไปใหญ่สินะ……..)
ผมเผลอตัวเบือนหน้าหนีจากสายตาของคุณเอลิเซียที่จ้องเขม็งตรงมาไม่ยอมลดละ ก่อนจะครุ่นคิด
(โดยเฉพาะคุณเอลิเซียเนี่ย เค้าเหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณผมอยู่ด้วย ถ้าไม่ทำให้คิดซะว่าชดใช้ได้ทั้งหมดแล้วแบบนั้นอาจจะกลายเป็นภาระเหนี่ยวรั้งตัวคุณเอลิเซียซะเองก็ได้…….มีคำขอแบบไหนดีๆบ้างมั้ยนะ)
และแล้วสิ่งที่พลันปรากฎเข้ามาในหัวของผมที่กำลังเอียงคอคิดอยู่ ก็คือภาพของเหล่ากลุ่มเด็กกำพร้าที่รุมล้อมรัวคำถามใส่ผมอยู่เมื่อกี้
เหล่าผองเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ทำตาใสเป็นประกาย พลางไล่ถามเข้ามาว่าโค่นริสก์ 4 ลงได้ยังไง
ผมนึกได้ในตรงนี้เอง
ว่ามีเรื่องที่อยากจะถามกับคุณเอลิเซียมาตลอด ตั้งแต่ในวันที่ผมถูกคุณเอลิเชียช่วยเหลือและเริ่มคิดหลงใหลอยากเป็นนักผจญภัยนั่นแล้ว
“ อะ เอ่อ ถ้าอย่างงั้น…… ”
ผมอ้าปากกล่าวความปราถนาอันรุนแรงที่แอบซ่อนแฝงเร้นอยู่ในอกมาตั้งแต่ยังเล็กๆออกมา ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวอย่างรุนแรง
“ ผม………อยากจะฟังพวกตำนานความกล้า ของคุณเอลิเซียครับ ”
“ ………….? ตำนานความกล้า? ”
พอเห็นว่าคุณเอลิเซียเอียงหัวให้อย่างแปลกใจ ผมก็รีบทำการขยายความเพิ่มอย่างแตกตื่น
“ อ๊ะ เปล่านะครับ ไม่ใช่ว่าพยายามจะคุ้ยข้อมูล <<คลาส>> หรือองค์ประกอบสกิลของคุณเอลิเซียหรอกครับ! ผมแค่ อยากจะได้ยินจากปากของคุณเอลิเซียตรงๆน่ะครับ ว่าตลอดจนถึงตอนนี้คุณเอลิเซียได้ต่อสู้ประมือกับมอนสเตอร์แบบไหนมาบ้าง ว่าในโลกนี้มีของแบบไหนยังไงอยู่บ้าง….อะไรเทือกนั้น ”
ตำนานความกล้า วีรกรรมการผจญภัย
นั่นล่ะคือ เรื่องเล่าของฝากที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ยังคงจับต้องใจของผู้คนจำนวนมากได้ไม่ยอมปล่อย
โดยเฉพาะในเมืองแห่งนี้ที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยแล้วยิ่งมีโอกาสได้ยินเรื่องราวจำพวกนั้นบ่อยเลย ตัวผมที่เติบโตมาในสถานกำพร้าเองก็พลอยใจตื่นเต้นโลดโผนไปกับเรื่องเล่าอวดวีรกรรมที่ไม่รู้ว่าจริงหรือโม้ของเหล่านักผจญภัยที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศของโลกและพวกรุ่นพี่ในสถานกำพร้านั่นเหมือนกัน
ตามจริงแล้วผมก็อึ้งตะลึงงันกับเรื่องราวการผจญภัยอันแสนจะแหกสามัญสำนึกที่พวกคุณลีโอเน่เค้าเล่าให้ฟังอยู่ทุกวันหรอกนะ…….แต่ถ้าเป็นเรื่องจากปากของคุณเอลิเซียที่ผมเฝ้าหลงใหลมาตลอดตั้งแต่ยังเด็กแล้วละก็ให้ฟังยังไงก็ไม่เบื่อแน่นอน
ก็ตามนั้นแหละ ผมเลยลองอ้อนขอให้คุณเอลิเซียช่วยเล่าตำนานความกล้าให้ฟัง ทว่า…….
“ เธออยากให้ทำแบบนั้น จริงๆน่ะหรือ? ……คิดว่าการต่อสู้ของฉัน ไม่น่ามีคุณค่ามากเพียงพอให้อยากฟังหรอกนะ ”
“ เอ๊ะ? พูดอะไรกันครับ!? มันจะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน! ”
เห็นคุณเอลิเซียที่ไม่รู้ทำไมถึงทำสีหน้ามืดมน พร้อมกล่าวออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับว่าพูดจากใจจริงแบบนั้นแล้ว ผมก็ถึงกับแย้งกลับไปแบบเกือบๆโดยอัตโนมัติ
แย้งบอกว่าประสบการณ์ชีวิตของคนที่ครอบครองพรสวรรค์ระดับสูงสุดกู่ของโลกมันจะไปไร้คุณค่าได้ยังไงกัน
กู่ก้องบอกว่ารอยเท้าความยิ่งใหญ่ของคนคนนี้ที่เข้ามาช่วยเหลือผมและหมู่บ้านของผมเอาไว้มันไม่มีทางที่จะไร้คุณค่าเด็ดขาดเลย
ทว่าในหลายวินาทีให้หลัง
ตัวผมที่เพิ่งจะมารู้สึกว่าตนเองนั้นพูดโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดังลั่นใช่เล่นเลย ก็ถึงกับลนลานไปไม่เป็นขั้นหนัก
“ อ๊ะ ขะ ขอโทษครับที่ร้องลั่นเสียงดัง! ตะ ตัวมันไปเองน่ะ ”
พอได้สติกลับมาแล้วก็รู้สึกอับอายขายหน้าสุดๆไปเลยเนี่ย
ทะ ทำอะไรของผมเนี่ย! เป็นแค่คนมาอ้อนขอให้เค้าช่วยเล่าตำนานความกล้าหาญแท้ๆ!
นั่นไง คุณเอลิเซียเค้าก็ทำตาปริบๆตกใจใหญ่เลยนั่น!
อะ อายจนอยากจะมุดดินหนีเหลือเกิน…….ผมกระสับกระส่ายอยู่แบบนั้นก็จริง——
“ ……….งั้นหรือ ถ้างั้นก็ เอาเป็นแบบนั้นแล้วกันนะ ”
“ เอ๊ะ………? ”
“ ตำนานความกล้าน่ะ ถ้าเธอพอใจกับอะไรพวกนั้นจริงๆละก็ จะเล่าให้ฟังจนถึงใจเลย ถ้าหาจังหวะแอบหนี—–ถ้าหาเวลาว่างได้จะแจ้งให้เธอทราบนะ มาทานอาหารอร่อยๆไปพลางคุยเล่นไปด้วยกันเถอะ สัญญานะ? ”
สีหน้ามืดมนที่แสดงออกมาอยู่ชั่วขณะเมื่อครู่นั่นคือผมตาฝาดไปเองหรือไงนะ
พอคุณเอลิเซียกล่าวเช่นนั้นกับผมด้วยรอยยิ้มเริงร่าแล้ว เค้าก็เดินตัวลอยจากไปอย่างอารมณ์ดีเลย
สีหน้าที่คุณเอลิเซียแสดงให้ผมเห็นอย่างไม่ทันตั้งตัวนั่น ทำเอาผมถึงกับลืมเลือนความเปิ่นของตัวเอง ยืนค้างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นไปซักพักนึงเลย…….แต่แล้วผมที่พลันนึกอะไรขึ้นได้ ก็พลันหลุดพูดออกมาว่า “อ๊ะ” พร้อมกับตื่นจากภวังค์
“ แล้วเรื่องเงินนี่……จะทำยังไงดีล่ะ……. ”
ลืมไปสนิทเลย ว่าเพราะมีปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้การแอบนัดพบกับคุณเอลิเซียเนี่ยผลาญเงินเป็นปริมาณมากพอสมควรเลย
และแท้จริงแล้วในปัจจุบัน ตัวผมก็กำลังอยู่ในระหว่างเก็บหอมรอมริบเพื่อหาซื้อเครื่องสวมใส่ใหม่มาแทนที่ตัวเก่าซึ่งถูกทำลายไปโดยริสก์ 4 อยู่เลย……ว่าง่ายๆก็คือกระเป๋าเบาหวิวไม่มีปัญญาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้แน่นอน
เหมือนว่าวันก่อนก็เพิ่งจะกลุ้มเพราะปัญหาแบบเดียวกันนี่มาหมาดๆยังไงชอบกล…….ผมสมเพชตัวเองที่ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นจากเดิมเลยไปพลาง ปวดหัวไปกับปัญหาการเงินซ้ำใหม่อีกรอบ