ในจังหวะเดียวกับที่ครอสกับดาเรียสดวลเดือดแบบตัวต่อตัวกันอยู่นั้น พวกแคทลียาก็กำลังเผ่นป่าราบสุดชีวิตจากหญิงสาวแห่งสถานกำพร้า จิเซล ที่แผดเสียงร้องคำรามลั่นประดุจมอนสเตอร์
“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้!? ”
แคทลียาร้องแรกแหกกระเชออยู่ในสภาพกึ่งๆน้ำตานองหน้า พลางพุ่งทะยานถลำลึกเข้าไปในป่าสุดกำลัง
ได้แต่ต้องวิ่งไป เพื่อจะสลัดเอาตัวรอดพ้นจาก จิเซล สตริงก์ที่ปลดปล่อยจิตสังหารระดับไม่ปกติออกมาเต็มเหนี่ยว
แต่ตัวแคทลียาที่กำลังถูกรุมเร้าอยู่โดยความหวาดกลัวและความสับสนในระดับที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ก็ไม่อาจจะขยับแข้งขาได้ดั่งใจประสงค์ หกล้มหน้ากระแทกพื้นแล้วก็ต้องให้เหล่าผู้ติดตามช่วยฉุดตัวลุกขึ้นมาแบบนั้นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เครื่องสวมใส่อันหรูหราในตอนนี้ต่างก็เขรอะไปด้วยดินโคลน เรียกได้ว่าไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะมอบคำสั่งควบคุมกองทัพในฐานะปาร์ตี้ลีดเดอร์ได้เลย
“ ขุ่ก ช่างตื๊อเหลือเกิน! แบบนี้ต่อให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจตั้งหลักใหม่ได้แน่ๆ……! ”
<<อัศวินประกายแสง>> ร่างผอม , พาฟลอฟ ที่เข้ามารับช่วงสั่งการกองทัพโดยรวมแทนที่แคทลียา หันขวับมองไปทางด้านหลังไปพลางกัดฟันกรอดไปด้วย
สถานการณ์มันย่ำแย่มากจนเกินไป
ถึงแม้จะเป็นอาชีพระดับต่ำกันส่วนมาก แต่ปาร์ตี้ฝั่งศัตรูนั้นมีความเสียหายเป็น 0 หนำซ้ำยังมีจำนวนมากกว่า
ฝั่งพวกตนเป็นอาชีพระดับกลางกันหมดทุกคนก็จริง แต่เพราะผลกระทบจากเวทลมเมื่อครู่ กับเวททิ้งระเบิดที่โดนสะท้อนกลับมา ทำให้มีผู้ที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ทั่วทั้งปาร์ตี้อ่อนแอลงมาในระดับที่ไม่อาจจะหนีพ้นจากการไล่ล่าของอาชีพระดับต่ำได้เลยทีเดียว
แถมยังไม่หมดแค่นั้น แม้ว่าฝั่งพวกตนจะถูกยูนีคสกิลของศัตรูเล่นงานจนโดนผนึกให้ไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้ แต่ฝั่งปาร์ตี้เด็กกำพร้ากลับใช้เวทมนตร์ได้อย่างสบายๆหน้าตาเฉยเลย นับว่าเป็นสถานการณ์ที่โดนเล่นอยู่ข้างเดียวสุดขั้วไปเลยไม่ใช่หรือ
จนตอนนี้ก็ยังมี “วอเตอร์แคนน่อน!” , “ไฟร์ชู๊ต!” ……อะไรพรรค์นั้นซึ่งเป็นเวทระดับต่ำลอยเข้ามาใส่จากข้างหลังอยู่อย่างต่อเนื่อง แล้วพอมันพุ่งมาทีนึงแคทลียาก็จะกรีดร้องแทบขาดใจพร้อมล้มหน้าคะมำพื้นตลอด
ไม่ต้องคิดจะตั้งหลักใหม่เลย เอาตัวยังจะไม่รอดด้วยซ้ำ
ลองเสี่ยงดวงโจมตีสวนกลับดู…..แบบนั้นมันก็อันตรายมากเกินไป
หากกำลังของเจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่ถล่มแนวรบของพวกตนจนแหลกยับเยินนั่นคือของจริง งั้นก็มีความจำเป็นจะต้องประเมินถึงความสามารถของจิเซล สตริงก์ ที่เป็น <<นักรบทำลายล้าง>> ซึ่งมีความถนัดในด้านการโจมตีซ้ำใหม่อีกครั้งด้วย หากพิจารณาโดยผสานเอาสถานการณ์ตอนนี้ที่อีกฝั่งสามารถปลดปล่อยเวทมนตร์เข้ามาใส่ได้ข้างเดียวร่วมไปด้วยแล้ว การโจมตีสวนกลับแบบหวังไปตายเอาดาบหน้าพรรค์นั้นมันก็เหมือนว่าเอาชีวิตไปทิ้งดีๆนี่แหละ
“ ฮี๊!? หะ หาทางเลยนะ! หาทางทำอะไรซักอย่างเดี๋ยวนี้เลยนะพาฟลอฟ! ”
แคทลียากรีดร้องต่อเวทเปลวเพลิงที่เฉี่ยวเหนือหัวไป ก่อนจะแผดเสียงออกมาว่าเช่นนั้น
“ ถะ ถึงจะบอกให้หาทางก็เถอะ….. ”
พาฟลอฟที่ถูกผู้เป็นนายร้องไห้โฮอัดใส่นั้นถึงกับกลุ้มหนัก
ถ้าอย่างน้อยๆ มีดาเรียสที่เป็นอาชีพระยะประชิดในระดับเดียวกับพาฟลอฟอยู่ในที่นี่ด้วย สถานการณ์มันก็คงจะต่างออกไปอยู่หรอก แต่จะร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ไปมันก็ไม่ช่วยอะไร
แผนการเท่าที่คิดออก ก็มีแค่ทุ่มสุดแรงเกิดปกป้องแคทลียาเอาไว้จนกว่าจะได้สมทบกับดาเรียสที่ให้สัญญาว่าจะตามมาทีหลังเท่านั้นเอง………แต่พาฟลอฟก็ไม่อาจรู้ได้เลยอีกเหมือนกัน ว่าพลังกายของแคทลียาที่เป็นอาชีพเวทมนตร์นั้นจะยังคงทนทานอยู่ได้ไปจนถึงตอนนั้นรึเปล่า
ร่างกายของแคทลียาที่เป็นอาชีพระดับกลางนั้น ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
แต่ในสภาพปัจจุบันที่สูญเสียความเยือกเย็นเพราะถูกพวกเด็กกำพร้าไล่บี้อยู่ภายในป่าซึ่งพื้นไม่เหมาะต่อการวิ่งเช่นนี้ เรี่ยวแรงพละกำลังมันก็คงจะถูกผลาญไปในระดับที่ไม่อาจเทียบกับตอนปกติได้เลยล่ะ
ถึงแม้ตอนนี้จะยังพอหนีเอาตัวรอดพ้นอยู่ได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าจะถูกพวกเด็กกำพร้ามันล้อมรอบรุมยำเอาเมื่อไหร่
“ ………บัดซบ! ”
หลังตรวจสอบพบว่าสถานการณ์มันเลวร้ายสุดขีดไปเลยได้อีกครั้ง พาฟลอฟก็ยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเอง
“ บัดซบบัดซบบัดซบโว้ย! ถ้าไม่มียูนีคสกิลที่ใช้สะท้อนเวทมนตร์แสนจะโกงนั่นเสียอย่าง ไอ้เจ้าปาร์ตี้ระดับต่ำพรรค์นั้นมันก็ไม่ใช่คู่มือแล้วแท้ๆ! ……..อื๋อ? สุดโกง..……ฮึก! ”
เป็นตรงนี้เองที่พาฟลอฟพลันนึกขึ้นได้
ใช่แล้ว
ยูนีคสกิลแสนทรงพลังที่สามารถใช้สะท้อนเวทมนตร์กลับไปได้…..ไอ้สกิลที่ต่อให้บรรยายว่าโกงก็ไม่ถือว่าเกินจริงเลยซักนิดนั่น มันไม่มีทางจะใช้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขข้อจำกัดใดๆเลยหรอก
มันต้องเผาผลาญพลังเวทเป็นปริมาณมหาศาลแน่นอนเลย แล้วก็จะต้องมีข้อจำกัดอย่างเช่นประเภทหรือจำนวนของเวทมนตร์ที่จะสามารถสะท้อนได้อยู่ด้วยเป็นแน่
อาจจะเสี่ยงอันตรายไม่น้อยเหมือนกัน…….แต่ก็ถือเป็นแผนที่ปลอดภัยและมีระบบดีกว่าโจมตีสวนกลับแบบมั่วๆแน่นอนล่ะ
“ ทุกคนฟังเสีย! เราจะทำการแบ่งทัพ! ”
พาฟลอฟแผดร้องออกมาด้วยเสียงที่พยายามทำให้นิ่งไร้ซึ่งความลังเลที่สุด เพื่อฉุดกองทัพที่กำลังตื่นกลัวให้สงบลง
“ ยิงเข้าไปเรื่อยๆ! ไม่ต้องโดนก็ได้เว้ย! อย่าให้พวกมันมีโอกาสได้ตั้งหลักเด็ดขาดนะ! ยิงเข้าไปยิงเข้าไปไล่บี้มันเข้าไป แล้วพอมันเหนื่อยล้าหอบกันแฮ่กๆแล้วก็ล้อมรอบกระทืบให้เละคาตีนในทีเดียวเลย! ”
จิเซลแผดเสียงให้คำสั่งเหล่าสมาชิกปาร์ตี้ไปพลาง ทำการไล่ตามรอยของพวกแคทลียาไปด้วย
อีกฝั่งหลบซ่อนอำพรางอยู่ภายในป่าก็เลยมองไม่เห็นตัว แต่เพราะมีรอยเท้ากับสกิลตรวจจับของ <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> อยู่ ก็เลยไม่ต้องห่วงว่าจะคลาดกับเป้าหมาย
“ อื๋อ!? ”
เป็นตอนนั้นเอง ที่เอรินซึ่งเป็น <<เรนเจอร์ระดับต่ำ>> ที่ทำการเปิดใช้งานสกิลตรวจจับอยู่อย่างต่อเนื่อง พลันแผดเสียงร้องอย่างฉงนออกมา
“ จิเซล สกิลฉันมีความแม่นยำต่ำมากก็เลยไม่รู้รายละเอียดลึกๆก็จริง……..แต่ดูแล้ว เหมือนว่าฝั่งศัตรูจะแยกตัวออกเป็นมากกว่าสองกลุ่มล่ะ! ”
“ อ๊า? ”
รายงานที่ว่าศัตรูทำการกระจายกำลังนั่น ทำให้จิเซลถึงกับขมวดคิ้ว
ถ้าอุตส่าห์ใจดีกระจายกำลังรบให้ ก็อยากจะตามขยี้รุมเด็ดหัวไปทีละตัวอย่างยินดีเลยหรอก…….แต่แบบนั้นมันก็จะเข้าทางพวกตนมากเกินไปแล้วรึเปล่า
ขุนนางมันก็คงจะไม่โง่กันถึงขนาดนั้นแน่ๆล่ะ
ถ่วงเวลา หรือไม่ก็เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์สบหาโอกาสลอบจู่โจมอะไรพรรค์นั้นรึไง
จะยังไงก็ตามแต่ ที่รู้แน่ๆก็คือพวกมันกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่…….เป็นในฉับพลันที่จิเซลตั้งการ์ดหวาดระแวงให้มากขึ้นอีกระดับนั่นเอง
ครืนนนนนนนนนนนนนน!
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด!
วู่มมมมมมมมมมมมมมม!
“ ห้ะ!? ”
จิเซลถึงกับเบิกตาโพลง
เพราะมีเวทดินระดับกลาง สามนัด ถูกปลดปล่อยออกมาจากคนละทิศทางในฉับพลันเดียวกันนั่นเอง
นั่นก็คือกระสุนยักษ์ใหญ่อันทรงอำนาจที่ป่นขยี้แหวกทำลายแมกไม้จนราบเป็นหน้ากลองได้อย่างง่ายดาย
เพราะแคทลียาเป็น <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ธาตุไฟกับดิน ก็เลยสามารถใช้เวทดินได้ด้วย……และแคทลียาคนนั้น ก็ได้ผสานร่วมมือกับ <<จอมขมังเวทดิน>> อีกสองคน ทำการระดมยิงปลดปล่อยเวทที่มีธาตุตรงกันเข้ามาใส่ในจังหวะที่พร้อมเพรียง
“ อย่าบอกนะว่าไอ้พวกนั้น…….!? ขุ่ก <<ลอบรี่เมจิค>> ! ”
เจอะเข้ากับการโจมตีในจังหวะเดียวที่หากพลาดโดนอัดเข้าไปแค่ทีเดียวก็จะน็อคหมดสภาพอย่างแน่นอนเช่นนั้นแล้ว จิเซลก็ทำการเปิดใช้ <<ลอบรี่เมจิค>> โดยพลัน
ทว่า——-กระสุนยักษ์ใหญ่ที่สามารถแย่งชิงสิทธิควบคุมให้กระเด็นกลับไปทิศเดิมได้ ก็มีเพียงแค่สองนัดเท่านั้น
ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่า Lv ของ <<ลอบรี่เมจิค>> ในตอนนี้ สามารถใช้ควบคุมเวทมนตร์พร้อมกันได้สูงสุดแค่สองนัดเท่านั้นยังไงล่ะ
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด!
เวทมนตร์อีกนัดนึงที่ไม่อาจสะท้อนกลับไปได้ พลันพุ่งชนเข้ากลางปาร์ตี้อย่างจัง
เสียงกรีดร้องดังกังวาน มีหลายคนถูกเป่าปลิวกระเด็น เกิดเป็นฝุ่นควันปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ
“ โธ่เว้ย…….เฮ้ยพวกแก! เป็นอะไรกันรึเปล่า!? ”
จิเซลที่หาทางหลบกระสุนยักษ์ใหญ่มาได้ พลันเร่งเสียงร้องเรียกไปรอบบริเวณ
เหล่ากลุ่มเด็กกำพร้าพลันตอบสนองต่อเสียงนั่นโดยการฝืนเค้นแรงลุกกลับขึ้นมา……..แต่ก็มีอาชีพระยะประชิดสองคน กับอาชีพเวทมนตร์หนึ่งคนที่แน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกเลยซักนิดเดียว
แค่โดนมันใช้เวทระดับกลางใส่เพียงครั้งเดียว จำนวนของฝั่งพวกตนก็หายไปถึง 3 คนในทีเดียวเลย
“ ระยำเอ๊ย! อย่างน้อยก็ขอให้ <<ลอบรี่เมจิค>> เมื่อกี้กำจัดอาชีพเวทมนตร์ของอีกฝั่งไปได้ซักคนทีเหอะ……! ”
ต่อให้มีการระดมยิงด้วยเวทมนตร์ครั้งถัดไปมา แต่ถ้าจอมขมังเวทฝั่งศัตรูกลายเป็นเหลือแค่สองคน ก็จะสามารถสะท้อนกลับไปได้ทั้งหมด
จิเซลภาวนาขอให้เป็นแบบนั้น พลางควักเอาแท็กแทนตัวที่ถูกแจกจ่ายให้ออกมาจากกระเป๋า
แต่เท่าที่ดูจากแท็กแทนตัวแล้ว พบว่าความเสียหายของอีกฝั่งนั้นเป็น 0
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอ่านขาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องถูก <<ลอบรี่เมจิค>> สะท้อนกลับมา เหล่าขุนนางจึงได้วางมาตรการรับมือเอาไว้โดยการระดมยิงแล้วหนีห่างไปจากจุดที่ทำการยิงทันที
ยังไม่นับที่ใช้เวทมนตร์ให้เป็นธาตุเดียวกันทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ระบุตำแหน่งที่อยู่ของแคทลียาได้อีก….นับว่าเป็นการโจมตีสวนกลับที่ถูกคำนวณเอาไว้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเลย
“ เฮ้ยจิเซล! อีกฝั่งยิงเวทมนตร์เข้ามาใส่แบบนี้ก็หมายความว่า……. ”
“ เออ…….ไอ้พวกบรรลัยเกิดนั่น มันสังเกตถึงข้อจำกัดของ <<ลอบรี่เมจิค>> เข้าซะแล้วเรอะ!? ”
ฉับพลันเดียวกับที่จิเซลแผดร้องด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวเนื่องจากความแตกตื่นนั่นเอง
ครืนนนนนนนนนนนนนน!
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด!
วู่มมมมมมมมมมมมมมม!
“ ขึก!? ”
ก็พลันมีการระดมยิงถาโถมคุกคามเข้ามาใส่พวกเธอซ้ำอีกครั้ง ราวกับเป็นการสนับสนุนความกลัวที่ใกล้เคียงกับคำว่ามั่นใจนั่นของจิเซลเลยก็มิปาน