“ ไม่น้า————! อภัยให้หนูเถอะค่ะท่านพี่——! ไม่เอ๊าอย่าลงโทษหนูไม่เอ๊า——! ”
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วห้องซึ่งตั้งอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา
เจ้าของเสียงก็คือเด็กสาวขุนนางที่มีเส้นผมสีทองเงางามเด่นเป็นเอกลักษณ์
แคทลียา ริชมอนด์ ที่ถูกผนึกการเคลื่อนไหวอยู่ด้วยเครื่องเหนี่ยวรั้งแบบพิเศษน่ะเอง
“ หุบปาก ”
เห็นแคทลียาที่ร้องแรกแหกกระเชอด้วยน้ำตาเช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ถ่มคำพูดออกมาอย่างเย็นชา
กิมเล็ต วอลเดรีย, ขุนนางระดับสูงที่ปกครองอยู่เป็นอันดับที่ 4 ของพรรคดิออสเกรฟ——อันเป็นหนึ่งในสามพรรคขุนนางใหญ่
โฉมหน้าและท่วงท่าอันเป็นระเบียบงดงาม รวมทั้งความมั่นใจในตัวเองสุดกู่ที่ถูกรองรับอยู่ด้วยความสามารถแท้จริงนั่นมันฉายแววให้สัมผัสได้ถึงลักษณะของผู้ปกครองที่เก่งกาจทรงพลัง แต่โฉมหน้าอันหล่อเหลาที่ตามปกติคงจะเปี่ยมล้นไปด้วยความเยือกเย็นนั่นมาตอนนี้กลับบิดเบี้ยวหงิกงอไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอันแรงกล้า แววตาที่เฉียบคมกริบถูกเพ่งตรงเขม็งเข้าหาแคทลียา
“ ได้รู้บ้างไหม ว่าที่แกแพ้ให้กับเด็กกำพร้า——ไม่สิ ที่แกแพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> นั่นมันทำให้พรรคดิออสเกรฟของพวกเราถูกสื่อนำเอาไปพูดต่อกันว่าอย่างไร? ”
“ ระ เรื่องนั้น…… ”
เสียงทุ้มต่ำของกิมเล็ตที่ขยี้บทความขายให้ประชาชนซึ่งถืออยู่ในมือดังกึ๊ด! นั่นเล่นทำเอาแคทลียาตัวสั่นระริก แต่ก็ไม่แปลกหรอก
แคทลียา ริชมอนด์ได้เข้าไปท้าหาเรื่องกลุ่มเด็กกำพร้า แล้วถูกตบแพ้ยับกลับมา
แม้จะผ่านมานานได้ซักพักแล้วหลังจากที่การประลองจบสิ้นลงไป แต่เนื่องจากมีการแทรกแซงของกองกำลังขุนนางกลุ่มอื่นๆที่อยากจะเล่นงานพรรคดิออสเกรฟด้วยส่วนนึง ทำให้ประเด็นนั่นยังคงถูกพูดคุยเป็นกระแสสังคมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ทว่า เรื่องที่ทำให้เหล่าผู้คนฮือฮากันได้มากสุด ก็คือการที่กำลังรบหลักของปาร์ตี้เด็กกำพร้าคือ <<ไร้อาชีพ>> นี่แหละ
เพราะแพ้ให้กับอาชีพสุดกากสุดกระจอกที่ในหลายสิบล้านคนจะมีโผล่มาหนึ่งคน บวกกับอีกฝั่งยังเป็นเด็กที่เพิ่งได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆในปีนี้อีก ความพ่ายแพ้ของแคทลียาซึ่งเป็นขุนนางแห่งพรรคดิออสเกรฟจึงถูกเล่าขานกระจายเป็นวงกว้างไปอย่างสนุกปาก
ประมาณว่า——พรรคดิออสเกรฟรุ่นปัจจุบันมันกากมากระดับที่แพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> เลยเชียวล่ะ
แม้จะเป็นเพียงวาจาไร้สาระที่กึ่งพูดเล่นเอาสนุกไปเรื่อย แต่ความเป็นจริงที่ว่าคนของพวกตนพ่ายแพ้ให้กับอาชีพสุดกระจอก ก็ได้กลายเป็นตัวทำให้นามของพรรคดิออสเกรฟต้องเสื่อมเสียอย่างไม่มีอะไรเกินภายในระยะเวลาอันสั้น
“ ตะ แต่ว่าแต่ว่า! อะไรแบบนั้นใครจะไปคาดเดาได้กันล่ะ! ไม่มีใครนึกหรอกค่ะว่า <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0 จะแข็งแกร่งมากถึงขนาดนั้นน่ะ! โกงกันชัดๆเลยอ้ะ! ”
แคทลียาที่หวาดกลัวสายตาของกิมเล็ต พลันแผดเสียงตะโกนออกมาราวกับว่าแก้ตัว
“ ที่พรรคดิออสเกรฟต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นที่อื้อฉาวนั่นมันเป็นเพราะไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ประหลาดนั่นคนเดียวเลยค่ะ! ถ้าไม่มีไอ้เจ้านั่นเสียอย่างพรรคดิออสเกรฟก็คงจะไม่ตกต่ำจนถึงขนาดนี้……! ดังนั้นแหละค่ะท่านพี่! ถ้าจะลงโทษก็ช่วยโปรดไปทำใส่ไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> แทนทีเถอะค่ะอย่าได้ทำหนูเลยนะ! ”
“ แกไม่พูดฉันก็จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว ”
กิมเล็ตอ้าปากกล่าวออกมา เป็นการขัดคำพูดของแคทลียาที่พยายามเล่นลิ้นเอาตัวรอดเต็มกำลัง
จะพรรคขุนนางกลุ่มอื่นที่คอยจ้องหาโอกาสเล่นงานพรรคดิออสเกรฟเอย แคทลียาที่พ่ายแพ้ในการประลองเอย……เป้าหมายที่ตกเป็นเหยื่อความโกรธแค้นของกิมเล็ตนั้นมีอยู่มากมายเลย
แต่แววตาที่เหมือนกับเอาความโกรธพิโรธทั้งหมดมวลมาอัดแน่นรวมกันให้ออกมาเข้มข้นถึงขีดสุดนั่น ก็กำลังจ้องมองไปยังตัวอักษร <<ไร้อาชีพ>> ที่ถูกพิมพ์เด่นหราตัวใหญ่ๆอยู่ภายในบทความซึ่งถูกขยี้แหลก
มันนั่นล่ะคือตัวการสำคัญที่ทำให้พรรคดิออสเกรฟถูกเย้ยหยันอย่างไม่มีอะไรเกิน
ความโกรธเกรี้ยวซึ่งมีต่อไอ้เจ้าสามัญชนที่แม้ตัวจะเป็นอาชีพสุดกากสุดกระจอก แต่กลับเหิมเกริมเข้ามาโค่นล้มขุนนางในพรรคของตนนั่นมันมากล้นท่วมท้นจนความโกรธที่มีต่อแคทลียาเทียบชั้นด้วยไม่ติด เรียกได้ว่าจำเป็นต้องมีการเอาคืนต่อ <<ไร้อาชีพ>> อย่างแน่นอนแล้ว
ทว่า
“ ถึงอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าความรับผิดชอบของแกที่พลาดเผยสภาพแสนน่าอดสูทั้งที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันนั่นมันจะหายไปซะหน่อย เตรียมใจให้พร้อมซะ ”
“ ฮิ ฮี๊————!? เจ็บๆนี่หนูไม่เอาน้าา————!? ”
คำป่าวประกาศอย่างไร้เมตตาของกิมเล็ต ทำให้เสียงกรีดร้องเหมือนกับจะขาดใจของแคทลียาดังทับซ้อนขึ้นมาอีก
“ เป็นอย่างไร? สืบรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้า <<ไร้อาชีพ>> มาได้บ้าง? ”
หลังจากลงโทษแคทลียาจนสาแก่ใจในระดับนึง
กิมเล็ตก็นั่งลงเหนือโซฟาภายในห้องตนเอง ก่อนจะเปล่งเสียงไปยังมุมห้อง
มีสตรีผู้นึงแฝงเร้นตัวอยู่ภายในเงามืดตรงนั้น และเธอก็ก้มหัวแสดงความเคารพไปพลางอ้าปากตอบรับต่อคำถามของผู้เป็นนาย
“ ค่ะ นามของมันคือ ครอส อาราเกาท์ เป็นเด็กอายุ 14 ปีที่เพิ่งจะได้รับ <<คลาส>> มาหมาดๆในปีนี้ มีประวัติถูกไล่ออกจากโรงเรียนนักผจญภัยในภายหลังจากที่ถูกประทาน <<ไร้อาชีพ>> มาให้ แต่เพียงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นก็ได้โค่น จิเซล สตริงก์ คนนั้นภายในการสอบชิงสิทธิจนได้กลับมาเข้าเรียนใหม่อีกครั้งค่ะ……แม้ไม่อาจทราบว่าทำไม <<ไร้อาชีพ>> ถึงพัฒนาตัวเก่งขึ้นมาได้แบบก้าวกระโดดขนาดนั้น แต่หากพิจารณาจากคำให้การของพวกท่านแคทลียาร่วมด้วยแล้วก็คิดว่าความสามารถของมันน่าจะสูงจริงอย่างไร้ข้อกังขาเลยค่ะ แน่นอนว่าถึงอย่างนั้นก็ยังห่างชั้นกับท่านกิมเล็ตประหนึ่งเป็นฟ้ากับเหวอยู่ดี ”
สตรีผู้เป็น <<ธีฟระดับกลาง>> กล่าวคำสรรเสริญยกยอต่อผู้เป็นนายร่วมเข้าไปด้วย พร้อมกับอ่านข้อมูลของ <<ไร้อาชีพ>> ที่แอบไปสืบทราบอย่างลับๆออกมา
ข้อมูลที่ถูกจัดเรียงออกมานั้นมีมากมายหลายประเภทอย่างเช่นลักษณะนิสัยของ <<ไร้อาชีพ>> หรือท่าทางตอนที่อยู่ในโรงเรียน และกิมเล็ตที่รับฟังข้อมูลเหล่านั้นก็ทำดวงตาที่เย็นเฉียบให้ส่องประกายดั่งกับกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่าง
ทว่าเป็นในระหว่างนั้นเอง ที่ความคิดของกิมเล็ตถูกตัดขาดห้วงไปโดยข้อมูลนึง
“ ——ในปัจจุบัน ครอส อาราเกาท์กำลังพักอาศัยอยู่ภายในบ้านไม้สามชั้นซึ่งตั้งอยู่ทางถนนทิศตะวันออกค่ะ เนื่องจากมีผู้สัญจรผ่านไปมาเป็นจำนวนน้อยมากอย่างประหลาดก็เลยไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด……แต่พิจารณาจากทำเลของที่อยู่แล้ว คาดว่า ครอส อาราเกาท์ จะต้องอาศัยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มปาร์ตี้อาชีพระดับสูงอย่างแน่นอนเลยค่ะ ”
“ <<ไร้อาชีพ>> น่ะหรืออยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มปาร์ตี้อาชีพระดับสูง? ”
ข้อมูลสุดประหลาดที่ได้มาจากผู้ติดตามผมดำนั่น ทำเอากิมเล็ตถึงกับเผลอแผดเสียงขัดเข้ามา
เริ่มจะคิดตั้งข้อสันนิษฐานว่า ที่ <<ไร้อาชีพ>> เก่งทรงพลังขึ้นมาในระดับที่กำราบปาร์ตี้อาชีพระดับกลางได้อย่างท่วมท้นเลยนั่น มันเป็นผลจากการที่ได้ฝึกฝนเติบโตในสภาพแวดล้อมซึ่งสุดจะเข้าทางมากเหลือเกินแบบนั้นรึเปล่า ทว่า
“ ไม่สิ……เป็นไปไม่ได้หรอก ”
กิมเล็ตคิดสรุปผลเช่นนั้นภายในทันที
เพราะกะอีแค่อาชีพระดับสูง ถึงจะช่วยเหลือฝึกฝนอบรมให้ขนาดไหนยังไง แต่ก็ไม่มีทางช่วยให้ <<ไร้อาชีพ>> เติบโตขึ้นมาในระดับที่โค่นล้มขุนนางได้อยู่ดีนั่นเอง อาจจะเป็นสาเหตุส่วนนึงที่ทำให้มันมีสกิลอยู่ในครอบครองมากมายหลายประเภทก็จริงหรอก ทว่าต่อให้เหล่าอาจารย์ระดับท็อปของโรงเรียนนักผจญภัยมารวมหัวช่วยกันสอนช่วยกันฝึกฝนให้ แต่ก็ยังไม่น่าจะมีแววพัฒนาเติบโตได้อีกอยู่ดีนั่นล่ะ <<คลาส>> ที่มีนามว่า <<ไร้อาชีพ>> มันย่ำแย่ไร้แววเก่งมากถึงขนาดนั้นแหละ หากว่าถึงอิทธิพลที่อาจได้รับจากสภาพแวดล้อมที่บ้าน อย่างมากสุดก็คงแค่ได้รับคำปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์จนสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้สูงขึ้นเท่านั้นแหละมั้ง
(แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นก็ควรจะคิดว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ ครอส อาราเกาท์ มันเป็ลผลจากคุณสมบัติของเจ้าตัวเองมากกว่าสินะ)
กิมเล็ตคิดสรุปผลเช่นนั้น แล้วจึงเพ่งจิตคิดร้ายมากยิ่งขึ้นไปยังเด็กหนุ่มซึ่งแอบเก็บงำคุณสมบัติแบบพิเศษเอาไว้พลางใช้ฉายาของ <<ไร้อาชีพ>> เพื่อโค่นล้มกำราบขุนนางภายในพรรคของตน
“ ——ถ้าอย่างนั้นแล้ว คิดจะทำอย่างไรกับ <<ไร้อาชีพ>> ผู้นี้หรือคะ? ”
ข้ารับใช้ที่เป็น <<ธีฟระดับกลาง>> ซึ่งกล่าวคำรายงานครบถ้วนแล้ว ได้เปล่งเสียงเข้าหากิมเล็ตใหม่อีกครั้ง
“ ถึงแม้ฝั่งอาณาจักรที่ปรารถนาให้มีการยกระดับคุณภาพฝีมือของนักผจญภัยและขุนนางจะมีการจงใจยุให้เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่เมืองแห่งนี้เห็นดีเห็นชอบด้วยนั้นไม่ใช่การขัดแย้งบาดหมางแต่เป็นการแข่งขันเพื่อพัฒนาฝีมือของกันและกันค่ะ หากกระทำการเอาคืนอย่างโจ่งแจ้งเห็นได้ชัด ก็รังแต่จะเป็นการเปิดช่องทำให้พรรคฟอร์เรสทีเซ่ กับพรรคฟรังก์สไตน์มีข้ออ้างในการกวาดล้างพวกเรานะคะ ”
“ ฮึ สามัญชนแค่คนสองคน หากคิดจะทำจริงๆแล้วละก็มีวิธีกำจัดทิ้งอย่างชอบธรรมเยอะแยะถมถืดไป ”
ได้ยินความกังวลของข้ารับใช้ กิมเล็ตตอบกลับออกไปอย่างเยือกเย็น
“ แต่ถึงจะอย่างนั้น……เรื่องคราวนี้ก็ถือเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของพรรค จำต้องเลือกวิธีให้ดี ถึงจะเป็นแผนที่ออกจะอ้อมค้อม แต่ฉันก็จะลงมือเคลื่อนไหวเองเลย พวกแกกลับไปประจำการรอจนกว่าจะถึง งานเทศกาลนั่น ซะ ”
“ ค่ะ ”
หลังจากได้รับคำสั่งของผู้เป็นนาย ข้ารับใช้ซึ่งเป็น <<ธีฟระดับกลาง>> ก็หายตัวไปจากที่แห่งนั้นอย่างไร้เสียง
และแล้วกิมเล็ตที่เหลืออยู่เพียงตัวคนเดียว ก็เพ่งสายตาออกไปยังภายนอกหน้าต่างพร้อมเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมา
“ ครอส อาราเกาท์……มันมียูนีคสกิลที่ช่วยบูสต์การเติบโตในระยะแรกเริ่มซึ่งเป็นช่วงสำคัญงั้นรึ หรือว่า <<ไร้อาชีพ>> จะมีคุณลักษณะพิเศษแอบแฝงอยู่หรือไง ไม่รู้แน่ชัดหรอกนะว่ามีเหตุผลแบบไหนถึงทำให้แกพัฒนาได้แบบก้าวกระโดด แต่ก็ทำเป็นอวดดีต่อไปได้แค่ในช่วงนี้เท่านั้นล่ะ ”
พรรคขุนนางขนาดใหญ่ที่แบ่งอาณาจักรอัลเมเรียซึ่งก็คือประเทศที่มีขนาดใหญ่มากสุดในทวีปให้แตกออกเป็นสามส่วน——ขุมกำลังหลักทั้งสาม
และตนก็คือขุนนางของพรรคดิออสเกรฟที่ถือเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังดังกล่าว เพื่อที่จะลบล้างความเสื่อมเสียจากการที่ขุนนางภายในสังกัดพ่ายแพ้ให้กับ <<ไร้อาชีพ>> แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากจะต้องมอบการลงทัณฑ์ที่สมควรให้แก่ไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่ริอาจเหิมเกริมมาดูหมิ่นกันเท่านั้น
“ จะทำให้หมดสภาพ เอาให้แกไม่อาจกลับมาปฏิบัติงานในฐานะนักผจญภัยได้อีกเลย ”
ส่องประกายดวงตาที่เปี่ยมไว้ด้วยจิตคิดร้ายไปพลาง
ขุนนางระดับสูงผู้นั้นพลันประกาศเริ่มต้นแผนเอาคืนต่อ <<ไร้อาชีพ>> ออกมา ดั่งกับว่าเป็นการปลุกความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้นชิงชังที่แผ่ขยายอยู่ภายในอกให้ลุกโชน