เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 60 เทศกาลวิวาท (4)

สองวันให้หลังจากที่จัดเตรียมอาวุธใหม่

ผมก็ได้นัดหมายพบหน้ากับพวกจิเซลกลุ่มเด็กกำพร้าตั้งแต่เช้าตรู่เลย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใครคนนึงจึงพูดขึ้นมาว่าอยากจะดูพิธีเปิดเทศกาลวิวาท เราก็เลยตกลงได้ความกันว่าจะรีบมุ่งหน้าไปยังละแวกสถานที่จัดงานแต่เนิ่นๆเพื่อให้ได้ตำแหน่งดีๆน่ะ

เป็นแบบนั้นแท้ๆ

 

“ อ๊าาา เผลอนอนเพลินเกินไปหน่อยซะได้! ผมไปก่อนนะครับ! ”

 

ก่อนหน้าที่ฟ้าจะสาง ผมรีบยัดข้าวเช้าเข้าใส่ปากแต่งองค์ทรงเครื่องให้พร้อมสรรพ แล้วจึงกระโจนตะลีตะลานออกมาจากคฤหาสน์

 

“ ไปดีมาดีน้าา~ ”

“ อืม ระวังตัวให้ดีด้วยนะ ”

 

และในระหว่างที่คุณเทโลเมียร์กับคุณลูด์มิร่าช่วยมาเฝ้าส่งอย่างอ่อนโยนแบบนั้นเอง

 

“ เฮ้ยครอส ”

 

ที่เสียงอันทรงพลังขึ้นอีกระดับของคุณลีโอเน่ ดังก้องไล่มาจากข้างหลังผมซึ่งก้าวทะยานออกไป

 

“ ไปสนุกกับการวิวาท (เทศกาล) ในวันนี้ให้เต็มที่ล่ะ ”

“ ครับ! <<ทะยานหุ้มวายุ>> ! ”

 

ผมส่งยิ้มกลับไปให้คุณลีโอเน่ที่ปั้นรอยยิ้มอยู่อย่างดุร้าย แล้วจึงใช้สกิลรีบรุดมุ่งหน้าตรงไปยังที่นัดหมาย

 

 

 

“ โอ๊ะ มาแล้วเว้ยๆ แกนี่มันชักช้าจริงเลยครอส! ”

“ ขอโทษ! ”

 

พอมาถึงที่นัดหมายก็พบว่ากลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนได้มาคอยกันอยู่เรียบร้อยแล้ว โดนจิเซลตะคอกใส่เสียงดังเลยผม

 

“ ถ้าไม่รีบไปละก็เดี๋ยวที่นั่งในสถานที่จัดพิธีเปิดจะเต็มหมดเอานะ! นั่นไงเห็นมั้ย เริ่มจะมีคนเแห่ข้าไปกันแล้วด้วย! ”

 

เป็นจริงอย่างที่เอรินซึ่งเป็น <<เรนเจอร์>> พูดนั่นแหละ ฟ้ายังสลัวอยู่เลยแท้ๆแต่กลับมีเหล่านักผจญภัยที่สวมเครื่องสวมใส่ดิบดีโผล่มาให้เห็นเป็นประปรายอยู่ตามถนนใหญ่แล้ว

 

“ เอาเว้ย งั้นก็รีบไปกันเลยเหอะ! ”

 

โอ้ววว!

ความรู้สึกตื่นเต้นกับงานเทศกาลผสานร่วมกับความร้อนรนที่มาถึงล่าช้าไม่ทันชาวบ้าน บีบให้พวกผมวิ่งทะยานเข้าไปยังสถานที่จัดพิธีเปิดด้วยอารมณ์ตื่นตัวยังไงชอบกล

 

 

สถานที่ซึ่งถูกใช้เป็นแหล่งทำพิธีเปิดเทศกาลวิวาท ก็คือเขตฟื้นฟูปรับสภาพเมืองซึ่งกลายเป็นที่กว้างโล่งไปเนื่องจากเหตุการณ์พ๊อยซั่นสไลม์ฮีโดร่าบุกในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ

เขตฟื้นฟูปรับสภาพเมืองที่เหมือนว่ามีกำหนดการณ์จะสร้างให้เป็นทางเดินและลานกว้างขนาดใหญ่ไว้เพื่อใช้จัดเทศกาลวิวาทเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั่น มาตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ว่างโล่งราบเรียบเนียนไปแล้วเสร็จสรรพ ดังนั้นต่อให้จะมีคนมาออกันเพื่อชมพิธีเปิดซักเท่าไหร่แต่ก็น่าจะรองรับได้ทั้งหมดอย่างสบายๆเลย

……คิดแบบนั้นมาจนถึงเมื่อวานหรอกนะ

แต่สถานที่จัดพิธีเปิดซึ่งพวกผมเดินทางมาถึง กลับถูกห่อหุ้มอื้ออึงไปด้วยความครึกครื้นที่ก้าวเหนือไปยิ่งกว่าที่คาดหมายไว้เยอะเลย

 

[ขอบคุณทุกท่านนะคะที่มาร่วมชม! อีกซักประเดี๋ยวก็จะเข้าสู่พิธีเปิดอันเป็นที่รอคอยแล้ว แต่ได้โปรดกรุณาอย่าได้เบียดหรือผลักกันเลยนะคะ! หากเกิดปัญหาขึ้นแล้วพิธีเปิดก็จะล่าช้ามากขึ้น และก็จะเป็นการสร้างเรื่องให้ท่านอธิการบดีซาริเอล่าที่ช่วงนี้ไหงถึงดูอ่อนเพลียแปลกๆต้องยุ่งหัวหมุนอีกด้วยค่ะ!]

 

เสียงที่มีคำพูดหยอกล้อร่วมไปด้วยของ <<จอมขมังเวทเสียง>> ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณหลายต่อหลายรอบ

บริเวณใจกลางของเขตฟื้นฟูปรับสภาพซึ่งมีกำหนดจะใช้เป็นที่กล่าวคำเปิดพิธีนั้นได้เนืองแน่นล้นไปด้วยผู้คน ออกันมากแบบสุดจะบรรยายเลยเชียวล่ะ อีแบบนี้แค่จะขยับตัวเคลื่อนไหวนิดๆก็ยังจะลำบากเลย

 

“ ตลอดช่วงหลายเดือนมานี้บัสเคิลเบียร์มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นมาก็จริงหรอก……แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเยอะระดับนี้ ”

“ จริงว่ะให้ตาย เทศกาลเก็บเกี่ยวที่มีประทาน <<คลาส>> นั่นก็เอาเรื่องเหมือนกันหรอก แต่วันนี้มีเยอะมากกว่าซะอีก ”

 

โชคดีที่พวกผมรีบมากันตั้งแต่เช้าตรู่ก็เลยได้ตำแหน่งที่มองเห็นจุดที่มีการพูดเปิดพิธีได้อย่างชัดเจน แต่บริเวณนั้นก็มีผู้คนเบียดเสียดกันแน่นเอี๊ยดไปหมด จนจิเซลถึงกับแผดเสียงออกมาอย่างเซ็งๆ

ว่าตามตรง คนแห่มากันเยอะมากซะจนดูผิดปกตินิดๆเลย

แต่ก็สมควรแล้วล่ะที่พิธีเปิดในคราวนี้จะครึกครื้นมากถึงระดับนี้

 

 

เพราะพิธีเปิดนี้ จะมีเหล่าผู้คนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้ามาพบหน้ารวมกันในที่เดียวแล้วเปิดเผยตัวให้เห็นได้ต่อหน้าสายตาปวงชนยังไงล่ะ

 

 

ที่ทำการนัดหมายกับพวกจิเซลตั้งแต่เช้าตรู่ ก็เพราะมีคนที่บอกว่าอยากจะเห็นภาพในตอนที่เหล่าเชื้อสายในตำนานเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ครบหน้านั่นเอง

และแน่นอนว่าตัวผมเองก็เช่นกัน เพราะมีความสนใจอย่างแรงกล้าต่อเหล่าผู้คนที่สืบสายเลือดมาจากตำนาน ผมก็เลยตกลงเอาด้วยกับคำเชิญชวนของกลุ่มเด็กกำพร้านี่แหละ……แต่แท้จริงแล้วที่สนใจมากสุดเป็นอันดับหนึ่งเลยก็คือ คุณเอลิเซียที่เห็นว่าจะขึ้นแท่นปรากฎตัวออกมาพร้อมกับเหล่าผู้สืบสายเลือดจากปาร์ตี้ผู้กล้านี่แหละนะ

 

(ตอนที่แอบนัดเจอกันครั้งก่อนนี่ก็คุยกันถูกคอมากจนตกลงว่าจะมาพบกันอีกหรอก แต่ระยะนี้ก็ต้องยุ่งกับการประลองเอยฝึกวิชาเอยจนไม่มีเวลาได้พบหน้าเจอกันเลยนี่นะ……)

 

แอบคาใจว่าคุณเอลิเซียยังแข็งแรงดีอยู่รึเปล่า ดังนั้นขอแค่ให้ได้มองจากไกลๆก็ยังดีอยากจะเห็นหน้าเค้ามากเหลือเกินน่ะ ทั้งที่ผมไม่มีสิทธิสมควรให้ทำแบบนั้นได้เลยซักเศษเสี้ยวเดียวแท้ๆ

 

(แต่คุณเอลิเซียเค้าก็เป็นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า หนำซ้ำยังเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นอาชีพระดับสูงสุดได้ทั้งที่มีอายุเพียง 16 ปีด้วย คงจะถูกผู้คนโดยรอบคอยดูแลอย่างดีอยู่แล้วแหละ ไม่มีทางเลยที่จะไม่แข็งแรง)

 

และ เป็นในจังหวะที่กำลังอับอายกับความแส่ไม่เข้าเรื่องของตัวเองอยู่นั่นเอง

 

[ค่าได้เวลากันแล้ว ในที่สุดสิ่งที่ทุกท่านตั้งตารอก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว จะขอเริ่มพิธีเปิดเทศกาลวิวาทเลยนะคะ!]

 

เสียงของโฆษกที่ถูกขยายให้ดังขึ้นนั่นพลันก้องอึกทึกมากขึ้นอีกระดับ

และในจังหวะเดียวกันนั้น เวทีขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงใจกลางของสถานที่ทำพิธีเปิดก็ล่องลอยขึ้นสู่ฟ้า

เป็นการแสดงแสนอลังการโดยใช้เวทลมระดับสูงน่ะ

และแล้ว คนคนนั้นก็พลันปรากฎตัวออกมาเหนือเวทีซึ่งลอยเด่นขนาดที่แม้แต่ไกลๆก็ยังมองเห็นได้ชัดขึ้นนิดหน่อยแห่งนั้น

 

[ถ้าอย่างนั้นแล้วก่อนอื่นก็ต้องเป็นคำพูดเปิดพิธีค่ะ! เริ่มจากผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าที่ทุกท่านต่างรู้จักกันดี ท่านเอลิเซีย ราฟาแกลิออน ก่อนเลย!]

[……อย่างที่ได้ถูกแนะนำตัวไป เอลิเซีย ราฟาแกลิออนค่ะ]

“ ……ฮึก ”

 

รูปโฉมของบุคคลที่หลงใหลซึ่งไม่ได้เห็นซะนานนั่น ทำเอาผมแทบจะลืมหายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว

ขนาดมองจากไกลๆก็ยังเห็นได้เต็มตา ความงดงามราวกับดาบเลอค่าซึ่งถูกขัดเกลาดูแลจนถึงขีดสุด และกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่ถูกลับคมจนถึงที่สุดนั่น พลันทำให้มีเสียงอื้ออึงดั่งกับซาบซึ้งชื่นชมหลุดรั่วออกมาจากทั่วสถานที่จัดงาน

ผมเองก็เป็นเหมือนกับเหล่านักผจญภัยพวกนั้น เอาแต่จ้องมองรูปโฉมที่แข็งแรงดีของคุณเอลิเซียจนตาค้างไปเลยหรอก——

 

“ ……อ้าว? ”

 

แต่แล้วผมที่แหงนมองไปยังคุณเอลิเซียได้ซักระยะ ก็รู้สึกแหม่งๆอย่างหนักหน่วงขึ้นมาเอาตรงนั้น

 

(คุณเอลิเซีย ดูโมโหสุดๆเลยยังไงไม่รู้……?)

 

แต่เหมือนว่าจะมีเพียงผมคนเดียวที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแหม่งๆดังกล่าว ผู้คนโดยรอบต่างก็ตื่นเต้นเฮฮาอยู่กับการปรากฎตัวของคุณเอลิเซียกันอย่างเดียว

และผมที่งุนงงสับสนก็ถูกปล่อยทิ้งไว้อยู่แบบนั้น การพูดเปิดงานของคุณเอลิเซียพลันดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด

 

[ดังที่ทุกท่านทราบกันดี เมื่อหลายร้อยปีก่อน เพราะการปรากฎตัวอย่างกะทันหันของจอมมารที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดในประวัติศาสตร์——หรือที่ถูกเรียกกันว่าเทพมาร โลกใบนี้จึงเกือบจะต้องประสบพบเจอกับความล่มสลาย แต่เคราะห์ดีที่เทพมารถูกปราบลงไปด้วยฝีมือบรรพบุรุษของดิฉันที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้กล้ารุ่นแรก โลกของเผ่ามานพจึงยังคงดำเนินอยู่ได้ดังเช่นปัจจุบันค่ะ ทว่า——]

 

คุณเอลิเซียเว้นหยุดช่วงไปครั้งนึงก่อน

 

[ตามเรื่องเล่าที่ถูกกล่าวขานสืบทอดกันมาแล้ว คาดว่าเทพมารจะต้องฟื้นคืนชีพกลับมาในซักวันเป็นแน่ ตระกูลผู้กล้าของพวกดิฉันจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับในเวลานั้น โดยการรับเอาผู้แข็งแกร่งจากแต่ละยุคสมัยให้เข้ามาภายในวงศ์ตระกูล และหน้าที่นั้นก็ยังคงอยู่ดังเดิมแม้ในยุคของดิฉันค่ะ]

 

ที่ถูกเล่าขานออกมา ก็คือเหตุผลที่ทำให้คุณเอลิเซียเดินทางมายังเมืองนี้ ภาระหน้าที่ของผู้กล้า

เรื่องเล่าอันสูงศักดิ์ที่จำต้องเฟ้นหาคู่ชีวิตภายในเมืองซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยแห่งนี้ เพื่อที่จะได้โค่นล้มเทพมารซึ่งจะคืนชีพกลับมาในซักวัน

แต่ว่า

ยิ่งปราศัยไปนานเท่าไหร่เสียงของคุณเอลิเซียก็ยิ่งเย็นเฉียบมากขึ้น บรรยากาศที่ห่อหุ้มตัวก็ดูมืดมนและหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

ผมรู้สึกแบบนั้น

 

[เหล่าพวกพ้องของดิฉันที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้าก็จะเข้าร่วมงานในวันนี้ และมีกำหนดการณ์จะปะทะประมือกับทุกท่านด้วยเช่นกันค่ะ ตัวดิฉันเองก็จะเฝ้ารับชมงานเทศกาล โดยคาดหวังถึงการปรากฎตัวของผู้ถือครองพรสวรรค์มากความสามารถที่เหนือล้ำไปยิ่งกว่าเหล่าปาร์ตี้ผู้กล้า ……ถ้าอย่างนั้นก็ ขอให้ทุกท่านสำแดงความสามารถของตนออกมาให้เต็มที่ แล้วสนุกสนานไปกับงานเทศกาลในวันนี้แล้วกันค่ะ]

 

พอคุณเอลิเซียพูดแบบนั้นเป็นการจบปราศัย เสียงโห่ร้องยินดีที่ดังลั่นเหมือนกับระเบิดก็สั่นสะท้านออกมาจากสถานที่จัดงาน

ที่สเกลของเทศกาลวิวาทในปีนี้ต่างไปจากปกติแบบเทียบไม่ติดนี่ นอกจากจะเป็นเพราะมีเหล่าผู้สืบสายเลือดของตำนานมารวมตัวกันครบหน้าแล้ว ก็คงเป็นเพราะได้อิทธิพลหลักๆจากคุณเอลิเซียที่เดินทางมาตามหาคู่ชีวิตนี่มากกว่าด้วยแหละมั้ง

บรรยากาศเร่าร้อนมากระดับที่ทำให้คิดแบบนั้นอีกครั้งเลยเชียวล่ะ

แต่ผิดกับความเร้าร้อนนั่น——บรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่รอบคุณเอลิเซียกลับดูเย็นยะเยือกจนชวนปวดใจเลยจริงๆนั่นแหละ ไม่ใช่แค่หน้านิ่งเฉยๆแต่อย่างใดเลย

คงเพราะแอบพบกันมาสองครั้งละมั้ง

ผมจึงสัมผัสได้ว่าตอนนี้คุณเอลิเซียกำลังฝืนตนเองอยู่ แล้วจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจับจิตทีเดียว

 

“ เป็นอะไรไปน่ะ คุณเอลิเซีย…… ”

 

แต่ว่า สามัญชนที่เป็น <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไรให้ได้เลย

ได้แต่แหงนมองอย่างสิ้นหนทางไปยังคุณเอลิเซียที่เดินกลับไปหลังเวที และเป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ ……อ๊ะ ”

 

ที่ผมเผอิญ สบตาเข้ากับคุณเอลิเซียที่หันมองมาทางนี้เข้าพอดิบพอดี

ในนาทีให้หลังจากที่คิดแบบนั้น

 

“ อ๊ะ…… ”

 

 

คุณเอลิเซียที่สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนกับรูปปั้นน้ำแข็ง ก็พลันสร้างรอยยิ้มอ่อนละมุนขึ้นมาอยู่เหนือเวที

 

 

ราวกับว่าการพบเห็นผมอยู่ท่ามกลางกลุ่มฝูงชนนั่นคือต้นเหตุเลยก็มิปาน

 

“ ฮึก!? ”

 

หัวใจเต้นถี่แรงขึ้นมาเลย

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนสุดกู่นั่น มันทำให้ผมสับสนว่าจะไปใช่แบบนั้นได้ยังไง

หรือว่าจะมีแผงลอยขายของกินที่คุณเอลิเซียน่าจะชอบอยู่ใกล้ๆผม แล้วเขาก็ยิ้มขึ้นมาเพราะว่าเห็นร้านดังกล่าวนั่นเข้าหรอกรึเปล่า เนี่ยทำเอาสงสัยแบบนี้ขึ้นมาจริงๆเลยทีเดียว

ทว่า สมมติฐานแบบนั้นของผมก็พังทลายยับเยินในทันที

 

“ ……ครอสล่ะ ”

“ ฮึก!? ”

 

ปากของคุณเอลิเซียที่ลดความเร็วการก้าวเท้าอยู่เหนือเวทีมันขยับแบบนั้นจริงๆ

หนำซ้ำยังมีโบกมือมาให้ทางนี้นิดๆอีกด้วย

 

 

บรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดสลายหายไป ที่อยู่ตรงนั้นก็คือคุณเอลิเซียคนที่ผมพูดคุยด้วยภายในคาเฟ่

และพอผมกำลังอึ้งค้างกับการเปลี่ยนแปลงของคุณเอลิเซียอยู่

 

“ ……อ๊ะ ”

 

คุณเอลิเซียเค้าก็เอามือปิดปากตัวเองดั่งกับสื่อว่า “เผลอตัวไป” แล้วจึงก้าวฉับๆหลบไปหลังเวทีโดยพลัน นั่นมันคือปฏิกิริยาแบบเดียวกับในตอนที่เค้าเผลอหลุดปากพูดถึงยูนีคสกิลของผู้กล้าออกมาเลย ทำเอาผมทราบเข้าให้ซะแล้วว่าท่วงท่าการกระทำทั้งปวงเมื่อกี้มันเกิดขึ้นเพราะเผลอตัวไม่ทันระวังนี่เอง

 

“ หะ เฮ้ยเมื่อกี้ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าเค้าส่งยิ้มมาให้ฉันอ๊ะป่าววะ? แถมยังโบกมือให้ด้วยอีกตะหาก……? ”

“ ให้ฉันต่างหากโว้ยไอ้งั่งพูดบ้าอะไรของเอ็ง ”

“ ฉันต่างหากเล่า! ”

“ จะว่าไปแล้วผู้สืบสายเลือดของผู้กล้านี่ยิ้มเป็นด้วยเรอะ? ตอนพูดเปิดงานต่างๆนี่ก็หน้าตายซะ แถมตอนอยู่โรงเรียนนักผจญภัยก็แผ่ออร่า ‘อย่ามาชวนคุยนะยะ’ เต็มที่สุดกู่จนเค้าว่าไม่มีใครเคยเห็นตอนที่ยิ้มเลยซักกะคนเดียวนี่…… ”

 

ผู้คนโดยรอบแตกตื่นยกใหญ่เหมือนกับภายในอกของผมที่อึ้งค้าง……ไม่สิ ตะลึงกันมากยิ่งกว่าอีก

แต่ก็เหมือนว่าทุกคนจะไม่ได้มีคิดว่าคุณเอลิเซียเค้าส่งยิ้มมาให้ <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมเลยแม้แต่น้อย ตรงนี้ก็เลยพอโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งอยู่

ให้ว่าแล้วขนาดตัวผมเองก็ยังปักใจเชื่อไม่ลงเลย คนอื่นจะไปมีทางสังเกตได้ยังไงกันเนอะ

แต่ถ้ามีคนที่คอยเฝ้าสังเกตท่าทางของผมอยู่อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องก็คงว่าไปอย่าง……และเป็นในฉับพลันให้หลังจากที่คิดว่าคงไม่เป็นไรไว้แบบนั้น

 

“ เอ๊ะ? ห้ะ? ”

 

ที่จิเซลซึ่งอยู่เคียงข้างผม หันขวับมาจ้องเขม็งตาไม่กะพริบใส่ทางนี้ด้วยใบหน้าอึ้งๆ

พอเค้าสลับมองหน้าผมกับเวทีซ้ำหลายครั้งหยั่งกับว่าเห็นสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อเข้าแล้วปุ๊บ

 

“ ตะกี้นี้แก สบตากับผู้สืบสายเลือดผู้กล้ารึเปล่าน่ะ……? ให้ว่าแล้วเหมือน นังผู้หญิงนั่นมันจะเรียกชื่อแกออกมาด้วย…… ”

“ เอ๊ะ!? ”

“ จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลืองี่เง่าที่ว่าผู้สืบสายเลือดผู้กล้ากุมมือแกแล้วร้องไห้แงๆแพร่สะพัดอยู่พักนึงเหมือนกันนี่หว่า……เฮ้ยนี่แกอย่าบอกนะว่า ไม่ใช่แค่นักผจญภัยระดับ S อย่างเดียวแต่มีซัมติงอะไรกับผู้สืบสายเลือดผู้กล้าด้วยงั้นเรอะ……!? ”

“ มะ ไม่ๆๆ! จะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันเล่าจิเซล! ”

 

ผมสะดุ้งกับคำชี้แจงที่เฉียบคมเหลือเกินของจิเซลไปพลาง แผดเสียงปฎิเสธออกมาสุดกำลัง

เพราะจะยอมเอาเรื่องของคุณเอลิเซียที่แอบมาพบกับผมด้วยความปรารถนาดีไปบอกให้ใครอื่นรู้เข้าง่ายๆไม่ได้น่ะเอง แต่ว่า

 

“ ไม่ดิแต่ตะกี้มันโคตรชัดเจนเลย……แกก็ดูจะลุกลนผิดปกติด้วย คิดยังไงก็น่าสงสัยชัดๆว่ะ เฮ้ย ปกปิดอะไรอยู่น่ะ รีบสารภาพออกมาซะให้ว่องเลยเชียวนะเว้ย! ”

“ กะ ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง! ”

 

ไม่รู้ทำไมจิเซลถึงตามตื๊อเค้นถามไม่เลิกรา ทำเอาผมต้องหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบท่วมกายแล้วแถกลบเกลื่อนสุดฤทธิ์สุดเดชไปเลย

ก็เพราะแบบนี้แหละ——

 

[ค่ะถัดจากผู้สืบสายเลือดผู้กล้าแล้ว ต่อไปเราก็มอบพื้นที่ให้เหล่าพวกท่านผู้สืบสายเลือดปาร์ตี้ผู้กล้าได้ออกมาโชว์ตัวกันบ้างดีกว่า! เริ่มจากคนที่หนึ่ง ท่านจิโอโดร่า ดิออสเกรฟ เชิญขึ้นมาเหนือเวทีด้วยค่ะ!]

 

ในระหว่างที่พิธียังคงดำเนินต่อไปอย่างลื่นไหลไม่ขาดสาย ผมก็ได้ถูกจิเซลคอยตามไล่ถามนู่นเค้นนี่ จนเนื้อหาของคำพูดเปิดงานหลังจากนั้นแล่นหูซ้ายทะลุหูขวาแทบไม่ได้เข้ามาในหัวเลย

อะ อุตส่าห์ตื่นเช้ามาแท้ๆ!

 

 

 

 

ในระหว่างที่ครอสกับจิเซลกำลังง่วนสะสางเคลียร์เรื่องกันอยู่ที่พื้น

ณ บริเวณหลังเวทีของสเตจที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ก็มีคนที่กำลังอึ้งตะลึงงันกับการกระทำสุดพิลึกของเอลิเซียเมื่อครู่นี้อยู่อีกหนึ่งคน

ลูกสาวสืบสกุลของหอการค้ายักษ์ใหญ่ที่คอยซัพพอร์ตด้านเสบียงสินค้าให้กับผู้สืบสายเลือดปาร์ตี้ผู้กล้ามายุคต่อยุค

เผ่ามานพที่ร่างกายหยุดเติบโตอยู่ในสภาพวัยละอ่อน เด็กหญิงผู้เป็นฮาล์ฟฟุตนั่นเอง  

 

“ เอ๊ะ? เอ๊ะ? เอลิเซียยิ้มเหรอ? ให้ว่าแล้วคือส่งยิ้มไปให้ฝั่งฝูงมวลชน? เอ๊ะ? ”

 

เธอคนนั้นกำลังช็อคมากจนถึงขั้นสงสัยไม่เชื่อตาตัวเอง อึ้งค้างพูดอะไรไม่ออกไปซักระยะเลย

แต่พอได้สติกลับคืนมาแล้วปุ๊บ ก็พุ่งทะยานเร็วจี๋เข้าไปใส่เอลิเซียที่กลับมายังหลังเวทีโดยพลัน

 

“ เดี๋ยวสิ! นี่! ตะกี้นี้เอลิเซียยิ้มอยู่บนเวทีสินะ!? ”

“ …………………………ไม่ได้ยิ้ม ”

“ ไม่อะยิ้มเห็นๆเลยนะ!? ”

“ …………………………ไม่ได้ยิ้มซะหน่อย ”

 

เอลิเซียปฎิเสธด้วยใบหน้านิ่งเฉย

แต่การกลบเกลื่อนแบบส่งๆขอไปทีพรรค์นั้น กลับเป็นตัวยิ่งทำให้เด็กหญิงผู้เป็นฮาล์ฟฟุตที่มีนิสัยช่างพูดและมักจะเข้ามาตอแยชวนเอลิเซียคุยด้วยอยู่บ่อยเป็นทุนเดิมนั่นยิ่งระแคะระคาย พอตรวจเห็นการตอบสนองสุดน่าสงสัยของเอลิเซียที่ดึงดันปฎิเสธท่าเดียวแล้วเด็กหญิงก็ยิ่งเครื่องติดมากเข้าไปใหญ่

 

“ โกหก! ต้องยิ้มแน่นอนเลยล่ะ! แถมยังถึงกับโบกมือให้เลยอีกด้วย! แปลกชัดๆเลยล่ะ! เอลิเซียที่ต่อให้อยู่หน้าขุนนางยศใหญ่หรือเชื้อพระวงศ์จากประเทศไหนๆก็เอาแต่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับจนเกือบกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศอยู่ร่อมร่อหลายครั้งคนนั้นน่ะเหรอ! เอลิเซียที่นอกจากจะไม่เคยเหลียวแลผู้สืบสายเลือดปาร์ตี้ผู้กล้าแล้วไม่พอ ยังจะไม่เคยยิ้มให้กับฉันที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กนี่เลยซักครั้งเดียวคนนั้นน่ะเหรอ! จะปั้นรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนขนาดนั้นขึ้นมาได้ คิดดูยังไงมันก็แปลกชัดๆแล้วอ้ะ! ”

“ ……ก็บอกอยู่นี่ไง ว่าฉันไม่ได้ยิ้มอะไรซะหน่อย…… ”

“ แถมวันนี้ยังถูกบังคับให้ต้องพูดออกสื่อด้วยใจความประมาณ [จะล่าหาผู้ชายมาทำผัวเต็มที่เลยค่าา] อะไรแบบนั้นจนหงุดหงิดมากยิ่งกว่าปกติอีกแท้ๆอ้ะ! นี่นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ!? นี่นี่นี่นี่! ”

“ …… ”

“ จะว่าไปแล้วช่วงนี้ ก็มีตอนที่แอบแว้บหายไปแล้วกลับมาอย่างลันล้าอารมณ์ดีอยู่เหมือนกันนี่นะ? หรือว่าเกี่ยวข้องกันเหรอ? ถ้าใช่ละก็ตายแล้วยิ่งอยากรู้อยากเผือกมากเข้าไปใหญ่เลยต่อให้ยังไงก็จะต้องเค้นถามเอาให้ยอมสารภาพออกมาให้——เดี๋ยว เอลิเซีย!? เล่นคอไม่ได้นะอย่าเล่นคอ!? เดี๋ย…หายใจไม่…….ใครก็ด้าย! จะจิโอโดร่าหรือกิลเบิร์ตก็ได้ใครซักคนมาช่วยที๊! เอลิเซียจะบีบคอฉันตายแล้——อุกิ๊วว!? ”

“ ……ฟู่ว ”

 

ด้วยเหตุนี้

เพราะได้การปิดปากแบบหยาบๆของเอลิเซียร่วมไปด้วย พิธีเปิดเทศกาลวิวาทที่มีสายเลือดของตำนานมารวมตัวกันพร้อมเพรียงจึงดำเนินต่อไปได้อย่างไร้ปัญหาในเบื้องหน้า  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset