“ เห โดนไอ้พวกตัวน่ารำคาญมันหมายหัวเข้าอีกแล้วสินะนั่น ”
“ ครับ ผมผิดเองแหละครับที่สะเพร่าไม่ทันระวัง แต่ก็กลายเป็นเรื่องชวนกลุ้มเลยจนได้ ”
หลังจากที่เทศกาลวิวาทวันแรกสิ้นสุดลงไป
ผมที่กลับมายังคฤหาสน์ ก็ได้ทำการเล่าปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับพวกคุณลีโอเน่
“ แค่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกันอย่างซึ่งหน้าโดยสมบูรณ์เหมือนคราวคุณแคทลียาก็นับว่าดีมากแล้วหรอกนะครับ……แต่พวกการแก่งแย่งอำนาจเอยกู้หน้าเอย พอจะมีวิธีแก้ไขความขัดแย้งทำนองนี้ได้อย่างสันติบ้างมั้ยนะครับ ”
ในตอนนี้ ยังไม่ได้เกิดเรื่องน่ากลุ้มใจอะไรขึ้นหรอก
แต่ก็สังหรณ์ใจว่าความขัดแย้งจากการแก่งแย่งอำนาจที่สืบต่อเนื่องมาจากการประลองกับคุณแคทลียานั่นคงจะดำเนินต่อไปพักใหญ่ ผมจึงตัดสินใจลองถามความเห็นจากพวกอาจารย์ที่ดูน่าจะมีความรู้ประสบการณ์มากมายดูแน่ะ
แล้วทีนี้ คุณลูด์มิร่าผู้ทำสีหน้ารอบรู้หลักแหลมก็เอามือแตะคางพร้อมกับ
“ ฮื่ม นั่นสินะ วิธีการอย่างสันติที่สุด ก็คงเป็นการถล่มขุมกำลังของศัตรูให้วอดวายไม่มีเหลือหลอเลยแม้แต่รายเดียวกระมัง ”
“ เอ๊ะ ”
หูแว่วไปเองรึเปล่าหว่า?
ในขณะที่ผมกำลังฉงนสงสัยไม่เชื่อในหูตัวเองอยู่ คุณลีโอเน่ก็เอามือกอดอกไปพลางพูดต่อออกมา
“ เอ้อแผนถล่มให้ยับนั่นก็คงเป็นทางที่รวดเร็วดีสุดจริงๆนั่นละนะ สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้การแก่งแย่งอำนาจทวีความรุนแรงขึ้นนี่ก็เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างคิดแค้นเอาคืนกันและกันไม่เลิกลาด้วย ดังนั้นถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายนึงล่มสลายหายไปซะ ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นส่งผลให้เคลียร์เรื่องได้อย่างสันติชื่นมื่นไง ”
“ เอ๊ะ ”
ไม่พอ คุณเทโลเมียร์ยังปั้นรอยยิ้มขึ้นมาพร้อม
“ พวกแผนเชือดไก่ให้ลิงดูก็ได้ผลลัพธ์ดีเหมือนกันน้าา ทำให้ตัวชาเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้แล้วใช้พิษเล่นงานจนค่อยๆเจ็บปวดทรมานไปทีละนิดทีละหน่อยเอย ร่ายเวทฟื้นฟูอัตโนมัติใส่เอาให้ไม่มีทางตายแล้วจึงโยนเข้าไปให้ฝูงมอนสเตอร์รุมทึ้งซักสามสี่วันเอย รับรองว่าจะทำให้อีกฝั่งหมดสิ้นกำลังใจไม่กล้าคิดขัดขืนได้อีกเลยล่าา แถมยังจบเรื่องได้โดยไม่ต้องมือเปื้อนเลือดมากด้วย เหมาะกับครอสคุงที่เป็นคนใจดีอ่อนโยนสุดๆไปเลยน้าา~ ”
ชะ ใช้อ้างอิงไม่ได้เลยซักนิด!?
‘วิธีคลี่คลายปัญหาอย่างสันติ’ ที่เหล่านักผจญภัยสุดแกร่งของโลกเสนอออกมานั่นเล่นทำเอาผมถึงกับอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบสนองยังไง และเป็นในทันใดนั้นเองที่พวกอาจารย์พลันกล่าวเพิ่มเติมออกมา
“ เอ้อ ต่อให้จะใช้วิธีไหนแต่ก็จำเป็นต้องมีพลังมากพอจะซัดหน้าศัตรูให้ลอยปลิวได้ทุกตัวก่อนนั่นแหละ เป้าหมายในช่วงนี้ก็คงเป็นประมาณฝึกเสริมสร้างพลังให้ถล่มขุมกำลังขุนนางได้อยางราบคาบละมั้งนะ ”
“ อืม คงเห็นทีต้องใช้เวลานานมากพอสมควรเลยก็จริงหรอก แต่ก็น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ”
“ ถึงจะดูคลุมเครือไปนิดหน่อย แต่ก็ได้เป้าหมายถัดไปแล้วดีจังเลยน้าา~ ”
“ เอะ เอ๋… ”
นะ นี่เค้าพูดจริงจังถึงขนาดไหนกันน่ะ……
ไม่สิแต่ ในเมื่อยังไม่รู้ว่าคุณกิมเล็ตเขาจะมาไม้ไหน ฝึกเสริมสร้างพลังเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหายหรอก
เรื่องจะตกลงรับ ‘วิธีคลี่คลายปัญหาอย่างสันติ’ ที่คุณลีโอเน่พูดรึเปล่านี่ก็ว่าไปอย่าง ผมตัดสินใจให้มั่นว่าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเพ่งสมาธิไปกับการฝึกเหมือนดังตลอดมานี้เท่านั้น
——โดยที่ยังไม่ได้รับรู้เลยในตอนนี้ ว่าจะไม่มีเวลาให้ได้มามัวอ้อยอิ่งอยู่แบบนั้นซักนิด
วันถัดมาหลังจากที่เทศกาลวิวาทซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นเวลาสองวันเต็มได้จบสิ้นลงไปอย่างราบรื่นไร้ปัญหา
พวกผมกลุ่มเด็กกำพร้าที่เข้าฟังคาบเล็คเชอร์ในโรงเรียนจบเรียบร้อย ต่างก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าอยู่ภายในสนามฝึกซ้อม
สถานที่ฝึกซ้อมเฉพาะสำหรับกลุ่มเด็กกำพร้า ที่สู้ตายปกป้องเอาไว้ได้ในการประลองกับคุณแคทลียาน่ะ
แต่ตอนนี้สนามฝึกซ้อมแห่งนั้น กลับมีเหล่าผู้คนที่ไม่ใช่กลุ่มเด็กกำพร้าอยู่กันประปราย
“ โอ้ว ไอ้หนู <<ไร้อาชีพ>> ! วันนี้แหละจะพิชิตสกิลเซ็ตที่สุดจะบ้าบอของแกให้จงได้เลย! ”
“ ทางนี้ก็เช่นกันครับ จะพยายามเต็มที่เพื่อให้เอาชนะได้แม้ในสภาวะที่ถูกรู้ไพ่ในมือหมดแล้วครับ ”
การฝึกซ้อมต่อสู้จริงในวันนี้ จะมีเหล่านักผจญภัยจากภายนอกจำนวนนึงซึ่งนำโดยคุณดวอร์ฟที่ได้รู้จักกันในเทศกาลวิวาทมาเข้าร่วมด้วย จิเซลใช้ประโยชน์จากการสร้างเส้นสายที่ถือเป็นจุดขายของเทศกาลวิวาทจนถึงขีดสุด แล้วจัดขึ้นมาโดยหวังจะขยายขอบเขตของการฝึกซ้อมด้วยตนเองให้หลากหลายขึ้นน่ะ
ได้ต่อสู้กับพวกคุณดวอร์ฟอีกครั้งแบบนี้เรียกได้ว่าเข้าทางเลย วันนี้ผมตั้งตารอถึงเวลาที่จะได้ฝึกซ้อมด้วยตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั่งฟังเล็คเชอร์เลยเชียวล่ะ
เพราะแบบนั้นเอง พวกผมจึงกำลังเริ่มต้นเตรียมการให้พร้อมจัดการประลองฝีมือได้ในทันทีหรอกนะ——
“ จิเซล ช่วยมานี่เดี๋ยวสิ ”
แต่แล้ว เอรินที่เป็น <<เรนเจอร์>> ก็วิ่งมาจากฝั่งสถานกำพร้าด้วยท่าทางดูสับสน
“ อ๋า? มีอะไรวะเอริน ให้ว่าแล้วไหนล่ะอุปกรณ์สำหรับใช้ประลองฝีมือน่ะ? ”
“ คือว่าเรื่องนั้น……เอาเป็นว่ารีบมาเถอะ ”
เอรินรบเร้าจิเซลให้มุ่งหน้าไปทางฝั่งสถานกำพร้า
“ ? มีอะไรกันนะ ”
เนื่องจากดูมีท่าทีแปลกๆยังไงชอบกล ผมจึงวิ่งตามเอรินมาด้วยกันกับทุกคน จนมาโผล่ที่ห้องเก็บของใช้ร่วมกันของกลุ่มเด็กกำพร้า
เป็นห้องเก็บของธรรมดาๆที่มีไว้เพื่อเก็บรักษาโพชั่นและอาหารพกพา
แต่ในตอนนี้ห้องเก็บของที่เห็นจนชินตานั่นกลับ——อยู่ในสภาพที่เละเทะยับเยินจนทนดูไม่ได้เลย
“ อะไรกันวะเนี่ย……!? ”
จิเซลจะแผดเสียงลั่นออกมาก็ช่วยไม่ได้
เพราะสภาพภายในห้องเก็บของใช้ร่วมกันนั้นถูกรื้อค้นไปทั่ว แถมไอเท็มที่ซื้อมาเก็บตุนเอาไว้ก็ยังหายไปแทบจะทั้งหมดเลยด้วยอีกต่างหาก
“ มีขโมยแอบเข้ามาเรอะ……? ”
“ เอ้ยแต่มันจะลำบากถ่อมาปล้นที่แบบนี้จริงๆเรอะ? เป็นห้องเก็บของในสถานกำพร้าที่ไม่มีของมีค่าอะไรซักอย่างเดียวนะเว้ย ”
เกิดเป็นเสียงอย่างสับสนดังขึ้นมาจากกลุ่มเด็กกำพร้าที่ได้เห็นสภาพห้องเก็บของ
แต่ท่ามกลางระหว่างนั้น……ก็มีผมคนนึงที่กำลังหลั่งเหงื่อน่าขยะแขยงออกมาท่วมตัวไปหมด
“ จิเซล……นี่มันหรือว่า ”
“ ไม่หรอกเว้ย……ไอ้เจ้าขุนนางลำดับสูงนั่นมันจ้องหมายหัวแค่แกคนเดียวเท่านั้น แล้วก็อาจจะเป็นแค่เหตุบังเอิญเฉยๆก็ได้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าได้สะเออะคิดเองเออเองไปเชียว ”
จิเซลปัดปฎิเสธคำพูดของผมที่ถูกผลักดันโดยลางสังหรณ์ไม่สู้ดี
เพราะแบบนั้น ภายหลังจากที่ทำการเก็บกวาดห้องเก็บของและไปแจ้งเรื่องความเสียหายที่กิลด์เรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เคลื่อนไปทำการสู้ประลองฝีมือกันโดยพยายามไม่คิดอะไรมากหรอกนะ……แต่ว่า เหตุผิดปกติก็ไม่ได้จบสิ้นอยู่แค่นี้แต่อย่างใดเลย
“ เฮ้ย หุ่นซ้อมสำหรับใช้ในการฝึกฝนหายไปไหนแล้ว!? ”
บางครั้งก็มีอุปกรณ์สำหรับใช้ฝึกฝนสกิลหายไป
“ ว๊าก!? หวิดไปแล้ว จู่ๆพื้นก็ถล่มเฉยเลย!? ”
บางครั้งเครื่องอำนวยความสะดวกภายในหอพักเด็กกำพร้าก็เกิดชำรุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ตั้งแต่ที่เทศกาลวิวาทจบลงเป็นต้นมา ก็เกิดเหตุการณ์แสนประหลาดขึ้นรอบตัวพวกผมต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
และในวันนี้ที่ผ่านมาได้หลายวันนับจากที่ห้องเก็บของถูกรื้อ
ความสงสัยก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความมั่นใจไปเรียบร้อยแล้ว
“ นี่มัน อะไรกันน่ะ…… ”
เมื่อเห็นสนามฝึกซ้อมของกลุ่มเด็กกำพร้าที่ถูกโปรยขยะเกลื่อนกลาดไปทั่วเป็นปริมาณมหาศาลอยู่ต่อหน้า ผมก็ทนไม่ไหวถึงกับต้องแผดเสียงแหบแห้งออกมา
แบบนี้มัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว
มีใครบางคนกำลังทำการกลั่นแกล้งรังแกพวกผมอย่างต่อเนื่องอยู่ด้วยใจประสงค์ร้าย
และคนร้ายที่คิดออกก็มีได้แค่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
อันดับ 4 ของพรรคดิออสเกรฟที่ถูกพวกผมเล่นงานจนเสียหน้า, กิมเล็ต วอลเดรีย
“ นี่ผมเป็นต้นเหตุ ทำให้ทุกคนต้องลำบากอีกแล้วเหรอ……!? ”
เพราะเลือกวิธีปฎิเสธการชักชวนผิดไป เพราะว่า <<ไร้อาชีพ>> ดันสะเออะกลับเข้ามาเรียนแล้วล่อดึงดูดคุณแคทลียาให้เข้ามาหา
แต่แล้วผมที่กำลังถูกรุมเร้าโดยความคิดเหล่านั้นจนแน่นิ่งขยับไม่ได้ก็พลันถูกจิเซลตบไหล่เข้าอย่างแรง
“ ไม่หรอก เรื่องมันประหลาดเกินกว่าจะเป็นแบบนั้น คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของแกหรอกเว้ย ”
ถึงจิเซลจะปฎิเสธคำพูดของผม แต่เธอเองก็ไม่ได้พูดว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีอะไรให้ใช้ปฎิเสธว่าการกลั่นแกล้งตลอดมานี้เป็นฝีมือของคุณกิมเล็ตได้อีกแล้ว
ผมอดรนทนไม่ไหว พุ่งกระชั้นชิดเข้าไปใส่จิเซล
“ แต่ว่านะจิเซล แบบนี้มันไม่ใช่แค่หยอกกันเล่นแล้ว! ทั้งที่การแก่งแย่งอำนาจภายในบัสเคิลเบียร์จะถูกดำเนินไปได้แค่ในรูปแบบของการแข่งขันเท่านั้นแท้ๆ……! ลงแบบนี้ก็ต้องฟ้องร้องเนื่องในข้อหาละเมิดกฎระเบียบแล้วให้ท่านอธิการบดีซาริเอล่ากับกิลด์ช่วยลงดาบจัดการ—— ”
“ ไม่ได้เว้ย อย่าผลีผลามไป ”
จิเซลกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เราไม่มีหลักฐาน ถ้าฟ้องร้องเพราะกะอีแค่โดนกลั่นแกล้งแล้วเกิดตัดสินได้ความออกมาว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีขึ้นมาละก็ นั่นแหละจะเป็นการมอบข้ออ้างให้พวกมันได้ตอบโต้เอาคืนอย่างเป็นธรรมเลยเชียวละเว้ย นั่นอาจจะเป็นเป้าหมายของพวกมันก็ได้ คราวนี้ไม่ใช่ความผิดแกจริงๆ ไม่ต้องทำเป็นโอดโอยไปหรอก ”
และแล้วจิเซลจึงพูดออกมาเป็นการทำให้ผมกับกลุ่มเด็กกำพร้าโดยรอบรู้สึกอุ่นใจ
“ จะรีบทำการต่อรองเรื่องเข้าร่วมใต้สังกัดขุมกำลังขุนนางกลุ่มอื่นให้เสร็จไวๆ เพราะงั้นช่วยอดทนกันต่ออีกหน่อยเหอะ ”
เพราะถ้าเข้าไปอยู่ใต้สังกัดของขุมกำลังหลักทั้งสามได้ พวกไอ้กิมเล็ตก็คงจะลงมือลำบากด้วยแหละนะ……จิเซลว่าเอาไว้แบบนั้น
ทว่า——
“ แต่ว่านะจิเซล การต่อรอง……ไม่เป็นไปอย่างที่คิดใช่มั้ย? ”
“ …… ”
คำพูดของผมเล่นเอาจิเซลทำหน้ามุ่ย
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่การต่อรองกับเหล่าขุนนางระดับกลางที่พยายามเข้ามาชักชวนพวกผมอย่างกระตือรือร้นมากขนาดนั้นในวันแรกของเทศกาลวิวาท กลับเป็นไปได้อย่างล่าช้าไม่คืบหน้าเลยซะที
อย่าว่าแต่ต่อรองเลย อีกฝั่งยังจะทำตัวห่างเหิน เดินทางมาพบปะพูดคุยกันน้อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปละก็ข้อเสนอเรื่องเข้าร่วมใต้สังกัดคงจะต้องหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเป็นแน่
[ไอ้เจ้าขุนนางพวกนั้น ไหงจู่ๆถึงได้……!]
จิเซลเพิ่งจะพ่นคำผรุสวาสใส่พรรคทั้งสองที่เริ่มจะเว้นระยะห่างออกจากพวกผมอย่างกะทันหันมาหมาดๆเมื่อวานนี้เอง
แต่จิเซลกลับไม่ยอมพูดถึงประเด็นตรงนั้นออกมาเลยแม้แต่นิด
“ เหอะน่า เรื่องเล่นลิ้นประชันฝีปากกับไอ้พวกขุนนางนี่ให้ฉันจัดการเองเหอะ เอาเป็นว่าจะขอกับทางโรงเรียนให้มีเรนเจอร์ระดับกลางมาคอยเฝ้ายามเอาไว้ก็แล้วกัน แกอย่าได้ผลีผลามทำอะไรไม่เข้าเรื่องเด็ดขาดเลยเชียวนะเว้ย ”
“ ……อือ ”
ความจริงจังของจิเซลที่พูดจามีเหตุผลอย่างไม่อาจแย้ง บีบให้ผมต้องยอมพยักหน้าให้อย่างไม่เต็มใจ
แต่ว่า——คิดผิดไปถนัดเลยล่ะที่ยอมถอยเอาตรงนี้
เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว มันบังเกิดขึ้นในตอนที่ผมกำลังเอ้อระเหยไม่ทำอะไรอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่เลยยังไงล่ะ
นั่นคือวันที่ตรงกับวันหยุดของโรงเรียนนักผจญภัย
ผมที่หยุดทำการฝึกวิชาแต่เนิ่นๆ ได้ออกมาทำการซื้อของภายในเมือง
ของที่ซื้อก็คือ โพชั่นกับอาวุธสำหรับใช้ซ้อม——เครื่องใช้ต่างๆที่กลุ่มเด็กกำพร้าสูญเสียไปจากการกลั่นแกล้งในตลอดระยะนี้นั่นเอง
“ ถึงจิเซลจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดของผมก็เถอะ…… ”
แต่เรื่องที่ติดใจยังไงมันก็ยังติดใจอยู่วันยังค่ำ
ดังนั้นผมที่มีเงินเก็บเหลือติดมืออยู่เยอะ จึงคิดที่จะช่วยเหลือในด้านการชดเชยสิ่งที่เสียหายไปน่ะ
“ จิเซลน่าจะหัวแข็งไม่ยอมรับเอาไว้แน่ เพราะงั้นแหละถึงต้องฉวยโอกาสในตอนนี้ที่ทุกคนกำลังไปทำเควสต์ล่าเหยื่อในป่าทิศตะวันตกเพื่อแอบขนไปยังหอพัก ถ้าเป็นกลุ่มน้องๆหรือกลุ่มที่เฝ้ารออยู่ที่หอละก็ต้องช่วยรับเอาไว้อย่างไม่มีติดใจแน่ๆล่ะ ”
ดูจากเวลาแล้ว พวกจิเซลน่าจะใกล้กลับมากันแล้วละมั้ง
ผมย้อนดูกระดาษรายการที่ต้องซื้ออีกครั้งเพื่อเช็คว่าไม่มีอะไรตกหล่นไปพลาง วิ่งทะยานไปตามถนนอันเซ็งแซ่ของบัสเคิลเบียร์
ไม่ลืมจะซื้อขนมที่จิเซลน่าจะชอบติดมาด้วย ถ้าใช้ช่วยผ่อนบรรยากาศอึมครึมระหว่างเราในช่วงนี้ได้ซักหน่อยก็คงดีสินะ……คิดเรื่อยเปื่อยแบบนั้นไปพลาง
——แต่มันเป็นในฉับพลันนั้นเอง
ที่หูของผมซึ่งกำลังมุ่งไปยังสถานกำพร้า พลันได้ยินเสียงเอะอะอย่างประหลาดขึ้นมา
“ เฮ้ยพวกเธอไหวกันรึเปล่าน่ะ!? เกิดอะไรขึ้น!? ”
“ จะไปเรียก <<พรีส>> จากโบสถ์มาให้เดี๋ยวนี้แหละ ช่วยอดทนเอาไว้เดี๋ยวนะ! ”
นั่นคือเหตุการณ์ในตอนที่ผมกำลังวิ่งผ่านประตูทิศตะวันตกของเมือง
เกิดเป็นกลุ่มคนมุงอยู่รอบบริเวณประตูเมืองขนาดใหญ่ ห่อหุ้มสถานที่เอาไว้ด้วยบรรยากาศน่ากลัว
“ มีอะไรกันน่ะ……? ”
รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ก็ประตูทิศตะวันตกนี่มัน คือทิศทางที่พวกจิเซลมุ่งหน้าไปทำเควสต์กันเลยนี่
“ ขอโทษครับ ขอทางให้ผมผ่านหน่อยครับ! ”
รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจนเผลอแหวกฝ่าดงผู้คนเข้าไป
และภาพที่แล่นฉายเข้ามาภายในดวงตานั่น ก็ทำเอาหัวผมกลายเป็นสีขาวโพลนไปชั่วขณะเลย
ที่อยู่ตรงนั้นก็คือ ทุกคนในกลุ่มเด็กกำพร้าซึ่งกำลังนั่งนิ่งอยู่กับที่ในสภาพสะบักสะบอมไปทั่วทั้งตัว
“ ทุกคนเป็นอะไรไปน่ะ!? เกิดอะไรขึ้นเหรอ!? ”
เหวี่ยงดาบจำลองที่แบกอยู่ทิ้งไป ผมฉุดเอาโพชั่นที่เพิ่งซื้อหมาดๆออกมาไปพลางวิ่งตรงแหน่วเข้าไปหาทุกคน
เท่านั้นแหละทุกคนพลันร้อง “อ๊ะ ครอส!” พร้อมสังเกตเห็นผมกันได้ในทันที
“ คือว่า……พอกำลังเดินในป่าทิศตะวันตกอยู่ดีๆ พวกเราก็ถูกรุมล้อมเล่นงานโดยฝูงมอนสเตอร์เข้าอย่างกะทันหันเลยน่ะ! ”
“ เอ๊ะ!? ”
ที่ย้อนกลับเข้ามา ก็คือความทรงจำในตอนที่ถูก ริสก์ 4 เล่นงานในป่าทิศตะวันตก
เกิดอุบัติเหตุแบบนั้นขึ้นอีกแล้วงั้นเหรอ ทุกคนปลอดภัยกันครบถ้วนรึเปล่า……และตัวผมที่เป็นห่วงหน้าซีดอยู่แบบนั้น ก็พลันได้รับทราบถึงความจริงอันปักใจเชื่อไม่ลงเรื่องถัดมา
“ ไม่ใช่! ไม่ได้ถูกมอนสเตอร์รุมล้อมเล่นงานเฉยๆ! ”
เอรินซึ่งเป็น <<เรนเจอร์>> ที่มักจะพูดจาสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอคนนั้น เค้าแผดเสียงคำรามลั่นโดยที่มีกระทั่งน้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตา
“ ฉันเห็นเข้าล่ะ คนสนิทของกิมเล็ต วอลเดรีย——นังผู้หญิงผมดำนั่นมันเป็นคนพามอนสเตอร์มา แถมยังเข้าขัดขวางปิดทางหนีทีไล่ของพวกเราด้วย……! ”
“ ห้ะ……!? ”
อุกอาจเกินเหตุมากไปจนทำให้พูดอะไรไม่ออก
ฉงนสงสัยขึ้นมาอย่างจริงจังเลยว่าต่อให้ยังไงแต่ก็คงตาฝาดไปเองรึเปล่า
แต่คงเป็นเพราะกลุ่มเด็กกำพร้าส่วนใหญ่ต่างก็มีโอกาสได้เห็นคนสนิทผมดำเหมือนกันละมั้ง
ทุกคนจึงดื่มโพชั่นที่ได้รับจากผมไปพลาง แผดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ ไอ้เจ้าขุนนางสารเลว ทำกันถึงขั้นนี้เลยเชียวเรอะ! จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด! ”
“ แต่คราวนี้ก็ไม่มีหลักฐานให้ใช้จับมันแบบคาหนังคาเขาได้อีกเหมือนกัน แค่จะหนีเอาตัวรอดก็แทบเต็มกลืนแล้ว……โธ่เว้ย! มันคำนวณเอาไว้ไปถึงขนาดนั้นเลยงั้นเรอะ!? ”
“ ระยำบัดซบ! เพราะมีเงินเก็บที่ได้จากการแข่งปราบปรามก็เลยน่าจะพออยู่ได้ไปอีกซักพักหรอก แต่ถ้าถูกกลั่นแกล้งต่อเนื่องไม่ขาดสายแบบนี้ละก็ขนาดจะหาเงินประทังชีพก็ยังจะไม่มีปัญญาเลยนะเว้ย!? ”
“ ที่สำคัญกว่านั้นคือจิเซลต่างหาก! นังผู้หญิงคนสนิทผมดำนั่น มันริอาจโจมตีทีเผลอใส่จิเซลที่เอาตัวต้านไว้เพื่อถ่วงเวลาให้พวกเราหลบหนีเข้าซะได้! ถ้าไม่งั้นละก็จิเซลคงไม่มีทางพลาดท่าเสียทีให้กับกะอีแค่ ริสก์ 3 หรอก……! ”
“ ฮึก!? จิเซลน่ะนะ!? ”
คำพูดของกลุ่มเด็กกำพร้าที่เอาหมัดทุบพื้นอย่างเจ็บใจนั่น ทำให้ผมสาดส่องสายตามองไปรอบๆอย่างแตกตื่น
แล้วจึงพบตัวจิเซลได้ในทันทีพร้อมวิ่งตรงดิ่งเข้าไปหาสุดกำลัง
จิเซลที่มีบาดแผลท่วมไปทั้งตัวกำลังนั่งนิ่งอยู่กับที่ เอาผ้าแผ่นใหญ่กดรอบแขนเอาไว้
“ จิเซล! เห็นเขาบอกว่าบาดเจ็บนี่นา ไม่เป็นอะไรนะ!? ”
“ อ๋า? ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเว้ยกะอีแค่นั้น! ที่สำคัญ……! ”
จิเซลส่งสายตาอย่างรำคาญมาใส่ผมที่กังวลเป็นห่วง ก่อนที่จะแผดเสียงตะโกนลั่นด้วยใบหน้าที่ย้อมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ ไอ้บัดซบกิมเล็ต! ต่อให้ครอสจะเข้าร่วมใต้สังกัดหรือไม่เข้า มันก็คิดจะเอาคืนใส่พวกเราทุกคนแบบนี้อยู่ดีงั้นสินะ!? นึกว่ามันคงไม่น่ากลั่นแกล้งหนักขนาดละเมิดกฎระเบียบร้ายแรงระดับที่มีโทษถึงขั้นเนรเทศออกจากเมืองแบบนี้ซะอีก……ที่ไหนได้ไอ้เจ้าขุนนางสติแตกเอ๊ย! ”
จิเซลเตะขวดโพชั่นที่หมดเกลี้ยงแล้วให้กลิ้งกระเด็นไปราวกับเป็นการระบายความพิโรธ
“ บัดซบ อ่านเกมผิดเข้าเต็มเปาเลย! ไอ้พวกขุนนางจากพรรคอื่นมันคาดเดาได้ว่าจะต้อง เป็นแบบนี้ ก็เลยหยุดทำการชักชวนพวกเราไปอย่างกะทันหันนี่เอง! เพราะไอ้พวกห่ารากนั่นในใจลึกๆแล้วก็คงไม่สบอารมณ์กับการต้องเห็นสามัญชนได้ดิบได้ดีเหมือนกันนั่นแหละ! มันคิดกันว่าถ้ากิมเล็ตจะอุตส่าห์ลงทุนยอมเสี่ยงเพื่อขยี้พวกเราทิ้งแล้วแบบนั้นก็ไม่เลวเลยเหมือนกันไงล่ะ! ”
“ จิ จิเซล รู้แล้วล่ะเพราะงั้นช่วยสงบอารมณ์ก่อนเถอะนะ ถึงจะไม่ได้เป็นแผลฉกรรจ์อะไรแต่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ? ผมมีโพชั่นให้ แล้วก็ถึงจะยัง Lv ต่ำอยู่แต่ก็ใช้เวทฟื้นฟูช่วยให้ได้นะ ”
รู้สึกอุ่นใจที่เห็นจิเซลแข็งแรงดีกว่าที่คิด แล้วจึงยื่นมือเข้าไปหมายจะทำการรักษาให้กับเธอที่ก็ยังคงมีบาดแผลท่วมตัวอยู่ดี
แต่ไหงจิเซลถึงตวาด “ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงวะ!” แล้วเตะผมกระเด็นออกห่างไปพลาง แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดออกมามากยิ่งขึ้น
“ มากวนประสาทกันได้! แต่ว่าทำไมกันวะ……! ไอ้บัดซบกิมเล็ต ไหงถึงได้เมินครอสที่จ้องหมายหัวมากขนาดนั้นซะสนิท แล้วหันมาตามตื๊อเล่นงานเฉพาะแค่พวกเรากลุ่มเด็กกำพร้าซะงั้นล่ะ……!? ทั้งที่น่าจะจ้องอยากขยี้ครอสมากที่สุดแท้ๆคิดบ้าอะไรของมันอยู่กันแน่……อึ๊ก!? ”
“ จิเซล!? ”
เป็นในตอนนั้นเอง
ที่จิเซลซึ่งแผดเสียงกระโชกโฮกฮากราวกับเป็นการจัดเรียงสถานการณ์พลันทำหน้าเบี้ยวขึ้นมา
บิดงอตัวดั่งกับว่าความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นไหลไปทั่วร่าง ผ้าผืนใหญ่ที่หุ้มปกปิดแขนอันเรียวเล็กนั่นเอาไว้ร่วงหลุดลงมา และในพริบตาให้หลัง——
“ ……ฮึก!? ”
บาดแผลบนแขนที่จิเซลน่าจะพยายามปกปิดอย่างสุดชีวิตมาตลอดจนตอนนี้ ก็ได้ทะยานฉายเข้ามาภายในสายตาของผม
ต่อให้จะดูยังไง แต่นั่นก็ช่างห่างไกลกับ ‘แผลที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่’ ซะเหลือเกิน
เนื้อสีแดงสดที่ถูกข่วนฉีกขาดโดยกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์
ปากแผลใหญ่เบ้อเริ่มที่คงจะถูกลนด้วยไฟเพื่อหยุดเลือด กระดูกที่แพลมโผล่ออกมาให้เห็น
บาดแผลฉกรรจ์ระดับที่อย่าว่าแต่โพชั่นระดับต่ำเลย ต่อให้ใช้เวทฟื้นฟูระดับต่ำ Lv สูงสุดแต่ก็ยังไม่มีทางจะรักษาได้ทันเวลา
แผลสาหัสระดับที่หากไม่ได้ทำการหยุดเลือดด้วยเวทเปลวเพลิงละก็ อาจจะส่งผลกระทบถึงชีวิตได้เลย
แผลสุดน่ากลัว ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ปักใจเชื่อไม่ลงเลยว่าจิเซลจะสามารถฝืนกลั้นความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้ผมรับรู้ถึงอาการบาดเจ็บได้
“ จิ เซล……? แผลนั่น……? ”
“ ……ขึก! ชิ ก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรไงวะ! แกน่ะเลิกทำเป็นรู้สึกผิดไปหมดซะทุกเรื่องได้แล้วเว้ยมันน่าหงุดหงิดฉิบหายเลย! ”
ถึงจิเซลจะตวาดออกมาอย่างแตกตื่นตะลีตะลาน——แต่เสียงนั่นก็ไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย
สัมผัสราวกับว่าเสียงและภาพทิวทัศน์โดยรอบกำลังแล่นห่างออกไป
ที่ลอยเข้าหัวผมมาในระหว่างนั้น ก็คือฝันร้ายจากเมื่อหลายปีก่อน
ภาพติดค้างภายในใจสุดแสนเลวร้าย เมื่อคราวหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดถูกบุกรุกโจมตีโดยมอนสเตอร์ และต้องพบเห็นพวกผู้ใหญ่ค่อยๆล้มฟุบหมดสภาพกันไปทีละคนทีละคน
ในพริบตาที่ภาพของพวกผู้ใหญ่ที่ถูกมอนสเตอร์เล่นงานในตอนนั้นมันซ้อนทับเข้ากับร่างของพวกจิเซล
อะไรบางอย่างในตัวผม ก็ได้ส่งเสียงปริขาดเหมือนกับเหลืออด
ร่างกายเริ่มต้นขยับออกไปแบบเกือบๆโดยพลการ
“ จิเซล ผมให้เจ้านี่นะ ช่วยดื่มทีเถอะ ”
หยิบเอาโพชั่นออกมาจากภายในกระเป๋า
ขวดรุ่นพิเศษที่ภายหลังจากเหตุการณ์ ริสก์ 4 พวกอาจารย์ก็ได้สั่งกำชับให้ผมพกไว้ติดตัวเผื่อถึงคราวจำเป็นน่ะ
แต่ถ้าอธิบายให้ฟังแบบนั้นแล้ว จิเซลก็คงจะไม่ยอมรับเอาไว้เป็นแน่ ดังนั้นผมจึงฉวยจังหวะทีเผลอยัดเข้าปากเค้าไปทั้งอย่างนั้นเลย
“ บุ๊!? เดี๋ยว!? จู่ๆทำบ้าอะไร——เอ้ย อ๊าา!? แก เฮ้ยนี่มัน โพชั่นระดับสูงสุดเลยไม่ใช่เรอะ!? ไหงถึงได้มีของแบบนี้——อะ เอ๊ะ ”
และแล้ว จิเซลซึ่งกระชากขวดโพชั่นออกจากปากในภายหลังจากที่กลืนเข้าไปได้ราวครึ่งขวด ก็แหงนขึ้นมามองหน้าของผมแล้วนิ่งค้างไป
แต่ผมก็ไม่มีความเยือกเย็นหลงเหลือมากพอจะสนใจ
หลังจากตรวจสอบว่าแผลของจิเซลเริ่มจะสมานขึ้นมาแล้ว ผมก็วิ่งทะยานออกไปสุดกำลังโดยพลัน
ในภายหลังจากที่ครอสวิ่งแล่นจากไป
จิเซลที่เหม่อลอยอยู่ด้วยแก้มแดงเรื่อเป็นเวลาซักระยะ ก็พลันแผดเสียงอย่างแตกตื่นดั่งกับว่าเพิ่งจะหลุดจากภวังค์
“ ——ห้ะ!? หะ เฮ้ยพวกแก! รีบหยุดไอ้บ้านั่นเอาไว้เร็วเข้า! ”
“ อ๋า!? ตะกี้ยังเห็นเหม่อลอยสติหลุดอยู่เลยแท้ๆแต่จู่ๆเป็นอะไรขึ้นมาอีกเล่าจิเซล! ถ้าบาดเจ็บหนักงั้นก็อยู่ให้มันนิ่งๆ——อะ อ้าว!? แผลเริ่มจะสมานแล้ว——!? ”
“ เรื่องฉันน่ะช่างแม่งไปเหอะเอาเป็นว่ารีบไปลากตัวครอสกลับมาเร็วเข้า! เดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องหรอกนะเว้ย! ”
จิเซลตะโกนกร้าวออกมาด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ ไอ้โคตรบ้าห้าร้อยจำพวกนั่น……มันทำหน้าแบบเดียวกับในตอนที่พุ่งเข้าใส่ ริสก์ 4 เด๊ะๆเลย! ”
“ ……ฮึก! ”
ทั่วทั้งร่างร้อนรุ่มไปหมด
แต่ความเร่าร้อนนั่นมันต่างสุดขั้วไปจากความเร่าร้อนชวนให้รู้สึกดีที่ตื่นตัวขึ้นมาในเทศกาลวิวาท
วิ่งทะยานสุดกำลังไปตามเมืองบัสเคิลเบียร์ โดยที่ปล่อยความรู้สึกอันร้อนแรงดั่งกับจะแผดเผาร่างกายให้ผลักหลังดันตัวพุ่งไปอยู่ทั้งอย่างนั้น
ที่เปี่ยมล้นเต็มไปทั่วหัวซึ่งเย็นเฉียบสุดขั้วตรงข้ามกับร่างกาย ก็คือการกลั่นแกล้งทั้งหมดที่โดนตลอดมา
(จริงอย่างที่จิเซลพูด ในเมื่อไม่มีหลักฐานยืนยันว่าพวกกิมเล็ตเป็นคนลงมือ งั้นพวกผมก็จะไม่มีความชอบธรรมที่จะขอพึ่งพาเบื้องบน แล้วก็ไม่มีข้ออ้างเพื่อที่จะฟ้องร้องกับทางกิลด์ได้ด้วย)
กระนั้นแล้วต่อให้ไปก้มหัวกราบขอร้องให้ช่วยเลิกกลั่นแกล้งอย่างซื่อบื้อเถรตรงแบบนั้น ก็ไม่มีทางจะเป็นการคลี่คลายสถานการณ์อย่างสงบลงตัวได้หรอก
อีกฝั่งคือคนที่ถึงกับพามอนสเตอร์เข้ามาใส่เลยเชียวนะ
ต่อให้ยอมเข้าร่วมใต้สังกัดอย่างว่าง่ายตามที่อีกฝั่งเรียกร้องเป็นฉากหน้า แต่ก็รับรองเลยว่าต้องเจอชะตากรรมที่หาดีไม่ได้แน่นอน หากอีกฝั่งมีเป้าหมายคือการเอาคืนตั้งแต่แรกเริ่ม งั้นเข้าร่วมใต้สังกัดไปก็รังแต่จะทำให้มีโอกาสที่จะถูกบดขยี้ทารุณอย่างชอบธรรมเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสถานการณ์จะต้องเลวร้ายมากไปยิ่งกว่าในตอนนี้ซะอีก
ถ้าอย่างนั้น ก็มีวิธีการที่จะบังคับให้หยุดการกลั่นแกล้งนี้……หยุดการเอาคืนต่อพวกผมนี้ให้ได้อย่างแน่นอนอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“ ……ที่นี่เหรอ ”
สถานที่ที่ผมซึ่งวิ่งสุดแรงเกิดต่อเนื่องมุ่งหน้ามาจนถึง ก็คือห้องว่างสุดหรูหราที่อยู่ใกล้กับโรงอาหารของโรงเรียนนักผจญภัย
ห้องนั่งเล่นที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกเหล่าผู้คนชนชั้นขุนนางใช้งานเพื่อสานสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับพรรคขุมกำลังอื่น สถานที่พูดคุยสนทนาที่ถูกต่อเติมเพิ่มขึ้นมาด้วยงบของขุนนาง ที่จ้องฉวยโอกาสจากการที่ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าเข้ามาศึกษาภายในโรงเรียน
ต่างโลกที่สามัญชนอย่างพวกผมยากยิ่งจะเข้าไปใกล้ได้
แต่ผมก็เมินเฉยแม้กระทั่งบรรยากาศผิดที่ผิดทางแบบนั้น บุกถล่มหน้าตั้งเข้าไปยังทางเข้าของห้องนั่งเล่นในทันใด
“ อื๋อ? เฮ้ยเดี๋ยวก่อนสิ มีเพียงผู้ได้รับอนุญาตก่อนล่วงหน้าเท่านั้นจึงจะผ่านเข้าไป——เฮ้ย!? เดี๋ยว หยุด—— ”
“ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ! ”
ใช้สกิลหลบหลีกเพราะเห็นว่ากลุ่มผู้คนที่เหมือนจะเป็นยามรักษาความปลอดภัยทำท่าจะเข้ามาหยุด ผมฝืนสลัดตัวพวกเขาหลุดแล้วบุกลึกเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“ ฮึก!? อะไรน่ะ!? ”
เท่านั้นแหละ ผมที่วิ่งทะยานเข้ามาด้วยสารรูปที่ดูซ่อมซ่อนั้นทำเอาทั่วทั้งห้องนั่งเล่นถึงกับแตกตื่น
แต่ในบรรดานั้น——ก็มีคนที่ยังคงรักษาท่วงท่ากิริยาอันงามสง่าดั่งกับว่าคาดการณ์ถึงการอาละวาดของสามัญชนได้ไว้แล้ว
ชายหนุ่มรูปงามผู้กำลังจิบชาอยู่ตรงบริเวณใกล้กึ่งกลางของห้องนั่งเล่น
กิมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง
ผมวิ่งปรี่ตรงไปยังทางนั้นด้วยความเร็วจี๋ระดับที่สลัดเหล่ายามรักษาความปลอดภัยหลุดได้หมด
เท่านั้นแหละ ผู้ที่กระโจนเข้ามาขวางทางเอาไว้ดั่งกับเป็นเรื่องสมควร ก็คือเหล่าคนสนิทของกิมเล็ตที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาด
“ หยุดนะสามัญชน! คิดจะทำอะไรของแกกัน! ”
“ ถอยไปซะ! ”
“ ห้ะ——!? ”
ไม่มีเวลามามัวสู้อยู่กับเจ้าพวกแบบนี้หรอก
ใช้ <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> เพื่อหลบคนสนิทที่ชักดาบเข้ามาจะหยุดผม แล้วจึงอาศัยท่วงท่าของ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ซัดเขาลอยปลิวกระเด็นไปโดยไม่ต้องใช้อาวุธ
และเมื่อผมมายืนจ่ออยู่ต่อหน้า กิมเล็ตก็แหงนมองขึ้นมาได้ซะที
“ โอ๊ะโอ เกิดอะไรขึ้นกันนะ ดูท่าจะอารมณ์ร้อนไร้ซึ่งความเยือกเย็นพอสมควรเลยนี่นา ที่เข้ามาหาฉันนี่ก็หมายความว่า มีกะใจอยากจะเข้าร่วมภายใต้สังกัดขึ้นมาแล้วใช่ไหม? ”
“ กิมเล็ต วอลเดรีย ”
กิมเล็ตแย้มยิ้มด้วยใบหน้าเหมือนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
และราวกับเป็นการขัดวาจาคำพูดสุดจะไร้สาระของขุนนางลำดับสูงคนนั้น——ผมพลันกล่าวประเด็นเรื่องออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ ผมขอท้า ให้คุณมาทำการประลองกับผมแบบตัวต่อตัว ”
“ ……โฮ่? ”
“ ถ้าผมแพ้ละก็จะยอมทำตามที่พูดทุกอย่างเลย กลับกันแล้วถ้าผมชนะขึ้นมา……คุณก็จงมาอยู่ภายใต้สังกัดของผมซะ! ”
ร่วมกับความโกรธเกรี้ยวที่แทบทำเอาร่างกายลุกเป็นไฟ
ตัวผมที่จับจ้องมองขุนนางผู้แสนโฉดชั่ว ก็ได้กระแทกกระทั้นอัดสารท้ารบนั่นออกไป