คำพูดประกาศศึกของผม ทำให้ทั่วทั้งห้องนั่งเล่นถูกปกคลุมไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่
“ ท้าประลอง!? ไอ้เด็กนั่นคิดอะไรของมันอยู่น่ะ!? ”
“ สามัญชนออกปากท้าขุนนางลำดับสูง……ท้าบุตรคนโตแห่งตระกูลดยุคให้มาทำการประลองโดยต้องเข้าร่วมใต้สังกัดเป็นเดิมพันเนี่ยนะจะบ้าบอไร้สามัญสำนึกก็ให้มันมีขอบเขตซะบ้างสิวะ! ”
“ ไอ้เจ้าสามัญชนนั่น มันได้รู้เรื่องบ้างรึเปล่าน่ะว่าตัวเองทำอะไรลงไป!? ”
ที่เปี่ยมล้นไปทั่วห้องนั่งเล่นซึ่งเกิดเป็นความอลหม่านดังอึงคนึง ก็คือเสียงตำหนิการกระทำอุกอาจอันยากจะเชื่อของสามัญชน
ผมเองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าตนกำลังเรียกร้องในสิ่งที่บ้าบอสุดๆไปเลย
แต่ถึงแม้จะดูไร้สามัญสำนึกขนาดไหน ฝั่งผมก็เหลือแค่ทางนี้เพียงทางเดียวเท่านั้นแล้ว
ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ต่อให้พูด ‘ถ้าผมชนะก็จงเลิกทำการกลั่นแกล้งซะ’ แบบนั้นไปก็คงมีแต่จะถูกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่เท่านั้น
ดังนั้นจึงต้องอาศัยหลักการที่ว่าผลลัพธ์ของการประลองจะถือเป็นที่สุด เพื่อบีบให้กิมเล็ตลงมาอยู่ภายในสังกัดของผมสถานเดียว
เพื่อมอบคำสั่งในฐานะลูกพี่ให้แก่กิมเล็ตและเหล่าข้ารับใช้ของเขา คอยจำกัดการเคลื่อนไหวเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้สามารถเข้ามากลั่นแกล้งได้อีก
“ ……คึคึ ฉุกคิดถึงข้อสรุปเช่นนั้นได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้มากเลยนี่นา น่าเสียดายจริง ความกล้าบ้าบิ่นที่ช่างเฉียบแหลมนี่ หากยอมมาเป็นข้ารับใช้ของฉันดีๆแต่แรกก็คงจะกลายเป็นหมากที่ยอดเยี่ยมได้ไปแล้วแท้ๆ ”
กิมเล็ตที่รับคำป่าวประกาศศึกของผมอย่างซึ่งหน้าพลันส่งเสียงพึมพำอะไรบางอย่างพลางยกมุมปากขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม
แล้วจากนั้นจึงวางถ้วยชาลงอย่างเงียบๆ หันเข้าหาผมด้วยเสียงที่ดังจนไปจนถึงหูของผู้คนโดยรอบแล้วในคราวนี้
“ ท้าฉันผู้นี้ประลองโดยมีการเข้าร่วมใต้สังกัดเป็นเดิมพันหรือ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อความกล้าหาญนั้นแล้วจะรับเอาไว้ก็ได้——อยากพูดเช่นนั้นอยู่หรอกนะ แต่น่าเศร้าตรงที่เงื่อนไขที่เธอยกเสนอมานั่นมันออกจะไม่สมดุลมากเกินไป ”
กิมเล็ตยักไหล่ด้วยท่าทางโอเวอร์เกินจริง
“ ออกปากว่าถ้าแพ้แล้วจะยอมทำตามที่พูดทุกอย่างสินะ……แต่เธอคิดการใหญ่ถึงขั้นจะดึงตัวฉันซึ่งเป็นบุตรคนโตแห่งตระกูลดยุคออกจากขุมกำลังหลักทั้งสามแล้วให้มาอยู่ภายในสังกัดเลย หากไม่บังคับให้ต้องสู้ด้วยเงื่อนไขที่โหดร้ายมากยิ่งกว่าเดิมพันด้วยชีวิตละก็ทางฝั่งฉันก็เสียหน้าหมดกันพอดี รู้เช่นนี้แล้วก็ยังจะกล้าออกปากว่า ‘จะยอมทำตามที่พูดทุกอย่าง’ ได้อยู่อีกงั้นหรือ? ”
“ มันแน่อยู่แล้ว! ”
ตอบกลับคำพูดที่ราวกับข่มขู่ของกิมเล็ตไปในทันทีไม่มีลังเล
“ ถ้าจบแค่ผมคนเดียวละก็ ต่อให้จะเป็นอะไรก็เชิญสั่งมาได้เลย! ”
“ โฮ่ พูดออกมาแล้วนะ? กลางสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของขุนนางแห่งนี้น่ะ ”
กิมเล็ตฉีกยิ้มให้กว้างมากยิ่งขึ้น
จับจ้องมองมายังผมด้วยแววตาเฉียบคม แล้วจึงป่าวประกาศดั่งกับพูดให้เหล่าขุนนางที่อยู่โดยรอบรับฟัง
“ ถ้าอย่างนั้นทางนี้ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ ขอรับคำท้าประลองนั่นเอาไว้อย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกัน ”
แซ่ด——!
พริบตานั้น เหล่าขุนนางที่คอยเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ก็พลันส่งเสียงฮือฮากันขึ้นมาในคราเดียว
ในขณะเดียวกับที่แผดเสียง ‘ไม่อยากจะเชื่อเลย’ ต่อการเกิดขึ้นของการประลองที่บ้าสุดจะบรรยาย พวกเค้าก็ครึกครื้นตื่นเต้นดั่งกับว่าจะได้รับชมการแสดงอันน่าสนใจไปด้วย
กิมเล็ตหันมองดูท่าทางดังกล่าวไปพลางพูดต่อออกมา
“ ถ้าอย่างนั้นแล้ว การประลองนี่ก็ไว้ค่อยจัดกันเมื่อทางคณะกรรมการเตรียมอะไรต่อมิอะไรพร้อมครบถ้วนแล้วกัน น่าจะซักประมาณราวสิบวันให้หลังได้กระมัง คาดว่าเงื่อนไขและรูปแบบการประลองอย่างเป็นทางการคงน่าจะถูกประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งในวันหลัง ทว่าเนื้อหาโดยหลักแล้วก็เป็นอย่างที่ว่ากันไปเมื่อครู่ ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ก็จะเข้าข่ายถือว่าเป็นพยาน ……แต่คิดดีแล้วจริงๆหรือ? ที่ท้าประลองกับฉันผู้นี้น่ะ ”
“ เอ๊ะ? ”
คำพูดอันไม่อาจเข้าใจของกิมเล็ตบีบให้ผมเปล่งเสียงเบาๆออกมา และเป็นในพริบตาให้หลังนั่นเอง
มีอะไรร้อนๆไหลลงมาตามคอ
พอรับรู้แบบนั้นแล้วมองต่ำลงมา——ก็พบว่ามีปลายดาบอันเรียวเล็ก ถูกจ่อติดกับคอผมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ ——ขึก!? ”
ไม่อาจเข้าใจอย่างจริงจังเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ในหลายวินาทีให้หลัง ผมที่เข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมดได้ซะทีก็พลันหลั่งเหงื่อออกมาท่วมไปทั่วทั้งร่าง
อย่าว่าแต่มองไม่ทันเลย……ถูกฟันเข้าใส่ด้วยความเร็วระดับที่ไม่ทันสังเกตว่ามีเลือดไหลออกมาเลยเหรอ!?
“ อย่างที่คิดไว้ เข้ามาท้าทายโดยที่ไม่ได้รู้ถึงความสามารถของฉันจริงด้วยสินะ ”
กิมเล็ตที่ชักดาบออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้……ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้โดยแท้จริงเลยนั่นเอาปลายแหลมจ่อติดกับคอผมไว้ทั้งอย่างนั้น ก่อนจะแสดงให้เห็นพลังอำนาจของตนด้วยแววตาที่ดั่งกับว่าข่มเข้าใส่
“ ฉันเป็น <<นักดาบประกายแสง>> เลเวล 50—— <<คลาส>> ที่มีจุดเด่นในด้านความเร็ว ซึ่งเป็นสายประเภทเดียวกับผู้กล้าเอลิเซียคนนั้น ยังไงล่ะ คิดว่าเธอน่าจะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อยนิดเดียวหรอกนะ? ”
“ ห้ะ……!? ”
อาชีพระดับสูงที่มีจุดเด่นในด้านความเร็ว
เลเวลที่สูงกว่าร็อกลิซาร์ด วอริเออร์และคุณดาเรียสแบบเกือบเท่าตัว
และที่สำคัญที่สุดเลย ความจริงอันน่าตกตะลึงที่เขาเป็น <<คลาส>> สายประเภทเดียวกับคุณเอลิเซียคนนั้น ก็เล่นทำเอาใจผมถึงกับเต้นระรัวอย่างแตกตื่น
คมดาบที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วท่วมท้นจนไม่อาจแม้กระทั่งจะตอบสนองนั่น มันเป็นตัวยืนยันให้เห็นอย่างแจ้มแจ่งแล้วว่าข้อมูลดังกล่าวที่เปิดเผยมาไม่ใช่เรื่องโกหกเลยแต่อย่างใด
ต่อให้เริ่มโหมฝึกวิชาจากจุดที่ผมอยู่ตอนนี้ไปซักเดือนหรือสองเดือนแต่ก็ไม่น่าจะไล่ตามทันได้เลยซักนิดเดียว
ยิ่งถ้าเหลืออีกเพียงแค่สิบวันกว่าจะถึงการประลองนี่ ต่อให้คิดยังไงก็มีเวลาไม่พอชัดๆเลย
จะทั้งความสามารถที่ถือครองในตอนนี้ ทั้งพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่เกิด ทุกอย่างมันต่างชั้นเป็นคนละมิติกับผมมากเหลือเกิน——!
“ เอ้า ว่าอย่างไรล่ะ? ”
กิมเล็ตเอ่ยถาม โดยที่ยังคงเอาปลายดาบจ่อเข้าใส่ผมที่หลั่งเหงื่อเย็นเฉียบออกมาท่วมกายอยู่ทั้งอย่างนั้น
“ หากก้มหัวขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยรับเข้ามาอยู่ใต้สังกัดพร้อมเลียรองเท้าฉันในที่นี่และตอนนี้ซะ จะยอมทำเมินปล่อยผ่านการกระทำเสียมารยาทตลอดมาจนตอนนี้ให้ก็ได้ ”
โกหก
หากผมถอยเอาตรงนี้ละก็ เขาคนนี้จะต้องเข้ามาขยี้ผมทิ้งอย่างไม่เหลือซากเลยแน่นอน
กลุ่มเด็กกำพร้าก็จะถูกลูกหลงตามไป ทำให้พวกผมทุกคนต้องจมลงสู่ก้นบึ้งของความวิบัติทั้งหมดแน่
ถอยไม่ได้เด็ดขาด จะยอมถอยไม่ได้โดยเด็ดขาด
อีกอย่าง——
ถ้าก้มหัวเอาตรงนี้ ผมก็คงจะเป็นนักผจญภัยที่สามารถปกป้องผู้อื่นไม่ได้แน่
ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็คงไม่มีทางไต่ไปถึงระดับเดียวกับนักผจญภัยอย่างเช่นคุณเอลิเซียและพวกอาจารย์ได้แน่ๆ!
ดังนั้นแหละ
ต่อให้จะเป็นการต่อสู้อย่างบุ่มบ่ามมุทะลุ แต่คำพูดที่ผมสมควรจะแผดออกมาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“ กะอีแค่นั้น ใครมันจะไปยอมหนีกัน……! ”
“ ……ก็ย่อมได้ ”
ชิ้ง! กิมเล็ตเก็บดาบกลับเข้าฝัก
“ การประลองจะมีขึ้นในประมาณสิบวันให้หลัง เชิญไปฝึกฝนลับฝีมือเอาให้เต็มที่จนกว่าจะถึงตอนนั้นซะเถอะ ”
ด้วยเหตุนั้นเอง การประลองของผมกับกิมเล็ตจึงได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการต่อหน้าสายตาของพยานจำนวนมาก
ผมหันหลังให้กับเหล่าขุนนางที่พากันส่งเสียงอึกทึกอื้ออึง แล้วจึงเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น
“ อ๊ะ จิเซล!? บาดแผลไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ!? ”
ในทันทีที่ออกมาจากห้องนั่งเล่น
คงจะไล่ตามมาละมั้ง ผมที่พบเห็นจิเซลซึ่งกำลังยืนเอาตัวพิงกำแพงใกล้ๆห้องนั่งเล่นจึงวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหาเค้าในทันทีเลย
พอมองดูก็พบว่าบาดแผลบนแขนได้สมานไปเรียบร้อยแล้วหรอก แต่ก็บาดเจ็บหนักถึงขั้นนั้นเลยไง
ยังรู้สึกเจ็บหรือมีอาการแปลกๆหลงเหลืออยู่รึเปล่า……ผมที่กังวลจึงเอ่ยถามอาการจิเซลไปแบบนั้นหรอก——แต่เป็นในพริบตาถัดมานั่นเอง
“ ปัญญานิ่มเรอะแกไอ้บ้าห้าร้อยยยยยยยยยยยยยยยยย! ”
“ โอ้ยยย!? ”
จู่ๆจิเซลก็ฟาดมะเหงกเต็มแรงสุดกำลังลงมากลางหัวผมเฉยเลย!?
เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ทำอะไรน่ะจู่ๆก็!?
จิเซลกระชากคอเสื้อของผมที่สับสนงุนงง แล้วจึงแผดเสียงกระโชกโฮกฮากอย่างโกรธจัด
“ แกนี่มัน ไม่อยากจะเชื่อเลย ไปท้าประลองกับไอ้กิมเล็ต (ขุนนางลำดับสูง) เนี่ยนะ คิดบ้าอะไรของแกอยู่กันวะไอ้เบื๊อกเอ๊ยขอถามจริงเลย! ”
คงจะเงี่ยหูฟังอยู่จากนอกห้องนั่งเล่นละมั้ง
จิเซลที่รับทราบถึงสถานการณ์อย่างครบถ้วนจึงร่ายยาวเป็นชุดออกมาด้วยสีหน้าน่ากลัวสุดยอด
“ ก็คิดแล้วว่ามันแปลก……ทั้งที่เห็นกันอยู่ชัดเจนเลยว่ามันจ้องหมายหัวแกคนเดียวแท้ๆ แต่การกลั่นแกล้งกลับถูกจดจ่อเข้ามาใส่แค่พวกเรากลุ่มเด็กกำพร้าซะงั้นนั่นน่ะ! แต่ฟังจากบทสนทนาเมื่อกี้ก็ถึงบางอ้อละ เป้าหมายตั้งแต่แรกเริ่มของกิมเล็ตก็คือการบดขยี้แกให้ได้อย่างถี่ถ้วนในฐานะนักผจญภัยยังไงล่ะ! ”
สงสัยแขนจะหายดีไม่มีอาการอะไรแล้ว จิเซลจึงเขย่าตัวผมสุดแรงไปพลางพูดต่อออกมา
“ ที่เข้ามาชักชวนก่อนจะเริ่มเปิดฉากกลั่นแกล้งนั่นก็ด้วย ที่แอบพูดใบ้ถึงการประลองนั่นก็ด้วย ทั้งหมดทุกอย่างอยู่ภายในการคำนวณของมันหมดเลย! กิมเล็ตบีบให้แกเป็นฝ่ายเข้ามาท้าประลองด้วยตนเอง เพราะอยากได้ข้ออ้างที่จะสามารถสั่งให้ทำตามคำพูดได้อย่างชอบธรรมไงล่ะ! ไม่งั้นละก็ขุนนางลำดับสูงไม่มีทางจะยอมรับคำท้าของสามัญชนหรอกเว้ย! ”
และแล้วจิเซลก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเอาเป็นเอาตาย
“ ตอนนี้ยังไม่สายนะเว้ยรีบไปถอนคำพูดซะ! มันถึงกับยอมทำอะไรที่โคตรจะอ้อมโลกแบบนี้เพื่อบีบให้แกเป็นฝ่ายเข้ามาท้าประลองเลยเชียวนะ แค่กระทืบให้ยับในการประลองน่ะไม่สาแก่ใจหรอก ถ้าแพ้ขึ้นมาละก็จะโดนสั่งให้ทำอะไรก็ไม่รู้เลยนะเว้ย!? ”
จะถูกทำให้ต้องประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เพื่อเป็นการเอาคืนและเชือดไก่ให้ลิงดู
จิเซลให้คำขาดออกมาแบบนั้น
จิเซลที่เชี่ยวชาญในการเจรจาและต่อรองเป็นคนพูดออกมา คาดว่าก็คงจะถูกจริงตามนั้นนั่นแหละ
สัมผัสได้ว่าปลายนิ้วกำลังสั่นเทิ้มอยู่ต่อหน้าการประลองที่ลำพังแค่นี้ก็ไม่มีโอกาสชนะอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินคำพูดทั้งหมดของจิเซลแล้ว……ความรู้สึกที่ลอยปรากฎขึ้นมาในตัวผมเป็นอย่างแรกสุดเลยก็คือความอุ่นใจ
“ งั้นเหรอ……ถ้าจิเซลพูดแบบนั้นแล้วก็โล่งอก ”
“ อ๋า!? โล่งอกห่าเหวอะไรของแกวะ!? ”
“ ก็ถ้ามีเป้าหมายคือการบีบให้ผมเข้ามาท้าประลองละก็ งั้นในเมื่อทำสำเร็จลุล่วงไปแล้วแบบนี้ เขาก็จะไม่มีเหตุผลให้ต้องทำการกลั่นแกล้งพวกจิเซลอีกต่อไปแล้วใช่มั้ยล่ะ? ”
“ ……!? ”
จิเซลนิ่งค้างจิตหลุดลอยโดยที่ยังอ้าปากอยู่แบบนั้น
แต่ในฉับพลันถัดมาก็รีบร่ายยาวต่ออย่างแตกตื่น
“ กะ ก็ใช่อยู่หรอกนะเว้ย……แต่แกได้ฟังที่ฉันพูดจริงๆรึเปล่าเนี่ย!? ต่อให้จะเป็นแกก็เหอะนะ แต่ต้องสู้กับอาชีพระดับสูงภายในสิบวันนี่มันก็ไม่มีทางชนะหรอก แถมถ้าแพ้ขึ้นมาละก็จะถูกสั่งให้ทำอะไรก็ไม่รู้เลยเชียวนะไอ้บ้า! อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องถูกเล่นงานจนหมดสภาพไม่อาจเป็นนักผจญภัยได้อีกเลยแน่ๆล่ะ! ดังนั้นแหละเอาเป็นว่าลืมเรื่องพวกเราไปก่อน! ต่อให้ต้องเลียรองเท้าหรือเลียอะไรก็เลียๆไปแล้วกลบเกลื่อนเหมือนไม่เคยมีการท้าประลองเกิดขึ้นซะ! อาจจะโคตรอับอายขายหน้าไปเลยก็จริงหรอก แต่ก็จะพอถ่วงเวลาเอาไว้ได้มั่งแหละ! ”
จิเซลแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดไปพลางหอบหายใจ
เพราะฉะนั้นแหละ ผมจึง
“ จิเซล ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ ”
“ ขึก ฉะ ฉันไม่ได้เป็นห่วงอะไรแกซะหน่อย ”
“ แต่ขอโทษนะ ”
มองกลับไปหาจิเซลอย่างซึ่งหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ ต่อให้กิมเล็ตจะคิดเรียกร้องอะไรจากผมก็ตาม แต่ก็คงยอมถอยไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ถ้าหลีกหนีจากการประลองเอาตรงนี้ก็มีโอกาสที่การกลั่นแกล้งต่อพวกจิเซลจะดำเนินต่อไปสูงมากเลยด้วย และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ—— ”
อือ
ที่ผมโพล่งคำท้าประลองออกมา ก็คาดว่าน่าจะมีผลมาจากเหตุผลนี้แหละเป็นส่วนใหญ่เลย
“ เห็นพวกจิเซลถูกทำร้ายแบบนั้นแล้ว ผมจะยอมนิ่งเฉยอยู่ได้ซะที่ไหนกัน ”
กุมมือของจิเซลที่เมื่อตะกี้นี้ยังมีแผลเหวอะอยู่เลยไปพลางพูดบอกออกมา
ความรู้สึกของตนเองที่จะไม่มีทางยอมตัดใจเด็ดขาดนั่น
“ ~~~อึก! ”
เท่านั้นแหละ จิเซลถึงกับสะดุ้งตัวแข็งเกร็งขึ้นมาเลย
แล้วเค้าก็เบือนหน้าหนีไปจากผมสุดกำลัง
“ อุ อุกุก สะเออะทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว……อ่องั้นเรอะ งั้นก็เชิญทำตามใจเลยเหอะเว้ยไอ้เบื๊อกหัวดื้อพูดยังไงก็ไม่ฟัง! โธ่เว้ย ลงอีหรอบนี้แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกอาจารย์สัตว์ประหลาดของไอ้เจ้านี่มันจะคลั่งทำอะไรกันขึ้นมา…… เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ด้วยหรอกนะเว้ย! ”
จิเซลกระชากมือผมออกอย่างรุนแรง แล้วจึงจากไปด้วยใบหน้าแดงแจ๋ที่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะโกรธละมั้ง
“ ขอโทษนะจิเซล ”
แต่ผมเองก็มีทิฐิเหมือนกัน
ไม่ได้ไล่ตามจิเซลที่ช่วยเป็นห่วงเป็นใย ผมเองก็ก้าวออกไปจากที่แห่งนั้นด้วยเช่นเดียวกัน