เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 75 การประลองแห่งความวิบัติ (1)

“ เฮ่อ…… ”

 

ลมหายใจอย่างหดหู่ได้รั่วหลุดออกมาจากริมฝีปากงดงาม

ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า, เอลิเซีย ราฟาแกลิออน กำลังรู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน

เพราะต้องแบ่งบุคลากรไปทำการฟื้นฟูบูรณะทางหลวงที่พังถล่ม เธอจึงถูกเกณฑ์ให้ต้องไปทำงานจิปาถะอย่างเช่นกำจัดมอนสเตอร์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเรื่อยๆภายใน <<ผืนป่าเบื้องลึก>> และเก็บสะสมชิ้นส่วนวัตถุดิบของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์อย่างต่อเนื่องไม่เว้นวันเลยนั่นเอง

อย่างวันนี้ก็ได้ฟาดฟันมอนสเตอร์ใน <<ผืนป่าเบื้องลึก>> ตั้งเป็นกองภูเขาเลากา แล้วจึงกำลังเดินทางกลับมายังบัสเคิลเบียร์พร้อมกับเหล่าผู้สืบสายเลือดของปาร์ตี้ผู้กล้านี่แหละ หลังจากนี้ก็มีกำหนดการณ์ต้องไปพบหน้ากับเหล่าคนใหญ่คนโตจากประเทศต่างๆที่เดินทางมายังบัสเคิลเบียร์อีก ไม่มีเวลาให้ได้พักผ่อนหย่อนใจสบายๆคนเดียวเลย

 

“ ……เฮ่อ ”

 

ผ่านมาได้ราวหนึ่งเดือนหลังจากที่ทางหลวงถล่ม ชีวิตความเป็นอยู่ซึ่งเหี่ยวเฉาไร้สีสันอึดอัดคับแคบที่ดำเนินซ้ำซ้อนมาเป็นเวลาแทบทุกวันนั่น ก็เป็นตัวบีบทำให้เอลิเซียพ่นลมหายใจอย่างเอือมระอาออกมาอีกรอบ

เหนื่อยเหลือเกิน

แม้กายเนื้อที่ไต่เต้าขึ้นมาจนถึงอาชีพระดับสูงสุดจะไม่รู้จักความเหนื่อยล้า แต่สภาพจิตใจนั้นไม่ใช่

ในเวลาแบบนี้ หากเป็นในช่วงก่อนจะมายังบัสเคิลเบียร์ เธอก็จะไล่ตระเวนกินของอร่อยไม่ยั้งเป็นการระบายความขุ่นเคืองหรอก……แต่มาพักนี้แล้วกลับรู้สึกเหมือนว่าทำไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าเดิม

ใช่ว่าข้าวปลาอาหารของบัสเคิลเบียร์จะไม่ถูกปากแต่อย่างใด แค่ในตอนนี้——

 

“ อยากจะกินกับข้าว แล้วพูดคุยไปด้วย…… ”

 

ที่แล่นเข้ามาในหัว ก็คือใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เคารพตนอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ใจ เขาที่ช่วยยอมรับสนับสนุนเธอโดยปราศจากไร้ซึ่งเจตนาแอบแฝงคนนั้น

ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ นอกจากจะมีงานการรัดตัวแล้วไม่พอ โรงเรียนนักผจญภัยก็ยังจะหยุดทำการเรียนการสอน ส่งผลให้แทบไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากับเขาเลย เห็นตัวครั้งล่าสุดก็คือในตอนพิธีเปิดเทศกาลวิวาท แถมนั่นก็ยังเป็นแค่สบตากันนิดๆหน่อยๆจากระยะไกลด้วยอีกต่างหาก

 

(เพราะครอสบอกว่าอยากจะฟังเรื่องเล่าการผจญภัย ก็เลยหวนนึกถึงการต่อสู้ตลอดมาจนตอนนี้เอย แอบเฝ้าจับตาสังเกตลักษณะการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ในระหว่างที่ทำงานอยู่ภายใน <<ผืนป่าเบื้องลึก>> เอย……ทั้งที่ได้เรื่องให้เล่า ตั้งเยอะแยะไปหมดแท้ๆ……)

 

ไม่ใช่แค่อยากจะเล่าให้ฟังแต่เพียงฝ่ายเดียว เธอเองก็มีเรื่องที่อยากจะถามอยู่มากมายด้วยเช่นกัน

ที่ว่าทำการประลองกับปาร์ตี้ขุนนางนั่นมันหมายความว่าอย่างไร? บ้างล่ะ คิดแปลกใจมาตั้งแต่ตอนสอบชิงสิทธิแล้ว ทำอย่างไรถึงแกร่งขึ้นมาได้ขนาดนั้นเหรอ? บ้างล่ะ

มีความรู้สึกสารพัดสารเพที่ติดค้างคาใจอยู่เยอะแยะไปหมด จนทำให้ตอนนี้ถึงขั้นเริ่มคิดเรื่องไม่สู้ดี อย่างเช่นจะสลัดหนีจากเหล่าผู้สืบสายเลือดปาร์ตี้ผู้กล้าที่คอยรายล้อมรอบตัวแล้วไปหาครอสอย่างไรดีเอยอะไรเอย

ความปรารถนาที่อยากจะไปกินข้าวร่วมกับเด็กหนุ่ม มันเพิ่มพูนขยายใหญ่ขึ้นมาภายในอกของเอลิเซียมากถึงขั้นนั้นเลยทีเดียวเชียวล่ะ

 

(……อ้าว?)

 

เป็นตรงนั้นเองที่เอลิเซียชักจะรู้สึกตัว

 

(จะว่าไปแล้ว……ทำไมฉันถึงเอาแต่คิดถึงครอสเต็มหัวไปหมดแบบนี้นะ……)

 

ระหว่างทำงานใน <<ผืนป่าเบื้องลึก>> ก็มีคิดว่าเรื่องเล่าการต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวนี้น่าจะต้องทำให้ครอสยินดีได้แน่บ้างล่ะ เหมือนจะคอยคิดคำนึงถึงครอสอยู่ตลอดเวลาเลยนะ……ชักแปลกๆยังไงชอบกล

ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่

——และ เป็นในจังหวะที่เอลิเซียกำลังเอียงหัวสับสนอย่างยิ่งใหญ่อยู่ภายหลังสีหน้าไร้อารมณ์ดั่งกับตุ๊กตานั่นเอง

 

“ โฮ้~ย! มีประกาศมาแล้วนะ! วันเวลาของการประลองระหว่างขุนนางลำดับสูงกับสามัญชนที่ถูกเลื่อนออกไปนั่นน่ะ! ”

 

รอบบริเวณประตูเมืองที่มักจะอึกทึกดังเซ็งแซ่กับการปรากฎโฉมของกลุ่มปาร์ตี้ผู้กล้านั่น มาในตอนนี้กลับกำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความครึกครื้นตื่นเต้นจากเรื่องอื่น

 

“ สามวันให้หลังเรอะ! งานซ่อมฟื้นฟูทางหลวงก็ลงตัวแล้วด้วย จะต้องไปดูให้ได้เลยเว้ย! ”

“ ก็เป็นการประลองที่สามัญชน <<ไร้อาชีพ>> มันเรียกร้องให้ขุนนางลำดับสูงต้องมาเป็นลูกน้องภายใต้สังกัดเลยนี่เนอะ โชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจไปกว่านี้มันก็คงไม่มีให้เห็นกันได้ง่ายๆหรอกว่ะ ”

“ ครอส อาราเกาท์ซึ่งเป็น <<ไร้อาชีพ>> ที่สร้างชื่อในเมืองอยู่ในช่วงนี้ กับกิมเล็ต วอลเดรียที่เป็นอาชีพระดับสูงแห่งตระกูลดยุค……ถึงจะเห็นผลแพ้ชนะกันจะๆคาตาอยู่แล้ว แต่ก็น่าสนุกดีนี่ ”

“ เอ๊ะ…… ”

 

มีเสียงหลุดลอดออกมาจากปากของเอลิเซียที่ปะติดปะต่อข้อมูลซึ่งได้ยินแว่วมาจากรอบบริเวณ

 

(ครอสน่ะหรือ เข้าไปท้าประลองโดยหวังจะดึงตัวขุนนางลำดับสูงมาเป็นลูกน้อง……?)

 

เป็นเรื่องเล่าที่เหลือเชื่อมากเกินไปจนดูไม่เข้ากับนิสัยของครอส

แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าหูแว่วหรือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกพูดต่อกันอยู่ในบุคคลเพียงกลุ่มเดียวแต่อย่างใด เหมือนว่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเลย——

 

(เหตุผลที่ทำให้สามัญชนอย่างครอส ถึงกับลงทุนเข้าไปท้าประลองเพื่อหวังดึงตัวขุนนางลงมาเป็นลูกน้องนี่……เอ๊ะ……หรือว่า)

 

ข้อสันนิษฐานที่นึกได้ มันทำให้ใจของเอลิเซียเต้นแรงขึ้นมาเลยทีเดียว

 

 

และด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่เหล่าประชาชนกำลังตื่นเต้นครื้นเครงในระดับที่เรื่องลอยมาถึงหูของเอลิเซียซึ่งแทบไม่เคยสนใจเรื่องเล่าข่าวลือของโดยรอบ——วันจัดการประลองก็ได้มาถึง

 

 

 

 

“ ฟู่ ”

 

ผมที่เตรียมการพร้อมเรียบร้อย กำลังปรับลมหายใจอยู่ตรงทางเดินที่จะนำขึ้นไปสู่เวทีของลานประลอง

ทำสิ่งที่ทำได้ไปหมดแล้ว

ได้รับการสั่งสอนจากเหล่าอาจารย์ที่เป็นสุดแกร่งในโลก สั่งสมประสบการณ์ฝึกฝนที่มั่นใจได้เลยว่าไม่มีวิธีไหนจะดีได้ไปกว่านี้แล้ว

ถึงแม้อีกฝั่งจะเหนือกว่าในระดับที่ต่อให้พยายามมากขนาดนั้นก็ยังไม่มั่นใจว่าจะชนะได้มั้ย……แต่สิ่งที่ต้องทำก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

แค่ทุ่มเข้าใส่ด้วยสิ่งที่สานสร้างสั่งสมขึ้นมา เข้าท้าชนด้วยทั้งหมดทุกอย่างที่ได้รับมาจากพวกอาจารย์ซะก็พอ

 

“ อื้ม เครื่องป้องกันที่ได้รับมาจากพวกอาจารย์ก็พร้อมเรียบร้อย ”

 

ผมพูดออกมาเป็นการยืนยัน แล้วจึงตรวจสอบสภาพเครื่องสวมใส่ที่ได้มาใหม่

นั่นก็คือปลอกแขนป้องกันรอบบริเวณข้อมือสองข้าง และเครื่องป้องกันประเภทโชคเกอร์ที่ใช้ปิดคอ

เป็นสิ่งของที่ได้รับมา เพื่อไม่ให้ถูกอีกฝั่งที่เหนือกว่าด้านความเร็วฟันเข้าจุดตายจนการดวลจบลงในชั่วพริบตาน่ะ ถึงจะเป็นของเล็กๆน้อยๆเพื่อไม่ให้ละเมิดข้อตกลงพื้นฐานที่ว่าต้องจัดเตรียมเครื่องสวมใส่ให้ได้ด้วยตัวเองก็เถอะ……แต่ถ้าเป็นของที่พวกอาจารย์เลือกให้แล้วละก็ต้องไม่มีผิดหวังแน่

 

“ ดีละ ไปละนะ ”

 

พอเตรียมการทุกอย่างพร้อม ผมก็ทำใจให้เด็ดขาด แล้วก้าวขึ้นไปสู่เวทีลานประลองซึ่งมีแสงสาดส่องเจิดจ้า

 

 

เท่านั้นแหละ——โว้ววววววววววววววววววววว!

 

 

“ ……ฮึก! ”

 

พอผมเผยตัวออกมายังสนามทรายของลานประลอง เสียงโห่ร้องก็ดังก้องสะเทือนเลือนลั่น

ผู้คน ผู้คน ผู้คนที่แน่นขนัดไปทั่วลานประลองศูนย์กลางขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกใช้ในการทำพิธีประทาน <<คลาส>> ด้วย

 

(ก็พอเดาได้จากเสียงเซ็งแซ่ตลอดทางมาจนถึงตรงนี้หรอก……แต่ก็มีคนเยอะแยะไปหมดเลย……!)

 

ส่วนนึงคงเป็นผลจากการที่ต้องง่วนกับการซ่อมแซมทางหลวงในสภาพที่ถูกจำกัดไม่ให้มีสิ่งบันเทิงเริงรมย์ต่อเนื่องเป็นเวลาถึงเกือบเดือนเลยด้วยนั่นแหละ

การประลองที่ <<ไร้อาชีพ>> จะเข้าท้าชนกับขุนนางลำดับสูงจึงได้รับความสนใจในระดับที่มากพอสมควร เสียงเชียร์และเสียงก่นด่ากับอีกสารพัดเสียงต่างก็ก้องดังอึกทึกประหนึ่งแผ่นดินไหวเลย

เล่นเอารู้สึกขวัญเสียขึ้นมาเลยก็จริง แต่——

 

“ พยายามเข้าครอส! ”

“ อย่าแพ้เด็ดขาดเลยเชียวนะเว้ย! ”

 

พบเห็นกลุ่มเด็กกำพร้าที่แผดเสียงอยู่ตรงที่นั่งเชียร์ซึ่งใกล้กับทางเข้าสนามของผมมากที่สุด

มีจิเซลที่นั่งนิ่งเงียบกริบไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้นด้วย เห็นแล้วก็ช่วยให้ใจสงบลงมาได้ทันตา

 

(ถึงจะมองผ่านๆแล้วไม่รู้ แต่พวกอาจารย์ก็น่าจะมาคอยเชียร์ด้วยเหมือนกันนั่นแหละ)

 

ดั่งกับเป็นการขอยืมกำลังจากเหล่าผู้คนที่คอยช่วยสนับสนุน ผมเอามือแตะไปยังอุปกรณ์ป้องกันที่ได้รับจากพวกอาจารย์และดาบที่ได้จิเซลเลือกให้

และผู้ที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าผมซึ่งก้าวมาถึงใจกลางของเวทีลานประลอง——ก็คือตัวการของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดคราวนี้

อันดับ 4 ของพรรคดิออสเกรฟ, <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> เลเวล 50, กิมเล็ต วอลเดรียนั่นเอง

 

“ มาตามนัดโดยที่ไม่หนีสินะ ”

 

กิมเล็ตที่ตัวสูงยิ่งกว่า พลันจ้องมองต่ำลงมาหาผมด้วยโฉมหน้าอันหล่อเหลาพร้อมกับพูด

 

“ หึ อย่าเขม่นซะขนาดนั้นสิ วันนี้มาลืมเรื่องความแค้นกันไป แล้วมาทำให้เป็นการประลองที่ดีกันเถอะ ”

“ ……ขึก ”

 

กิมเล็ตทำดวงตาให้หรี่เล็กประหนึ่งลูกศรพลางพูดวางท่าใหญ่โต

ผมบีบอย่างรุนแรงลงไปยังมือของขุนนางลำดับสูงที่ขอจับมือด้วยหน้าตาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน พร้อมกับสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่สงบลงไปครั้งนึงมันกำลังลุกโชนโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง

 

(ทั้งที่ทำร้ายพวกจิเซลด้วยเหตุผลไร้สาระแท้ๆ แต่ก็ยังจะมีหน้าพูดออกมาได้อีกนะ……! ถึงจะไม่มั่นใจว่าจะชนะได้มั้ย แต่ก็จะแพ้ไม่ได้แล้วก็ไม่อยากจะแพ้ด้วย!)

 

จ้องเขม่นเข้าใส่กิมเล็ตโดยที่มอดไหม้ไปด้วยใจสู้เข้าอีกรอบ

ในระหว่างที่ลานประลองยิ่งเดือดพล่านหลังได้เห็นพวกผมที่จ้องเข้าใส่กันแบบนั้น

 

[ทั้งสองฝั่งเข้าสนามมาเรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วก็ดูท่าทางจะกระตือรือร้นมีไฟพร้อมซัดกันแล้วด้วย! ถ้าอย่างนั้นก็ตามระเบียบของการประลอง จะขอตรวจสอบเงื่อนไขในตอนแพ้ชนะนะคะ!]

 

คุณพี่สาว <<จอมขมังเวทด้านเสียง>> ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกร เค้าเข้ามาจับแยกผมกับกิมเล็ตที่จ้องเขม่นกันไม่ละ

ส่งเสียงอันร่าเริงด้วยไม้เท้าที่เปิดใช้สกิลขยายระดับเสียงให้กังวานไปทั่วลานประลอง แล้วจึงพูดรัวเป็นชุดออกมาประหนึ่งยุให้เหล่าผู้ชมมีอารมณ์ร่วมมากยิ่งขึ้น

 

[จากข้อมูลที่ได้รับมาล่วงหน้า ในกรณีที่คุณครอสเป็นผู้ชนะนี่……ว้ายตายแล้ว! จะเรียกร้องอย่างไม่เจียมกะลาหัวให้คุณกิมเล็ตซึ่งเป็นบุตรคนโตของตระกูลดยุคต้องยอมมาเป็นลูกน้องภายใต้สังกัดค่ะ! และในกรณีที่คุณกิมเล็ตเป็นผู้ชนะก็จะได้รับสิทธิสามารถสั่งให้คุณครอสทำทุกอย่างตามคำพูดได้แบบตรงตามตัวอักษรเลย! ทว่าแต่ช้าแต่! ตามระเบียบของการประลองแล้ว กำหนดให้ต้องทำการเผยข้อเรียกร้องอย่างชี้เฉพาะก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ท่านผู้ชมซึ่งเป็นสักขีพยานทุกท่านได้ร่วมรู้ไปด้วย! ดังนั้นแหละค่ะคุณกิมเล็ต เชิญเอ่ยเงื่อนไขออกมาเล้ย!]

 

คุณพี่สาวจอมขมังเวทด้านเสียงหันไม้เท้าไปทางกิมเล็ตอย่างลื่นไหล

 

(จะว่าไปแล้ว ก็ยังไม่รู้เงื่อนไขแบบชี้เฉพาะในตอนที่ผมแพ้เลยนี่นะ……)

 

นึกขึ้นได้ว่าจิเซลทำท่าทางกังวลสุดๆไปเลย

อีกฝั่งคือขุนนางใจยักษ์ที่แสนเจ้าเล่ห์เพทุบาย

ไม่รู้เลยว่าจะถูกเรียกร้องให้ทำอะไร ดังนั้นการประลองที่ไร้แววชนะแบบนั้นอย่าไปหาทำเด็ดขาด……แน่ะ

 

(ก็จริงอยู่ ไม่รู้ว่าจะถูกสั่งให้ทำอะไรนี่มันก็น่ากลัวแหละ……แต่ถ้ากิมเล็ตเฝ้าจดจ่ออยู่กับผมแค่คนเดียวละก็ ต่อให้เป็นเงื่อนไขแบบไหนแต่ก็จะยอมรับให้ดูเอง)

 

ก็ไม่ได้คิดจะสู้โดยเตรียมใจแพ้ตั้งแต่แรกเริ่มหรอก แต่ก็จะไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวในตอนที่แพ้เหมือนกัน ผมปลุกใจตนเองแบบนั้นไปพลางตั้งท่ารอคอยว่ากิมเล็ตจะเรียกร้องอะไรออกมาหรอกนะ

 

[จะว่าไปแล้วก็ลืมกำหนดไปเลยนี่นะ ข้อเรียกร้องในตอนที่ฉันชนะน่ะ]

 

กิมเล็ตที่ถูกหันไม้เท้าเข้าใส่ ได้กล่าวเงื่อนไขที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา

 

[นั่นสินะ……หากฉันชนะแล้ว จะให้ครอส อาราเกาท์ไปเป็นคนรับใช้อันซื่อสัตย์ต่อตระกูลเอิร์ลซิลเดรที่ปกครองอยู่เหนืออาณาเขตทางทิศใต้ก็แล้วกัน]

“ เอ๊ะ……? ”

 

ผมเผลอเปล่งเสียงออกมาเลย

เพราะว่าเงื่อนไขที่กิมเล็ตกล่าวออกมามันช่าง เบามากเหลือเกิน ยังไงล่ะ

สามัญชนอย่างผมถึงกับออกปากจะเอาบุตรคนโตของตระกูลดยุคมาเป็นลูกน้องเลยนะ ฉะนั้นก็ดังที่ตัวกิมเล็ตเองเคยกล่าวเอาไว้นั่นแหละ ตามเดิมแล้วถ้าจะถูกยื่นเงื่อนไขที่หนักหนามากยิ่งกว่าความตายมาให้เป็นข้อแลกเปลี่ยนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

 

[เอ๊ะ? จะ จะเอาแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอคะ?]

 

คุณพี่สาวพิธีกรเปล่งเสียงอย่างสับสน ดั่งกับเป็นตัวแทนลานประลองที่เปี่ยมไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ

 

[จะว่ามันดูเบาเกินไปหน่อยหรือว่าอย่างไรดี การรับใช้ตระกูลขุนนางนี่ ดีไม่ดีแล้วออกจะเหมือนแนะนำสถานที่ทำงานที่มั่นคงให้เลยด้วยซ้ำนะคะ……]

[หากเป็นปกติแล้วก็คงใช่ แต่ได้ยินว่าครอสมีความหลงใหลต่อการเป็นนักผจญภัยอย่างแรงกล้ามาก การพรากเขาออกไปจากแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยคงจะถือเป็นบทลงโทษที่ทรมานแสนสาหัสพอดู และที่สำคัญเลยคือฉันเองก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำเหมือนเช่นเผ่ามารซะหน่อย หากกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงมากเกินไปแล้วก็มีปวดใจเป็นเหมือนกัน คราวนี้ก็เลยคิดว่าผ่อนผันให้ไปเป็นคนรับใช้เพื่อจะได้ศึกษารู้จักแสดงความเคารพต่อขุนนางซะบ้างแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว]

[โอ้วววว!? ช่างเป็นคำตอบที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาผิดคาดเหลือเกิน! เจอกับสามัญชนไม่รู้เรื่องรู้ราวที่หาญกล้าเข้ามาท้าประลองหวังจะลากมาเป็นลูกน้องใต้สังกัดเช่นนี้แล้วก็ยังจะคงความเป็นพ่อพระได้อยู่อีก ไม่ใช่แค่ระดับใจกว้างธรรมดาๆแล้วนะคะเนี่ย! ถือเป็นการแสดงน้ำใจต่อคุณครอสที่เคยพยายามจะชักชวนให้เข้าร่วมในพรรคดิออสเกรฟอยู่ซักระยะรึเปล่าคะ!?]

 

พิธีกรกล่าวคำพูด หวังจะยุให้ลานประลองซึ่งส่งเสียงสับสนกับข้อเรียกร้องอันผิดคาดของกิมเล็ตกลับมาครื้นเครงใหม่อีกครั้ง

และราวซาบซึ้งกับวาจาดังกล่าว เหล่าคนดูต่างพากันตอบสนองด้วยเสียงเชียร์เหมือนชื่นชมการตัดสินใจอันผิดคาดของกิมเล็ตหรอก ทว่า——

 

(คิดอะไรอยู่น่ะ……!?)

 

ผมยังคงตกอยู่ในห้วงความสับสนอย่างต่อเนื่อง

เพราะกิมเล็ตที่ถึงกับยอมลงทุนแบกรับความเสี่ยงที่อาจถูกทางกิลด์ลงโทษเพื่อให้ได้ทำร้ายจิเซลคนนั้น จะต้องไม่มีทางพูดอะไรที่แสนใจดีอ่อนข้อแบบนั้นอย่างแน่นอนไงล่ะ

กำหนดให้เป็นเงื่อนไขแบบเบาๆเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกผู้คนโดยรอบหนีหน้าเหรอ? แต่มันก็เบาเกินไปหน่อยแล้ว……

 

“ คึคึ เป็นเงื่อนไขที่เบามากเกินไปจนมึนงงเลยใช่ไหม? ”

 

เป็นตอนนั้นเอง ที่กิมเล็ตเข้ามาใกล้ผมซึ่งยังคงสับสน

และราวกับแอบแฝงอยู่ภายในเสียงโห่ร้องที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งลานประลอง——ขุนนางใจยักษ์พลันกล่าวคำพูดที่เป็นดั่งระเบิดออกมา เจตนาแสนชั่วร้ายที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังเงื่อนไขที่ช่างแสนใจดีนั่น

 

“ วางใจเถอะ ตระกูลซิลเดรที่แกจะต้องไปรับใช้น่ะ เป็นขุนนางโรคจิตที่มีชื่อโด่งดังกระฉ่อนในละแวกแถวนี้เลยอย่างไรล่ะ ”

“ ………………………………………………เห๊ะ? ”

“ โดยเฉพาะคุณหญิงซิลเดรซึ่งเป็นผู้นำตระกูลนี่ ถือเป็นผู้ที่มีใจใฝ่เรียนรู้ต่อเรื่องกามกิจยามค่ำคืนอย่างมากยิ่งเลยทีเดียว เวลายามค่ำทุกคืนจะผ่านไปโดยการให้เด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแกมารายล้อมรอบกายแล้ว xx ด้วย xxx ไปกระทั่ง xxxxx จน xxx! ”

“ อึก!? อึ๊กกก!? ”

 

แถวคำศัพท์สุดโฉดชั่วแสนเลวร้ายที่ถูกกระซิบกระซาบข้างหูมันทำเอาสีหน้าแข็งสนิท

กิมเล็ตมองต่ำลงมายังผมที่ทำสีหน้าเช่นนั้น ก่อนจะยกมุมปากขึ้นมาแสยะยิ้มอย่างซาดิสท์

 

“ คึคึคึ ดูท่าจะรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของตระกูลดยุคแล้วสินะ ช่างเป็นผู้ชายที่โง่เขลาซะจริง หากไม่ดื้อแพ่งหาญต่อกรกับฉันก็คงไม่ต้องมาเจอชะตากรรมเช่นนี้แล้วแท้ๆ จงโศกเศร้าให้พอใจในค่ำคืนที่ตกต่ำลงมากลายเป็นดั่งผู้ชายขายน้ำนั่นซะเถอะ แกจะต้องใช้ชั่วชีวิตต่อจากนี้ ในฐานะทาสกามของขุนนางโรคจิตที่จะสวาปามเด็กหนุ่มตัวน้อยๆจนตัวซูบอย่างไรล่ะ ”

 

ด้วยเหตุนั้น ในระหว่างที่เสียงอึกทึกเหมือนซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของกิมเล็ตจะกำลังดังกระหึ่มปกคลุมไปทั่วทั้งลานประลอง

ขุนนางแสนเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมที่เหมือนจะพูดสิ่งที่อยากพูดจบหมดแล้ว ก็พลันปั้นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยจิตคิดร้ายพลางหันหลังให้กับผม

สายตาจับจ้องมองแผ่นหลังที่กำลังเดินไปเข้าประจำตำแหน่งเริ่มการประลอง และที่ดังกังวานหลายต่อหลายรอบเข้ามาในหัวของผมที่ตะลึงอึ้งค้างอยู่แบบนั้น ก็คือคำศัพท์อันแสนเลวร้ายที่เพิ่งจะได้ยินมาเมื่อกี้หมาดๆ

ถะ ถ้าแพ้แล้วจะต้องกลายเป็นทามกามของขุนนางโรคจิต?

จะถูก xx ด้วย xxx ไปกระทั่ง xxxxx จน xxx ทุกวันเลย……!? ตลอดชีวิตอีก……!?

 

“ ตะ ต่อให้ยังไงก็แพ้ไม่ได้เด็ดขาด……! ”

 

เพื่อที่ผมจะได้คงอยู่ในฐานะลูกผู้ชายตัวจริงเสียงจริงสืบต่อไป! ……นะ แน่นอนว่าต้องสะสางบัญชีแค้นเรื่องพวกจิเซลด้วยนะ

เหงื่อเย็นเฉียบไหลแตกพลั่กต่อเงื่อนไขสุดเกินเหตุที่ถูกยื่นให้ไปพลาง ผมก้าวเข้าไปประจำตำแหน่งเริ่มการประลองด้วยใจมุ่งมั่นสุดขีด

พร้อมกับใจสังหรณ์ไม่ดี……ที่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่รู้สึกขึ้นว่าถ้าเกิดแพ้แล้วละก็จะต้องเกิดเรื่องฉิบหายวอดวายอย่างใหญ่หลวงขึ้นแหงๆ

 

 

 

 

ลานประลองศูนย์กลางซึ่งบรรจุผู้ชมได้เป็นจำนวนมหาศาลแห่งนั้น มีพื้นที่ซึ่งถูกเรียกว่าที่นั่ง VIP อยู่ด้วย

ถูกออกแบบให้รับชมการประลองได้อย่างสะดวกที่สุด หนำซ้ำยังเป็นที่นั่งชมสำหรับเหล่าคนรวยที่คุณภาพต่างออกไปจากที่นั่งปกติโดยสมบูรณ์

ยิ่งในการประลองวันนี้ ราคาของที่นั่ง VIP ก็ยังจะเพิ่มพรวดเป็นกว่าเท่าตัวของเรทปกติเลยทีเดียว

เหล่าทายาทขุนนางที่จ้องจะเก็บรวบรวมข้อมูลของอันดับ 4 แห่งพรรคดิออสเกรฟได้ทำการฮุบที่นั่ง กำลังตั้งตารอคอยให้เหล่าผู้ประลองก้าวขึ้นสนามอย่างใจจดใจจ่อ

และภายในที่นั่ง VIP อันส่องประกายแวววาวแห่งนั้น ก็ได้มีแก๊งสามคนที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าอย่างน่าสงสัยอยู่ด้วย

เหล่านักผจญภัยระดับ S สุดแกร่งของโลกที่ทุ่มกำลังทรัพย์ที่มีมากจนชวนใจหาย แย่งเอาที่นั่ง VIP มาเพื่อเฝ้าชมการประลองของศิษย์รักนั่นเอง

เนื้อติดกระดูก, น้ำผัก, เครป……ต่างคนต่างถือของโปรดของตนไว้ในมือแล้วเข้าโหมดรับชมการแข่งโดยสมบูรณ์ และเป็นในระหว่างนั้นเองที่ลีโอเน่พูดออกมาดั่งกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้

 

“ เออจริงด้วย เพราะคิดแต่ว่าจะให้ครอสชนะอย่างแน่นอนก็เลยไม่ได้ถามยืนยันเลยนี่หว่า เงื่อนไขในตอนที่ครอสแพ้ประลองนี่คืออะไรนะ ”

“ จะว่าไปแล้วก็ลืมถามยืนยันจริงด้วยนั่นล่ะ เทโลเมียร์ แกได้ฟังอะไรมาจากครอสบ้างหรือเปล่า? ”

“ งื้อ~ รู้แค่สัญญาเอาไว้ว่าจะทำทุกอย่างที่พูดแค่นั้นเองง่าา~ ”

“ งั้นหรือ…… ”

 

ไม่ว่าใครก็ลืมตรวจสอบเงื่อนไขในตอนที่แพ้ประลองเหมือนกันหมด จนชักจะรู้สึกเป็นกังวลนิดหน่อยขึ้นมาเอาป่านนี้

 

“ แต่เอ้อ นี่ก็เป็นการประลองต่อหน้าสายตาผู้คนด้วยนี่เนาะ ถ้านึกถึงชื่อเสียงของขุนนางแล้ว ก็คงไม่สั่งอะไรตรงแหน่วแบบให้ไปตายอะไรทำนองนั้นหรอกมั้ง ”

“ นั่นสินะ ดูจากแนวโน้มที่เคยดึงดันพยายามจะชักชวนครอสให้มาเข้าร่วมด้วยแล้ว ก็เห็นมีแนวทางเหมือนกับพยายามจะโปรโมทให้เห็นถึงความใจกว้างของพรรคอยู่ด้วยเช่นกัน ที่น่าจะเข้าเค้าก็คงเป็นสั่งให้ครอสยอมเข้าร่วมใต้สังกัดแล้วใช้งานอย่างหนักกระมัง ”

“ ถ้าใช่แบบนั้นก็เข้าทางเราเลยเน้ออ~ ครอสคุงจะเติบใหญ่อย่างรวดเร็วในการต่อสู้จริงด้วยย~ ถ้าทำการฝึกให้สามารถเคลียร์หน้าที่สุดโหดที่ถูกส่งมาจากพรรคได้แบบสบายๆซะ ก็จะทำให้ครอสคุงเติบโตแล้วแย่งอำนาจควบคุมขุมกำลังขุนนางจากภายในได้ด้วย ที่เหลือก็แค่ใช้อำนาจข่มให้เหมือนกับว่าไม่เคยแพ้ในการประลองซะก็จบ~ ”

 

แบบนั้นเอยแบบนี้เอย และในระหว่างที่พวกอาจารย์กำลังพูดคุยถึงในยามที่ครอสพ่ายแพ้กันอย่างงู้นอย่างงี้——ลานประลองก็พลันเดือดพล่านตื่นตัวขึ้นมา

พวกครอสที่เป็นผู้ประลองได้ก้าวขึ้นสนาม รวมทั้งยังมีการป่าวประกาศเงื่อนไขของการประลองใหม่อีกครั้ง

แต่เนื้อหาของเงื่อนไขดังกล่าว กลับทำให้พวกลีโอเน่ต้องเอียงหัวอย่างสับสนขั้นหนัก

เพราะเงื่อนไขในยามที่ครอสพ่ายแพ้ซึ่งกิมเล็ตกล่าวออกมานั่น มันช่างเบามากเหลือเกินยังไงล่ะ

 

“ อ๋า? รับใช้ขุนนางบ้านนอกคอกนา? ไอ้เจ้าขุนนางนั่นคิดอะไรของมันน่ะ ”

“ ไม่อาจเข้าใจได้เลย ก็คิดอยู่หรอกว่าคงจะกำหนดเงื่อนไขให้เบาลงมาพอสมควรเพื่อแสดงให้เห็นความใจกว้างของพรรคตัวเอง แต่หากเบามากถึงเพียงนี้แล้วก็มีสิทธิที่พรรคจะสูญเสียความน่าเกรงขามอยู่เหมือนกันนี่…… ”

“ ……ช๊า~กได้กลิ่นตุๆยังไงชอบกลน้าา ”

 

ทั้งสามต่างก็ขมวดคิ้วกันไปสามแบบสามสไตล์ ไม่มีใครเชื่อในข้อเรียกร้องของขุนนางลำดับสูงกันจริงๆเลย

แต่ก็ไม่มีร่องรอยมากพอจะคาดเดาถึงเป้าหมายของอีกฝั่ง และเป็นในฉับพลันที่ยังคงเอียงหัวงงอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

——คิกคิกคิก

ที่มีเสียงหัวเราะอย่างประสงค์ร้ายดังขึ้นมาจากเหล่าขุนนางโดยรอบ

พวกลีโอเน่ที่ได้ยินเช่นนั้นพลันเงี่ยหูฟังเงียบๆเพื่อไม่ให้ถูกรู้ตัว

 

“ ฮะฮะ เชื่อไอ้เจ้า <<จอมขมังเวทด้านเสียง>> นั่นเลยจริงๆ ยกยอเรียกท่านกิมเล็ตว่าเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาเนี่ยนะ น่าขำสิ้นดี ”

“ ท่านกิมเล็ตก็ช่างโหดร้ายจริงๆเลยนะ ตระกูลซิลเดรนี่หากพูดกันในแง่ลับๆแล้วก็คือขุนนางโรคจิตที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนนั่นเลยไม่ใช่หรือ เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ไม่มีทางจะชนะอยู่แล้วด้วย คาดว่าคงจะต้องตกกลายเป็นทาสกามของคุณหญิงซิลเดรไปชั่วชีวิตเป็นแน่ ”

“ อุหวายย……เห็นว่ามีสามัญชนที่น่าสนใจก็เลยอุตส่าห์ถ่อมาเชียร์ แต่ก็จบเห่กันในหลายๆความหมายแล้วสินะเนี่ย ”

 

ซุบซิบซุบซิบคิกคิกคิก

ที่ถูกแลกเปลี่ยนกันด้วยเสียงค่อย ก็คือบทสนทนาแสนสนุกที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตคิดร้ายและใจอยากทารุณ

คำคาดการณ์ถึงอนาคตอันแสนเลวทราม ที่สนุกสนานรื่มรมย์กับความวิบัติของ <<ไร้อาชีพ>> ซึ่งบังอาจเติบโตก้าวหน้าอย่างอวดดี แล้วโค่นล้มขุนนางลงอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง

 

“““ ………………………… ”””

 

เหล่านักผจญภัยระดับ S ผู้แกร่งสุดในโลกคอยเฝ้ารับฟังบทสนทนาของเหล่าขุนนางอย่างเงียบเชียบ

อย่างเงียบเชียบมากเหลือเกิน

 

“ ……เฮ้ย ที่จะพูดเนี่ยแค่ยกตัวอย่างเฉยๆนะ ”

 

ฉับพลันนั้น ลีโอเน่ที่เงียบกริบมาตลอดก็อ้าปากกล่าวขึ้น

ที่ปรากฎขึ้นมาเหนือโครงหน้าอันงดงามนั่นก็คือใบหน้าที่ว่างเปล่าปราศจากอารมณ์ เสียงก็ฟังดูเรียบเฉยเมยสุดขั้ว

ลีโอเน่หันไปหาลูด์มิร่าและเทโลเมียร์ที่ทำสีหน้าปราศจากอารมณ์เช่นเดียวกัน ก่อนจะพูดขึ้นต่อด้วยเสียงต่ำทุ้ม

 

“ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไอ้เจ้าขุนนางโรคจิตอะไรพรรค์นั้น มันถูกมอนสเตอร์รุมสกรัมเล่นงานจนกระจุยหายไปพร้อมกับทั้งอาณาเขตแล้วละก็ ต่อให้ครอสแพ้ขึ้นมาแต่ผลลัพธ์ของการประลองก็จะถือเป็นโมฆะสิเนอะ? ก็ไม่มีที่ให้ไปรับใช้แล้วนี่นะ ”

“ นั่นสินะ แล้วถ้าไอ้เจ้าขุนนางที่ชื่อกิมเล็ตอะไรนั่น มันหายสาบสูญไปอย่างลึกลับพร้อมกันกับญาติติโกโหติกาหมดทั้งโคตรแล้ว ก็จะไม่มีผู้ที่สามารถเปลี่ยนเงื่อนไขในตอนที่พ่ายแพ้ให้เป็นอื่นอีกต่อไป ”

“ หื~มม งั้นเหรออ ครอสคุงน่าจะเอาชนะด้วยตัวเองได้ไม่มีปัญหาหรอกก็จริง แต่ถึงแพ้ขึ้นมาถ้าเกิดเป็นอะไรแบบที่ยกตัวอย่างนั่นแล้วก็ค่อยอุ่นใจเน้ออ~ ”

 

หุหึหึ อะฮะฮะ

เสียงหัวเราะแห้งๆของเหล่าสิ่งมีชีวิตสุดแกร่งที่ดวงตาไม่ได้หัวเราะด้วยเลยซักนิด พลันดังก้องเบาๆขึ้นเหนือที่นั่ง VIP

ด้วยเหตุนี้——การประลองครั้งนี้จึงได้มีชีวิตของผู้คนมหาศาลเป็นเดิมพันโดยที่ครอสไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลยซักนิดเดียว

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset