บทที่ 18 ราชากระบี่ดอกบัว หลี่ฉางเกอ
ได้ยินคำชมของเสิ่นเทียน ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็กระจ่างทันใด แต่ละคนรู้สึกชื่นชมเถ้าแก่หลิวอย่างมาก
“ใช่แล้ว! ที่แท้พวกเราเข้าใจเถ้าแก่หลิวผิด เข้าใจร้านวิญญาณอริยะผิด”
“สมกับที่เป็นเถ้าแก่ร้านวิญญาณอริยะ สามารถมองทะลุด้านในของหินแร่วิญญาณ น่านับถืออย่างยิ่ง”
“ข้าขอเรียกคืนคำพูด ‘จะไม่มาร้านวิญญาณอริยะอีกแล้ว’ และขอโทษเถ้าแก่หลิวด้วย นี่ต่างหากถึงจะเป็นร้านค้าที่มีคุณธรรมจริงๆ”
“ทั้งที่รู้ว่าด้านในหินแร่ก้อนนี้มีสมบัติล้ำค่า แต่ก็ยังตั้งไว้ในร้านรอให้คนที่มีวาสนามาพบ เถ้าแก่หลิวสูงส่งยิ่งนัก!”
“ต่อไปข้าจะมาซื้อหินแร่วิญญาณที่นี่ คนใจดีอย่างเถ้าแก่หลิวไม่ใช่พ่อค้าหน้าเลือดแน่นอน”
“ขอเพียงทุกคนมีจิตใจกุศลอย่างเถ้าแก่หลิวสักเล็กน้อย เหตุใดต้องกังวลว่าโลกบำเพ็ญเซียนจะไม่ใช่โลกที่สวยงามด้วย”
…
ได้ยินคำชมของเสิ่นเทียนและผู้คน เถ้าแก่หลิวยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้
“สมควรแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ!”
“ขอบคุณการสนับสนุนของทุกท่าน ต่อไปร้านวิญญาณอริยะจะตอบแทนลูกค้าทุกท่านด้วยความกระตือรือร้นยิ่งกว่านี้ ตอบแทนลูกค้า ตอบแทนทุกท่าน”
“สมบัติได้กลับมาเห็นฟ้าเห็นตะวัน ได้พานพบเจ้าของ ข้า…ข้ารู้สึกซาบซึ้งจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ทุกท่านข้าขอตัวก่อน ข้าขอไปร้องไห้สักครู่ ”
“ว้าว…”
กล่าวถึงช่วงท้าย เถ้าแก่หลิวซาบซึ้งจนร้องไห้
น้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวหยดลงบนพื้นทีละเม็ด น้ำตาหยดดังตึ๋ง ๆ
ผู้คนโดยรอบเห็นแล้วยิ่งรู้สึกนับถือ
ดูดู นี่สิถึงจะเรียกว่าพ่อค้าที่มีคุณธรรม!
ให้ความสำคัญมิตรไมตรี กล้ารัก กล้าชัง กล้าหลั่งน้ำตา
พวกเถ้าแก่ร้านข้างๆ ดูเป็นตัวอย่างด้วย
…
ส่วนหลี่เหลียงเอ๋อร์จ้องเสิ่นเทียนอยู่พักใหญ่ ราวกับหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
จนกระทั่งรองหัวหน้ากลุ่มผู้คุมกฎกล่าวเตือน นางถึงดึงสติของตนเองกลับมาได้
หลี่เหลียงเอ๋อร์ถือเมล็ดน้ำเต้าเซียนที่ส่องประกายแสงเจ็ดสี กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ข้ารับไว้ไม่ได้!”
“นี่เป็นหินแร่วิญญาณที่พี่เสิ่นเลือก โชคลิขิตที่เปิดออกมาจะมอบให้ข้าทั้งหมดได้อย่างไร!”
เสิ่นเทียนยิ้มเล็กน้อย “ข้าเคยพูดไว้ก่อนแล้ว ช่วยผู้มีวาสนาค้นวิญญาณประเมินแร่ไม่แบ่งแม้แต่แดงเดียว เทพธิดาไม่ต้องเกรงใจ”
หลี่เหลียงเอ๋อร์รีบกล่าว “แต่นี่มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินค่า เหลียงเอ๋อร์จะยืดอกรับไว้ได้อย่างไร!”
แม้เสิ่นเทียนเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ แต่เขารู้สึกหวงแหนดวงชะตาที่เพิ่งดีขึ้นมากกว่า
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเมล็ดพันธุ์ ไม่ใช่วิชายุทธ ไม่สามารถแบ่งปันร่วมกันสองคน
หรือจะให้หักครึ่งเมล็ดพันธุ์เอาไปคนละครึ่ง
เลิกล้อเล่นสักทีเถอะ!
กลับไปปลูกออกมาเป็นเจ็ดสมบัติทัพพีน้ำเต้าเซียนจะทำอย่างไร
หรือจะให้นำไปหลอมเกลาเป็นอาวุธวิเศษ เวลาต่อสู้ให้ตะโกนเช่นนี้ ‘สวรรค์ไม่ได้ให้กำเนิดข้าเสิ่นอ้าวเทียน วิถีทัพพีน้ำเต้าบรรพกาลดั่งรัตติกาลยาวนาน’
ทัพพีน้ำเต้าจงมา?
…
ในเมื่อไม่สามารถแบ่งคนละครึ่ง ก็คงทำได้แต่มอบเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ให้หลี่เหลียงเอ๋อร์ทั้งหมด
ไม่เช่นนั้นถ้าหากปลูกเมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ เสิ่นเทียนจะไม่ยิ่งดวงซวยเข้าไปใหญ่หรอกหรือ
เจ้าอย่าฝันคิดทำให้ข้าเสียการใหญ่!
ครั้นนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนกล่าวอย่างมีคุณธรรม “เทพธิดาเหลียงเอ๋อร์กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง แม้เมล็ดเซียนล้ำค่า แต่วาสนาล้ำค่ายิ่งกว่า”
“ในตอนที่ทุกคนกำลังสงสัยข้า มีเพียงเทพธิดายืนกรานเชื่อใจข้า”
“มีเหตุย่อมมีผล นอกเสียจากเทพธิดาคิดว่า วาสนาของข้าเจ้ายังไม่สามารถเทียบกับเมล็ดเจ็ดสมบัติน้ำเต้าเซียน”
มีรอยยิ้มที่อบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเสิ่นเทียน
ดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน เกิดระลอกคลื่นภายในใจของหญิงสาวทุกนาง
ทันใดนั้น จิตใจของหญิงสาวที่อยู่ในร้านวิญญาณอริยะต่างสั่นไหว
“ว้าว พี่นักพรตช่างอบอุ่นเหลือเกิน!”
“พี่นักพรตอะไร เขาดูแร่แม่นเช่นนี้ เรียกว่าพี่เซียนรูปหล่อว่าไปอย่าง!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พี่เซียนรูปหล่อถึงจะถูก!”
“น่าอิจฉาเทพธิดาเหลียงเอ๋อร์ แค่ศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนก็สามารถผูกวาสนาร่วมกับพี่เซียนรูปหล่อแล้ว ข้าเองก็อยากเหมือนกัน!”
“พี่เซียนรูปหล่อ ท่านดูให้หน่อยสิว่าข้ากับท่านมีวาสนาต่อกันหรือไม่ ข้าไม่ถือสาที่จะเป็นเมียรอง!”
“ข้าด้วย ข้าด้วย พี่เซียนรูปหล่อ ข้าไม่ขอเรื่องชื่อเสียงลาภยศ เป็นเพียงสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านก็เพียงพอ”
…
ได้ยินคำพูดของสตรีเหล่านี้ สีหน้าของหลี่เหลียงเอ๋อร์แดงระรื่นอย่างเห็นได้ชัด
“ดังนั้นนี่ก็คือผลของการผูกวาสนาระหว่างข้ากับพี่เสิ่นหรือ”
“หรือว่านี่คือสิ่งของแทนใจที่พี่เสิ่นมอบให้ข้า”
ในใจของหลี่เหลียงเอ๋อร์มีหมื่นพันความคิดเอ่อล้น
นางเก็บเมล็ดพันธุ์น้ำเต้าเซียนด้วยความระมัดระวัง “ท่านวางใจได้ เหลียงเอ๋อร์จะปลูกฝังเมล็ดพันธุ์น้ำเต้าเซียนเม็ดนี้อย่างดี ปล่อยให้มันเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แน่นอน!”
ขณะนี้ หลี่เหลียงเอ๋อร์ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว
ถึงต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ นางก็จะปลูกเมล็ดน้ำเต้าเซียนเม็ดนี้ออกมาให้ได้
ให้เวลาอีกหน่อย จะพาน้ำเต้าเซียนที่เติบโตขึ้นกลับมาสานวาสนากับพี่เสิ่นต่อ
จะทำผิดต่อความหวังดีที่พี่เสิ่นมีต่อตัวข้าไม่ได้เด็ดขาด!
…
ในตอนนั้นเอง มีน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์ดังขึ้นในร้านวิญญาณอริยะ
“แหะๆ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการเมล็ดน้ำเต้าเซียนเม็ดนี้ ไม่สู้มอบมันให้ข้าเสียจะดีกว่า!”
ทันทีที่สิ้นเสียง กลับเห็นหมอกสีดำหนาทึบก่อตัวขึ้นในร้านวิญญาณอริยะ
หมอกสีดำพลุ่งพล่านไม่หยุด เพียงแค่พริบตาเดียวปกคลุมไปทั่วทั้งร้านวิญญาณอริยะ
มีเงาร่างหนึ่งหวังจะแย่งสมบัติพุ่งผ่านเข้าไปหาหลี่เหลียงเอ๋อร์พร้อมกับแรงกดดันจำนวนมหาศาล!
“พวกหนูสวะที่ไหน กล้ามาก่อเรื่องในร้านวิญญาณอริยะของข้า!”
ในขณะเดียวกัน มีแรงกดดันอีกสายหนึ่งปะทุขึ้นในร้านวิญญาณอริยะ ไล่ต้อนผู้จู่โจม
บูม!
คนทั้งสองปะทะกันในหมอกดำ ระลอกคลื่นของกลิ่นอายที่แข็งแกร่งสะเทือนจนผู้คนต้องถอยหลังออกไป
ร่างที่สะบักสะบอมร่างหนึ่งถูกบีบจนเซถอย ล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ฝ่ายที่ถูกซัดกระเด็นออกไปเป็นยอดฝีมือที่ถูกว่าจ้างโดยร้านวิญญาณอริยะ
“แหะๆ สมกับที่เป็นร้านวิญญาณอริยะ มียอดฝีมือระดับแก่นพลังทองช่วงต้นคุ้มกัน”
“แต่น่าเสียดายที่มาเจอกับข้า ยังอ่อนหัดเกินไป!”
คนที่อยู่ในหมอกสีดำหัวเราะอย่างเย็นชา จู่โจมยอดฝีมือของร้านวิญญาณอริยะจนถอยอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นพุ่งตรงเข้าไปหาหลี่เหลียงเอ๋อร์โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรสวนหมื่นวิญญาณก็เป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน อีกทั้งหลี่เหลียงเอ๋อร์ยังเป็นถึงบุตรสาวของคนสำคัญแห่งสวนหมื่นวิญญาณด้วย
ในเมื่อเลือกที่จะแย่งชิงสมบัติของหลี่เหลียงเอ๋อร์ ก็จำเป็นต้องเตรียมใจหนีให้ถึงสุดขอบฟ้า
แต่ทั้งหมดนี้คุ้มค่า!
ขอเพียงข้าสามารถแย่งชิงเมล็ดน้ำเต้ามาอยู่ในมือ หลังจากนั้นนำไปขายให้พวกแดนศักดิ์สิทธิ์ แดนเทวดา ชีวิตที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้ว!
เจ็ดฟุต…ห้าฟุต…สามฟุต!
ระยะห่างของคนที่อยู่ในหมอกสีดำยิ่งอยู่ก็ยิ่งเข้าใกล้หลี่เหลียงเอ๋อร์
เขาสามารถสัมผัสได้ลางๆ ถึงพลังชีวิตมหาศาลและพลังอำนาจบางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากเมล็ดเม็ดนั้น
“เมล็ดเซียนชั้นสูงอันดับที่สามสิบหกในรายนามของวิญญาณไม้ สมคำร่ำลือ”
“ฮ่าๆ หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าไม่จำเป็นต้องพยายามอีกแล้ว!”
คนผู้นั้นแหงนมองท้องฟ้าหัวเราะ ท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก
…
ในตอนนั้นเอง มีน้ำเสียงที่ติดตลกดังขึ้นจากความว่างเปล่า “หืม อย่างนั้นหรือ”
วินาทีต่อมา มีเสียงท่องบทกวีที่ลึกซึ้งดังขึ้นในร้านวิญญาณอริยะ
“แม่น้ำหวงเหอไหลจากฟากฟ้า กระบี่ผ่ากลางดอกบัวบรรพกาล”
หลังจากเสียงท่องบทกวีดังขึ้น ระหว่างฟ้าดินมีปราณกระบี่สายหนึ่งพวยพุ่งออกมาอย่างกะทันหัน และกลายเป็นดอกบัวสีเขียวอมฟ้า
จากนั้น หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สามเป็นพันหมื่น!
ราวกับสามารถคัดลอกตัวเองได้ไม่จำกัด เพียงแค่พริบตาเดียวกลายเป็นดอกบัวที่ครอบคลุมท้องฟ้า บดบังดวงอาทิตย์
“เส้นทางอมตะไม่ใช่สิ่งปรารถนา คำนับสุราชั้นดีทั่วสารทิศ—ดาว—ประกายพรึก!”
“สุราดี สุราดี!”
หลังจากท่องบทกวีจบ ดอกบัวที่เต็มท้องฟ้ากลายเป็นประกายกระบี่ที่ไร้สิ้นสุดโหมกระหน่ำออกมา
ชั่วขณะเดียวเท่านั้นก็สามารถสะบั้นหมอกควันสีดำจนสลาย
แสงสว่างปรากฏขึ้นในร้านวิญญาณอริยะอีกครั้ง
……
“อ๊าก!”
มีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังขึ้นในร้านวิญญาณอริยะ
รอจนกระทั่งฝุ่นควันจางหาย พบว่าตรงใจกลางของร้านวิญญาณอริยะ มีผู้ชายในชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
เขาไว้ผมยาวคลุมบ่า คิ้วโค้งเรียวเช่นดาบ ในมือถือน้ำเต้าสุราสีเขียวอมฟ้า หลังสะพายกระบี่เทพยาวสามฟุต ทั้งตัวมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่ซ่าน
ยกสุราชั้นยอดขึ้นดื่ม บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ
ราวกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง โดดเด่นเหนือสามัญ
ในขณะเดียวกันก็เหมือนคุณชายผู้สง่างาม ไร้ขีดจำกัดไม่มีข้อผูกมัด!
หากทั่วหล้ามีเซียนกระบี่จริง เกรงว่าต้องเป็นคนคนนี้กระมัง!
ใต้ฝ่าเท้าของเขา มีร่างของชายชราชุดดำสีผิวคล้ำ
จุดตันเถียนถูกทะลุทะลวง โดนสยบอย่างสมบูรณ์
…
“นั่นเขา! อัจฉริยะอันดับหนึ่งของแดนเทวาดาวประกายพรึก ราชากระบี่ดอกบัวหลี่ฉางเกอ! ”
“หรือคนที่อยู่ใต้เท้าของเขาคือผู้ฝึกวิชามารจากต่างแดนที่ผู้คนรู้จักในนามหนีเก๋อเอ่อบรรพชนภูตดำ เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองช่วงปลายเลยนะ!”
“พ่นลมออกจากปาก ปราณกระบี่กลายเป็นดอกบัว หรือว่าเขาสามารถฝึกฝน ‘เพลงกระบี่ดอกบัว’ ถึงในระดับที่เชี่ยวชาญมากแล้ว”
“อายุเพียงแค่นี้สามารถเอาชนะหนีเก๋อเอ่อได้ เป็นเจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งมาก น่ากลัวอะไรเช่นนี้!”
“ห้าวหาญยิ่งนัก แม้รูปลักษณ์ยังอยู่ห่างชั้นจากพี่เซียนรูปหล่อ แต่ก็ดูดีมาก!”
“ข้าชอบแบบพี่เซียนรูปหล่อมากกว่า ไม่ชอบผู้ชายดื่มสุรา!”
“ผู้ชายที่ดื่มสุรามักจะใช้เวลาอยู่กับการดื่มทั้งวันทั้งคืน ไม่แน่อาจจะมีผู้หญิงคนอื่นด้วยก็เป็นได้ ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย พี่เซียนรูปหล่อแลดูพึ่งพาได้มากกว่า!”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น สิ่งสำคัญคือพี่เซียนรูปหล่อหล่อเกินไป!”
“บวกหนึ่ง”
…
ฟังคำพูดของผู้คนโดยรอบ โดยเฉพาะคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้หญิงเหล่านั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ฉางเกอค่อยๆ แข็งทื่อ
ในสายตาของคนเหล่านั้น ข้าไม่ใช่บุคคลที่โดดเด่นที่สุดของที่นี่หรอกหรือ
ข้าอุตส่าห์เปิดตัวอย่างสง่างาม ทั้งท่องบทกวีทั้งรำกระบี่ สิ่งเหล่านี้ยังจะมีความหมายอะไร
โดยเฉพาะเห็นหลี่เหลียงเอ๋อร์น้องสาวที่รักมากที่สุด ขณะนี้กำลังจ้องผู้ชายอีกคนตาไม่กะพริบ
ถึงขั้นไม่มีคำว่า ‘ท่านพี่มาแล้ว’ ให้กับตนเองสักคำ
อารมณ์ของหลี่ฉางเกอเดือดขึ้นมาทันทีทันใด
…………………………………………