สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ – ตอนที่ 12 จ่ายตลาดกัน

        หลิวเต้าเซียงยิ้มหวานนัก หลังจากได้เติมท้องด้วยไข่ไก่หนึ่งฟอง อย่างน้อยก็พอได้อิ่มจนไปถึงตำบล

        หมู่บ้านสามสิบลี้อยู่ห่างจากตำบลเหลียนซานเพียงแค่สิบลี้ รถเข็นวัวเคลื่อนช้าๆ เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึงที่หมาย ขณะนี้ฟ้าเพิ่งสว่างได้สักพัก

        เหล่าหวังมัดรถเข็นวัวไว้ใต้ต้นไหว [1] ตรงปากทางเข้าตำบลแล้วเอ่ยยิ้มแย้ม “ช่วงนี้ฝนฤดูใบไม้ผลิตกไม่หยุด ทางเดินไม่ค่อยดี จึงช้ากว่าปกติไปหนึ่งยามถ้วยชา [2]”

        ทุกคนต่างก็บอกว่า ให้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะได้ไม่เกิดเรื่อง ออกเดินทางราบรื่นและกลับบ้านอย่างปลอดภัยดีกว่า

        หลิวเต้าเซียงรอจนคนทั้งคันรถลงจนหมดจึงค่อยๆ ปีนลงมา

        ในตอนที่เท้าเพิ่งจะแตะถึงพื้น นางก็ได้ยินเสียงเตือนของเหล่าหวัง “เต้าเซียง ตลาดนัดวันนี้คนเยอะนัก อย่าได้พูดจากับคนไม่รู้จัก ระวังเป็นพวกต้มตุ๋น เจ้ารู้จักพวกต้มตุ๋นหรือไม่? พวกต้มตุ๋นก็คือคนที่จะโกหกว่าเป็นญาติของเจ้า จากนั้นให้เจ้ากินดื่มของอร่อย แล้วขายเจ้าไปยังที่ไกลๆ ได้ข่าวว่าที่แบบนั้นมักจะมีมารอาศัยอยู่ กินเด็กเป็นอาหาร โดยเฉพาะวัยเช่นเจ้า เนื้อนุ่ม กระดูกบาง พอกัดแล้ว กรอบอร่อย”

        หลิวเต้าเซียงมีเหงื่อซึมออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่นางไม่ใช่เด็กจริงๆ เสียหน่อย!

        แต่ปากก็รับคำอย่างว่าง่าย “ขอบคุณลุงหวังที่เตือน ข้าจะระวัง”

        จากนั้นนางก็เอ่ยถามเวลากลับกับเหล่าหวังอย่างชัดเจนจึงค่อยโบกมือลาจาก แล้วก้าวเท้าสู่หนทางแห่งความฝันด้วยย่างก้าวเล็กๆ ที่จริงก็แทบจะพุ่งตัวเข้าไปในตำบลด้วยซ้ำ

        ตึกเรือนสูงมากมาย ถนนก้อนหินที่กว้างขวางและสะอาด มีดอกไม้และต้นไม้เรียงรายตามสองข้างทาง

        ตื่นเถอะ หลิวเต้าเซียงสะบัดศีรษะเล็กของตนเอง แล้วทอดมองออกไป

        ในตำบลเหลียนซานที่เฉอะแฉะ ถนนลูกรังคดเคี้ยว สองข้างทางมีแต่บ้านเรือนที่ก่อด้วยดินตั้งตระหง่าน ตรงผนังกำแพงดูออกได้ว่าเดิมทีเคยเป็นกำแพงสีขาว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับมองดูสกปรกเลอะเทอะ ให้ความรู้สึกเหมือนคนแก่ใกล้ร่วงโรย สั่นไหวพร้อมล้มลง

        บนถนนที่ไม่กว้างมากนัก มีเกี้ยว รถเข็นวัว ตลอดจนแผงร้านค้าต่างๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาจ่ายตลาด พื้นถนนที่เคยเฉอะแฉะด้วยโคลนเมื่อถูกเหยียบก็ยิ่งมีน้ำเจิ่งนองไปหมด มีรถเข็นวัวเคลื่อนผ่านไปอย่างวุ่นวายพร้อมกับสาดน้ำกระเซ็นโดนคนบริเวณนั้น คล้อยกันก็มีเสียงด่าทอดังขึ้น แล้วยังมีเสียงของคนขับรถ ดูคึกคักอย่างมาก

        หลิวเต้าเซียงก้มลงมองรองเท้าของตนเองที่อยู่ในสภาพ ‘ลูกไก่โผล่’ ออกมา โดย ‘ลูกไก่โผล่’ เป็นภาษาดั้งเดิมของตำบลเหลียนซาน หมายถึงรองเท้าที่ใช้งานมานาน เกิดการเสียดสีอย่างรุนแรง จนตรงหัวแม่เท้าทะลุเป็นรู ทำให้นิ้วเท้าเผยออกมาด้านนอก

        นางถอนหายใจอีกหน รู้สึกว่าโชคดีที่มีสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ด ไม่อย่างนั้นในยุคสมัยโบราณที่คร่ำครึเช่นนี้นางคงมีความรู้เทียบกับคนในยุคนี้ไม่ได้

        ถึงอย่างไรในยุคนี้ก็ยังอาศัยแรงงานมนุษย์ แต่สิ่งที่นางมีคือฝีมือทางด้านเทคนิค อย่างพวกที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ คนอย่างนางหากไม่มีศูนย์ศูนย์เจ็ดคงจะมีชีวิตรอดอยู่ในยุคนี้อย่างยากลำบาก

        หลิวเต้าเซียงขจัดความคิดฟุ้งซ่าน แล้วจัดการถอดรองเท้าคู่เดียวที่นับว่ายังสะอาดออกมา ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจว่าทำไมป้าบนรถล้วนแต่เดินเท้าเปล่า เพราะทุกคนรู้ดีว่าถนนหนทางไม่น่าเดิน การเดินเท้าเปล่าย่อมสะดวกกว่าสวมรองเท้า

        แม้ว่านางจะสอบถามเรื่องราคาของฟืนมาแล้ว แต่นางก็ตั้งใจจะลองเดินสำรวจในตำบลดูก่อน พอคิดเช่นนี้ก็ตรงดิ่งไปยังสถานที่เป้าหมาย แม้ว่าจะเป็นเพียงตำบลเล็กๆ ที่กันดาร แต่ก็มีการแบ่งเขตบริเวณ อย่างเช่นเขตพื้นที่ขายฟืนก็จะไม่ได้รวมกับเขตที่ขายผัก แต่อยู่รวมกับจุดที่ขายถ่าน ขายเครื่องเหล็ก เครื่องสานต่างๆ

        หลิวเต้าเซียงรู้ตัวว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป เลือกสรรอะไรไม่เป็น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับผัก นางที่วันๆ เอาแต่เล่นคอมพิวเตอร์และชอปปิ้ง พอจะต้องเปลี่ยนมาสู้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนยากเย็นไปหมด โชคยังดีที่มีเจ้าบ้าศูนย์ศูนย์เจ็ดอยู่เคียงข้าง จึงไม่ได้รู้สึกเปล่าเปลี่ยว

        ขณะที่นางกำลังใช้พลังจิตคุยกับศูนย์ศูนย์เจ็ด ก็แอบฟังคนอื่นอย่างละเอียดว่าฟืนขายกันอย่างไร ถนนเส้นที่ขายฟืนกับเครื่องเหล็กนั้นไม่ยาวมาก เพียงแค่สิบกว่าคนที่เบียดเสียดกันอยู่ เดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นจุดขายเป็ดไก่

        ขณะที่นางกำลังสอดส่อง ก็พบว่าราคาของฟืนนั้นมีการขยับขึ้นลง ฟืนที่เผาไหม้ง่าย หรือว่าตัดได้เป็นระเบียบจะแพงกว่าประมาณหนึ่งอีแปะต่อหนึ่งมัด ฟืนที่กระจายหน่อยหรือเปียกชื้นกว่า ก็จะราคาตกลงประมาณสามอีแปะ อย่างมากก็ขายได้สี่อีแปะ ส่วนฟืนที่ดีเป็นระเบียบจะขายได้ประมาณมัดละหกอีแปะ

        สองคืนมานี้ หลิวเต้าเซียงอาศัยจังหวะที่ทุกคนนอนหลับกันหมดเข้าไปในห้วงมิติแล้วจัดการฟืนให้เป็นระเบียบใหม่ แล้วมัดเรียงกันให้ดี

        พูดถึงเรื่องนี้ เดิมทีจุดที่เลี้ยงไก่ล้วนจุไปด้วยฟืน พูดให้ถูกคือ นางให้สัตว์ปีศาจตัวน้อยยอมรับปากว่าจะ ‘ช่วยปกปิด’ ให้นางหลุดรอดจากสายตาของเจ้าหน้าที่ เพื่อใช้คลังเก็บของกับโซนค้าขายให้เป็นที่ปฏิบัติการเฉพาะกิจ แล้วจัดการฟืนเหล่านั้นให้เป็นระเบียบใหม่

        นางรู้ว่าฟืนที่เก็บมานั้นเป็นฟืนใหม่ที่เปียกชื้น การวางอยู่ในห้วงมิติสองวันก็เทียบเท่ากับตากลมราวยี่สิบวัน เช่นนี้ฟืนก็น่าจะแห้งและคุณภาพไม่เลว คงขายได้ราคาดี

        ขณะที่นางกำลังคิดจะหาจุดลับตาคนแล้วหยิบฟืนออกมาสักสองมัดเพื่อขาย ก็เห็นคนสองคนที่มีเนื้อเต็มแก้ม คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มสวมเสื้ออ๋าวผ้าฝ้ายหน้าตาบูดบึ้งกำลังเก็บเงินกับแผงร้านค้า ส่วนเจ้าของร้านที่ตั้งแผงเปล่านั้นเมื่อเห็นทั้งสองคนก็ไม่กล้าชักช้า รีบควักเงินค่าแผงออกมาจ่าย

        “ที่แท้ยังต้องจ่ายค่าแผงอีกหรือ?” นอกจากฟืนที่กองเต็มอยู่ในห้วงมิติ ย่ามของนางก็ว่างเปล่า

        นางยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้น กำลังพินิจว่าจะจัดการกับฟืนเหล่านี้อย่างไร ทรัพยากรหาง่าย แต่ช่องทางการขายช่างยากเหลือเกิน!

        ใครบอกว่ามาอยู่ในยุคโบราณจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างโลดโผนกัน หลิวเต้าเซียงมักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นเทียบกับคนในยุคโบราณไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนพวกของเลียนแบบมาเทียบกับของแท้ดั้งเดิมย่อมเห็นความแตกต่าง

        หลิวเต้าเซียงที่เป็นสินค้าเลียนแบบต่างถิ่น กำลังยืนชะเง้อมองอย่างไม่รู้เรื่องอะไรพร้อมด้วยสีหน้าขมขื่น

        นางเห็นผู้คนเดินขวักไขว่แล้วในใจยิ่งหงุดหงิด แต่ขณะที่สติกำลังล่องลอยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี สายตาก็เห็นโรงเตี๊ยมหลังหนึ่ง ทีแรกนางเกิดความลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปทางโรงเตี๊ยม

        เมื่อมาถึงประตูก็เห็นคนผู้หนึ่งรัดศีรษะด้วยผ้าบาง มีผ้าที่ออกสีเหลืองพาดอยู่บนบ่า นางเดาว่านี่คงเป็นเสี่ยวเอ้อร์หรือพนักงานในโรงเตี๊ยมที่กล่าวขานกัน

        หลิวเต้าเซียงเข้าไปใกล้โรงเตี๊ยมมากขึ้น เสี่ยวเอ้อร์ก็ปลดผ้าบนบ่าลงแล้วสะบัดมาทางนาง ก่อนจะแผดเสียงไล่ราวกับไล่สุนัข “ไปๆๆ ไสหัวไปไกลๆ หน่อย”

        ไม่สนใจว่าหลิวเต้าเซียงเพิ่งจะตัวแค่นี้ ก็เอาผ้าเช็ดสะบัดมา บังคับให้นางถอยหลัง

        “พวกขอทาน ดูตัวหนังสือข้างบนก่อน โรงเตี๊ยมผู้ดี เห็นหรือเปล่า คนที่เข้ามาล้วนแต่มีเงินมีอำนาจ”

        คงเพราะเห็นว่าตนเองเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน มีกินมีใช้สบาย จึงดูถูกหลิวเต้าเซียงที่แข้งขาเปรอะเปื้อนโคลน

        “เสี่ยวจู้จื่อ ทำอะไรน่ะ?”

        เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังออกมา ถัดจากนั้นก็มีชายหนุ่มตัวขาวอวบเล็กน้อย สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวเดินออกมาจากด้านใน

        หลิวเต้าเซียงสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกว่าชายคนนี้ดูคุ้นหน้า

        เสี่ยวจู้จื่อที่ถูกเรียกหันไปพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขา “เถ้าแก่ ไม่มีอะไร ก็แค่เด็กขอทาน ไล่ไปก็จบ”

        “อืม รีบไล่ไป” เถ้าแก่คนนั้นหันมามองหลิวเต้าเซียงด้วยสายตารังเกียจ แล้วกลับเข้าประตู

        หลิวเต้าเซียงเกิดอาการขนลุกซู่ในใจขณะนี้ จริงตามคาด ย่าของตนนั้นโกหก บอกว่าบ้านจน เลี้ยงคนไม่ไหว

        เสี้ยววินาทีนั้น ความทรงจำของร่างเดิมก็ปรากฏขึ้นมาเอง เจ้าของร้านเมื่อครู่ก็คือลุงรองของหลิวเต้าเซียง หลิวเหรินกุ้ย! นางไม่รู้ว่าเจ้าของร้านหนึ่งคนในปีหนึ่งจะมีรายได้เท่าไร แต่ดูจากการแต่งตัวที่สะอาดสะอ้าน คิดว่าความเป็นอยู่คงไม่แย่แน่

        “เจ้าเด็กขอทาน ขืนยังไม่ไป ข้าจะใช้กำลังแล้วนะ”

        หลิวเต้าเซียงจดจ้องโรงเตี๊ยมผู้ดีหลังนี้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ก่อนจะหันหลังแล้วจากไป

        ในเมื่อลุงรองของนางเป็นเจ้าของร้านที่นี่ ตีให้ตายนางก็ไม่มีทางขายฟืนให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้แน่ ถึงแม้จะไม่ได้แม้แต่แดงเดียว หรือต้องเสียแรงเหนื่อยเปล่า

        หลิวเต้าเซียงกำลังคิดว่าฟืนเหล่านี้ถ้าไม่ขายให้บ้านคนรวย ก็ต้องขายให้โรงเตี๊ยม แต่ในเมื่อโรงเตี๊ยมก็ขายไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นนางคงต้องลองดูว่าจะมีคนรวยอื่นที่อยู่แถวนี้ต้องการฟืนหรือไม่

        หลังจากเดินวนรอบตำบลสักพัก ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว แต่ฟืนในห้วงมิติของนางกลับขายไม่ได้แม้แต่มัดเดียว ไม่ว่าจะเดินวนอยู่แถวบ้านคนรวยนานแค่ไหนก็ตาม

        อย่าว่าแต่ขายฟืนเลย แค่เข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้ ไกลออกไปมีสุนัขบ้าคลั่งสิบกว่าตัวกำลังเห่า แค่มองดูก็ขาอ่อนแล้ว ใครจะกล้าไปถามอีกว่าต้องการฟืนหรือไม่!

        ก่อนหน้าที่จะมาตำบล นางยังคิดว่าคงเหมือนกับในนิยายออนไลน์ที่ใช้ประโยชน์จากห้วงมิติก็สามารถทำเงินได้ พริบตาเดียวกลายเป็นคนร่ำรวยมีฐานะ แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกว่ายากเย็นยิ่งนัก

        นางเดินคอตกอยู่บนถนน จมูกได้กลิ่นหอมกระตุ้นท้องไส้ที่ร้องโครกครากเป็นเพลงมาตั้งแต่เช้า นึกได้ว่าวันนี้เพิ่งได้กินไข่ต้มไปแค่ฟองเดียว ท้องไส้หิวตั้งนานแล้ว

        แต่นางยังขายฟืนไม่ได้จึงไม่มีเงินซื้อของกิน ต้องเฝ้าสมบัติกองเท่าภูเขาแล้วทนกับความหิวโหย นี่คงอธิบายตัวนางได้ดีสุดในเวลานี้

        “เฮ้อ ท้องฟ้านี่ทำไมจึงไม่เปิดสักที? ฝนตกทุกวัน ฟืนในบ้านแทบจะไม่พอใช้แล้ว”

        แต่แล้วก็มีเสียงของป้าคนหนึ่งดังออกมาจากในสวนของกำแพง

        “ท่านแม่ อีกเดี๋ยวท่านตากับท่านพี่ก็จะกลับมาแล้ว ให้พวกเขาลองหาทางดู วันนี้ตอนกลับมาข้าไปดูที่ตลาด ฟืนขายหมดเร็วยิ่งนัก”

        นี่ไง มีทางแล้ว ไม่มีทางตันสำหรับคนที่สู้ชีวิตจริงๆ ในที่สุดหลิวเต้าเซียงที่กำลังเครียดว่าไม่มีคนต้องการฟืนเหล่านี้ก็มีทางออก

        นางมองดูรอบทิศ ไม่รู้ว่าตนเองออกจากถนนเส้นนั้นตั้งแต่เมื่อไรจนกระทั่งอ้อมมาถึงตรอกด้านหลัง บ้านเรือนเหล่านี้มีซอยแคบๆ ที่คนสามารถเดินผ่านได้ นางสำรวจว่าไม่มีคนอยู่บริเวณนั้นจึงแอบมุดเข้าซอย โบกมือหนึ่งครั้ง ฟืนหกมัดในห้วงมิติก็ลอยออกมากองอยู่ตรงหน้า

        พริบตาเดียวฟืนก็ออกมากองอยู่เต็มพื้นเกือบจะครึ่งทางเดิน อีกทั้งมีหลังคาช่วยบังฝนไว้ เนื่องจากหลังคาของสองบ้านที่ขนาบซอยนี้นั้นอยู่ชิดติดกัน ทำให้ทางเดินเล็กๆ นี้แห้ง เมื่อเอาฟืนออกมาก็ไม่ต้องห่วงว่ามันจะเปียก

        หลังวางฟืนเสร็จ นางก็ไปเคาะประตู

        “ขายฟืนจ้า บ้านนี้มีคนต้องการซื้อฟืนหรือไม่?”

        “เร็วเข้า ไปดูสิ อย่าให้คนขายฟืนไปไกล” หญิงชราเอ่ย ก่อนจะรีบตะโกนไปยังด้านนอกห้องครัว “นี่ คนขายฟืน เราต้องการซื้อฟืน”

        เม็ดฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวันทำให้ฟืนเหลือน้อย หลายวันมานี้ฟืนราคาไม่เหมือนกันสักวัน หญิงชราเอาแต่บ่นท้องฟ้าอากาศ ทวารไม่ดี อุดไม่อยู่!

        “ได้จ้า” หลิวเต้าเซียงตอบรับอยู่ด้านนอก

        ในเวลาอันรวดเร็ว บานประตูใหญ่ก็เปิดออกมาเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวสะใภ้สวมผ้าหยาบสะอาดสะอ้าน หลิวเต้าเซียงตาแหลมคม มองดูคอเสื้อของสาวสะใภ้คนนี้ก็รู้ว่าคือผ้าฝ้ายแบบละเอียด จึงคิดว่าบ้านนี้ค่อนข้างมีฐานะ

        สะใภ้สาวที่เดินออกมานั้นเห็นว่าคนขายฟืนเป็นเด็กสาวก็ไม่ได้นึกแปลกใจ คนยุคโบราณโตเร็ว คนที่วัยเดียวกับหลิวเต้าเซียงส่วนมากก็ออกมาทำงานกันแล้ว

        นางโบกมือให้หลิวเต้าเซียง ยิ้มแล้วเอ่ย “สาวน้อย เมื่อครู่เจ้าตะโกนขายฟืนหรือ?”

        —–

        เชิงอรรถ

        [1] ต้นไหว 槐树 เป็นต้นไม้ประจำเมืองปักกิ่ง

        [2] หนึ่งยามถ้วยชา 一盏茶 อี้จั่นฉา นับเวลาตามโบราณกาล หมายถึง สิบนาที

 

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

สาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษ

Status: Ongoing
อ่านนิยายสาวชาวนาผู้ชั่วร้ายกับระบบวิเศษใครว่าการข้ามมิติไม่ใช่งานที่ต้องใช้เทคนิค? จู่ๆ เด็กสาวแสนหวานก็กลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อยในครอบครัวยากจน นางอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ครอบครัวยากจน พ่อแม่ขี้ขลาด ญาติพี่น้องทุบตี โดนกดขี่สารพัด…. ยังไม่พอ… ระบบตัวดียังจะขอให้เธอเป็น ‘หลิวเต้าเซียง’ เด็กสาวแสนสวยในชนบท จิตใจดีและขยัน ประเด็นสำคัญคือคำสุดท้าย “ขยัน” แต่เพื่อพ้นความจนที่ข้นแค้นและครอบครัวที่โหดร้าย นางจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ร่ำรวยขึ้นมาให้ได้!! “เจ้าระบบ หวานใจของพี่ รีบบอกพี่สาวหน่อยว่าต้องทำอย่างไรถึงสามารถสร้างตัวได้เร็วที่สุด” ตอนนี้เลือดในกายนางกำลังเดือดพุ่งพล่าน เพื่อความสุขสบายของครอบครัว และหนุ่มเอ๊าะๆ หลิวเหม่ยจวิน (ในร่างหลิวเต้าเซียง) คนนี้ ขอสู้ตาย!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset