พูดคุยกับลุงหานอีกสักพัก จิวโมไป๋ก็แยกกันไปทำอาหารของตัวเอง เขาลงมือทำอาหาร 6 จานใหญ่ แล้วบอกพนักงานให้ไปส่งห้องที่เพื่อนของเขารออยู่ ส่วนเขาก็ออกจากห้องครัวเดินไปที่ห้องเล็กๆ ที่แยกออกจากส่วนกลางของร้าน
ก๊อกก๊อก
“เข้ามา”เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นด้านหลังประตู จิวโมไป๋ยิ้มแผ่วเบา ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เขาสูญเสียครอบครัวไปเกือบ 80 ปี ไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่คิดถึงพวกเขา
พอได้ย้อนกลับมาในช่วงเวลานี้ในใจก็อดไม่ได้ที่จะประหม่าและมีความสุข
“ทำไมลูกยังไม่เข้ามาอีก”เสียงอ่อนโยนดังขึ้นอีกเสียง เขาก็ถอนหายใจเปิดประตูแล้วเข้าไปข้างใน
ภายในเป็นห้องเล็กๆเต็มไปด้วยเอกสารและหน้าจอจำนวนมากที่มีภาพจากกล้องวงจรติด ในห้องมีคนอยู่ 2 คน เป็นชายวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงมีพลัง และหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้างดงาม ท่าทางเรียบร้อยอ่อนโยน
“ผมว่าพ่อกับแม่ น่าจะเปลี่ยนห้องได้แล้ว ดูสิแทบจะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว”เขาแกล้งบ่นด้วยรอยยิ้มขณะเดินหลบกองเอกสารไปกอดหญิงวัยกลางคน
“พวกเราเปิดร้านอาหาร ไม่เห็นต้องทำห้องทำงานให้ใหญ่เลย ถ้าจะประชุมพนักงานก็มีห้องแยกไว้แล้ว”จิวโมเทียน เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ว่าแต่ลูกเถอะ เป็นยังไงบ้าง ทำใจได้แล้วหรือยัง?”ฮันหวูเหยาเอ่ยปากถามอย่างเป็นกังวล
“ผมไม่เป็นไรแล้วครับ”จิวโมไป๋ยิ้มตอบด้วยท่าทางไม่ใส่ใจท่าทางของเขาเหมือนผู้เป็นพ่อไม่มีผิด
“ถ้าเรียนจบแล้ว ลูกมาสืบทอดร้านนี้ต่อจากพ่อก็ได้”จิวโมเทียนพูดขึ้นขณะกำลังก้มหน้าเขียนเอกสารอยู่
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมหางานเองได้”จิวโมไป๋ส่ายหน้า เขามีแผนในอนาคตไว้แล้ว เรื่องฟื้นฟูตำหนักยุทธ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องง่าย
“ลูกไม่ต้องฝืนก็ได้ยังไง ลูกก็มีพ่อแม่และน้องของลูกอยู่”ฮันหวูเหยาลูบผมของจิวโมไป๋อย่างอ่อนโยน
“ครับแม่”ดวงตาเปียกชื้นเล็กน้อย จิวโมไป๋ก็พูดเปลี่ยนเรื่อง
เขาพูดคุยกับพ่อและแม่อีกพักใหญ่
“วันนี้ผมกลับไปอยู่หอพักแล้วนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง อ่อฝากบอกเหม่ยเหม่ย ด้วยนะครับ”
“ตอนลูกไม่บาดเจ็บน้องของลูกเป็นห่วงมาก วันนี้ลูกกลับไปอยู่หอพักแล้วไม่รู้ว่าเด็กคนนั้น จะงอแงอีกรึป่าว”ผู้เป็นแม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เขาหัวเราะเบาๆ เขาจำได้ว่า ตอนที่เขาถูกทำลายตำหนักยุทธน้องสาวที่น่ารักของเขา ก็อยู่ข้างๆเขาไม่ยอมไปไหน ถ้าไม่ติดว่ามีเรียน เธอคงไม่ยอมแยกจากเขาแน่ๆ
…
หลังจากออกจากห้องทำงาน เขาก็เข้าไปในห้องอาหาร พี่น้องทั้งสาม ต่างก็กำลังดูอะไรบางอย่างบนหน้าจอโปร่งใส จานอาหาร 6 จาน วางอยู่โดยที่ไม่มีใครแตะเลยสักคน
พอเห็นว่าเขาเดินเข้ามาเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเฉินหู ร้องทักขึ้นมาเป็นคนแรก
“น้องเล็ก นายรู้หรือยังว่าเทพธิดาหลานซูเมิ่ง และ เทพบุตรเซียวหนานจิ้น ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว”
จิวโมไป๋ที่กำลังนั่งชะงักครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้ารับก่อนงนั่งลงบนเก้าอี้
อูเหวิน เด็กหนุ่มท่าทางเจ้าเล่ห์ ส่งยิ้มพร้อมยักคิ้วไปที่เฉินหู“มันน่าแปลกใจตรงไหน หน้าตา ความสามารถ ฐานะ เหมาะสมกันสุดๆ”
ชายอ้วน หวังเสี่ยวเปา ที่กำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่ก็ร้องขึ้นมา
“เฮ้ พวกนายดูสิมีน้องเล็กติดอยู่ในรูปด้วย”
ทั้งสองคนที่กำลังอ่านของตัวเองอยู่ ชะโงกหน้ามาอ่านหน้าจอของชายอ้วน
“ไม่คิดเลยว่านายรู้จักกับเทพธิดาด้วย”อูเหวินร้องขึ้นมาอย่างแปลกใจ
จิวโมไป๋เหลือบตาอ่านดู มีแต่คำด่าไล่ยาวเหยียดว่าเขาเป็นคนหยิ่ง ไม่มีสัมมาคารวะ และอื่นๆอีกมากมาย เขาเห็นก็ถอนหายใจ หันหน้าหนีไม่สนใจอีก
“เฮ้น้องเล็กนายอย่าทำแบบนั้นสิ บอกมาเร็วว่าไปรู้จักกับเทพธิดาได้ยังไง”เฉินหูเซ้าซี้ ยกมือจับไหล่จิวโมไป๋เขย่าไปมา ด้วยแรงอันมหาศาลของอีกฝ่าย ทำเอาคอของเขาโบกสบัดไปมา
“หยุดๆ แค๊กๆ พี่สอง ถ้าพี่ยังไม่หยุดเขย่า เดียวฉันก็ตายหรอก”เขาร้องห้ามเสียงดัง ลำคอปวดแปล๊บราวกับว่าคอจะหัก
“อ่า…ขอโทษทีฉันลืมไปว่านาย…”เฉินหูรีบปล่อยมือด้วยความตกใจ ปากที่กำลังขอโทษพลางหุบปากเงียบ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอผู้อะไรไป
“พวกเราเป็นแค่เพื่อนกัน เธอชอบอาหารที่นี่ เลยมาทานปล่อยๆ ไม่มีอะไรอย่างที่นายคิดหรอก”จิวโมไป๋อธิบายพลางลูบคลำคอตัวเองอย่างเจ็บปวด เขาต้องรีบฟื้นฟูตำหนักยุทธให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะตายโดยไม่รู้ตัว
เขาถอนหายใจ สมแล้วที่เขาพูดกันว่าคนธรรมดานั้นอ่อนแอมาก แค่ถูกผู้บ่มเพาะขั้นผิวหนัง เขย่าไม่กี่ทีคอก็เคล็ดซะแล้ว
สามพี่น้องไม่ถามอะไรอีก แต่ลอบมองจิวโมไป๋ด้วยความเป็นห่วง ตำหนักยุทธถูกทำลายอย่างไม่สมบูรณ์ การที่จะฟื้นฟูตำหนักยุทธแทบเป็นไปไม่ได้ ร่างกายของจิวโมไป๋ในตอนนี้อ่อนแออย่างมาก เขาไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาทั้งสามลอบสบตากันเงียบๆ ในใจคิดเหมือนกันว่าจะต้องคอยดูแล ไม่ให้ใครมารังแกน้องเล็กของพวกเขาได้
หลังจากนั้นทั้งสี่ก็เริ่มลงมือทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระ ไม่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับการบ่มเพาะอีก จิวโมไป๋รู้ดีว่าทั้งสามคนไม่อยากให้เขาเสียใจ เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางเศร้าเสียใจอะไรออกมา เพราะตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าตำหนักยุทธสามารถฟื้นฟูได้
หลังทานอาหารเสร็จ ทั้งสี่คนก็เดินไปบอกลา พ่อและแม่ และพากันกลับหอพัก
พวกเขาพูดคุยกันจนถึงดึก หวังเสี่ยวเปา เฉินหู อูเหวิน ก็ขอตัวไปที่อาคารบ่มเพาะพลัง
อาคารบ่มเพาะพลัง เป็นอาคารที่อยู่ส่วนกลางของมหาวิทยาลัย ภายในจะมีห้องขนาดเล็ก ที่มีอัตราความหนาแน่นของพลังงานธรรมชาติมากกว่าภายนอก 10-50% แล้วแต่ราคาค่าเช่า
ภายในพี่น้องทั้ง 4 คน ครอบครัวของหวังเสี่ยวเปา มีฐานะที่ดีที่สุด
ครอบครัวของเฉินหูและจิวโมไป๋ มีฐานะพอๆกัน
แต่อูเหวิน เป็นเด็กกำพร้า จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ในอดีตหวังเสี่ยวเปาและเฉินหู มักจะไปอาคารบ่มเพาะพลังด้วยกันบ่อยๆ
จิวโมไป๋ไม่ชอบการบ่มเพาะพลัง จึงไม่ได้ไปด้วย
ส่วนอูเหวิน เขาไม่ได้มีเงินมากนัก เขาจึงไม่ได้ไป เขามักจะบ่มเพาะพลังภายในห้องเงียบๆ
ในภายหลังพวกเขาสนิทกันมากขึ้น หวังเสี่ยวเปาและเฉินหู จึงพาอูเหวินไปฝึกบ่มเพาะพลังด้วยกัน โดยที่พวกเขาจะเช่าห้องบ่มเพาะขนาดกลาง ซึ่งพอให้คนสามคนบ่มเพาะด้วยกันโดยไม่แออัด
ค่าเช่าห้องบ่มเพาะไม่แพงเท่าไหร่นัก ทำให้พวกเขาประหยัดเงินไปจำนวนไม่น้อย
ในตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขานั้น ไม่ได้แน่นแฟ้นมากนัก จนเมื่อ 2 เดือนก่อน ทั้ง 3 คน ได้ไปเผลอทะเลาะกับรุ่นพี่ ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้น เขาที่ผ่านไปพอดี ก็ได้พุ่งเข้าไปช่วยเหลือทั้งๆที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็สะบักสะบอม ต้องฟื้นรักษาตัวอยู่เกือบ 1 สัปดาห์
หลังจากนั้นพวกเขาก็สนิทกันมากขึ้นจนสาบานเป็นพี่น้องกัน…