ร่างกายของมารแตกสลายเป็นชิ้นๆ หลอมร่วมเข้ากับเมฆสีทอง สีทองค่อยๆเข้มขึ้นก่อนจะหยุดลง เมฆทองมีประกายสีม่วงอ่อนจนแทบสังเกตไม่เห็น
จิวโมไป๋มองเมฆสีทอง จิตวิญญาณมารระดับต่ำในตอนนี้อยู่สภาพที่อ่อนแอกว่าปกติ เขาคาดเดาว่ามารตัวนี้ติดอยู่ในอุปกรณ์ในโบราณสถานมานาน จนพลังของมันอ่อนแอ เมื่อต่อสู้กับเขา มันยังฟื้นฟูพลังไม่มากนัก
ทำให้ชิ้นส่วนวิญญาณมาร ที่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเขา ไม่มากนัก มันน้อยกว่าวิญญาณฆาตรกรเสียอีก
จิวโมไป๋มองไปที่ตำหนักยุทธกระบี่เลื่อนเร้น เขาก็เห็นกรรมชั่วของมาร มีขนาด 1 ใน 4 ของกรรมชั่ววิญญาณฆาตกร
ไม่แปลกเลยที่ระดับจิตวิญญาณของเขา จะยังไม่สามารถพัฒนาไปขั้นทองม่วง
จิวโมไป๋ถอดจิตวิญญาณออกจากทะเลสติ เป็นเวลาเดียวกับที่ ฉินอิงหลินตื่นขึ้นมา
“แกเป็นใคร?”ฉินอิงหลินเห็นชายหนุ่มไม่คุ้นเคย ยืนอยู่ปลายเตียง เธอผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว พลังกดดันพุ่งเข้ากดดันเข้าหาจิ้วโมไป๋
จิวโมไป๋ลืมตาขึ้นมา เขาไม่สนใจท่าทางของฉินอิงหลิน เขาถอยหลังไปเปิดประตู
คนที่รออยู่นอกห้อง เห็นประตูเปิดออก พวกเขาก็เข้ามาในห้องทันที เมื่อเห็นว่าฉินอิงหลินกำลังจะต่อสู้กับจิวโมไป๋ ฉินซื่อหลันก็รีบห้าม
“น้าหลิน! หยุดก่อน เขาเป็นคนที่หนูพามารักษาน้า”
“หลานพูดอะไร? ฉันไม่ได้บาดเจ็บอะไร”ฉินอิงหลินถาม เธอย่นคิ้วเพื่อทบทวนความทรงจำ แต่ก็จำอะไรไม่ได้ เหมือนความทรงจำของเธอตรงส่วนนั้นหายไป
“น้าจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”ฉินซื่อหลันแปลกใจ
“ฉันจำได้ว่า กำลังสำรวจ…”ฉินอิงหลินพยายามจะทบทวนความทรงจำ แต่ก็จำได้แค่ในตอนที่เธออยู่ที่โบราณสถาน
จิวโมไป๋และมู่คังพากันเดินออกมานอกห้อง ให้พวกเขาได้พูดกัน เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยกระโดดเข้าหาจิวโมไป๋ นั่งประจำที่ของพวกมัน
ฉินหูเจี้ยนเห็นแม่ของเขาฟื้น เขาก็เงียบไป เขาเหลือบมองจิวโมไป๋โดยไม่พูดอะไร
เห็นว่าฉินอิงหลินจำอะไรไม่ได้เลย ฉินซื่อหลันก็ถอนหายใจ เดินมาขอบคุณจิวโมไป๋
จิวโมไป๋พยักหน้ารับ
ฉินซื่อหลันขอตัวไปจัดการเรื่องทั้งหมดก่อน น้าของเธอพึ่งฟื้นขึ้นมา เธอจะต้องเล่าสถานการของตระกูลฉินให้น้าของเธอได้รู้
เธอสั่งให้คนรับใช้พาจิวโมไป๋และมู่คังไปที่ห้องพักรับรอง…
เมืองฉางอัน
บ้านพักขนาดเล็กบนภูเขาสูง
เสียงกำไลข้อมือส่งเสียงดังขึ้น ทำให้ชายชราผมสีขาว ที่กำลังนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขากดเปิดหน้าจอโฮโลแกรม
“รายงานผู้อาวุโสสูงสุด ตอนนี้ท่านหญิงฉินอิงหลิน ฟื้นแล้ว…”
ชายชราฟังจบใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย
“ส่งคนไปสืบที่มาของจิวโมไป๋ แล้วส่งมาให้ฉัน”
ฉินซื่อหลันจัดการเรื่องของฉินอิงหลินเสร็จ เธอก็พาจิวโมไป๋ มู่คังและไปที่เมืองฉางอัน โดยมีฉินหูเจี้ยนติดตามมาด้วย
“หูเจี้ยน นายไม่อยู่ดูแลแม่เหรอ?”ฉินซื่อหลันถาม
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ งานประมูลระดับนี้จะจัดทุกๆ 4 เดือน ถ้าพลาดต้องรออีก 4 เดือน ฉันไม่อยากรอ”ฉินหูเจี้ยนพูดโดยไม่สบตาใคร
ฉินซื่อหลันถอนหายใจ ก่อนจะหันไปขอโทษจิวโมไป๋และมู่คัง
เมืองฉางอันเมืองฉางอันเป็นเมืองของภาคใต้ และเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมังกร มีประชากรจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่
เมืองฉางอันเป็นที่ตั้งของตระกูลราชวงศ์ 3 ตระกูล ฉิน หยวน และ ถัง และตระกูลโบราณอีก 8 ตระกูล
พระอาทิตย์ลอยขึ้นสู่กลางท้องฟ้า เป็นเวลาเที่ยงวัน
งานถูกจัดขึ้นที่ โรงประมูลหมีหิมะ เป็นโรงประมูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในภาคใต้ งานประมูลที่จิวโมไป๋เข้ารวมเป็นงานประมูลที่จัดทุกๆ 4 เดือน
ฉินซื่อหลัน พาพวกเข้าไปที่งานประมูล เมื่อเข้าไปในอาคารประมูล ก็มีพนักงานพาพวกเขาขึ้นไปชั้นบนสุด เป็นห้องประมูลขนาดใหญ่ ด้านล่างมีที่นั่งกว่า 400 ที่นี่ง และทุกที่นั่งมีคนนั่งอยู่ทั้งหมด ไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย คนที่นั่งชั้นธรรมดา ส่วนมากจะเป็นคนของตระกูลระดับสูง มีน้อยมากที่เป็นคนตระกูลระดับกลาง
พนักงานพาพวกเขาไปที่ห้องพิเศษ
ในระหว่างที่กำลังขึ้นบันไดไปชั้นห้องพิเศษ
“หลินหวาง”มู่คังพูดเสียงเบา ก่อนจะหันมาขอเวลาพวกเขาสักครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปพูดคุยกับชายหนุ่ม ที่อยู่อีกฝากของห้องประมูล มู่คังพูดกับชายหนุ่มคนนั้นอย่างเป็นกันเอง
จิวโมไป๋ไม่รู้จักชายที่คุยกับมู่คัง ฉินซื่อหลันกระซิบบอกจิวโมไป๋อย่างแผ่วเบา ว่าชายคนนั้นคือ หยวนหลินหวาง คุณชายรองตระกูลหยวน ตระกูลราชวงศ์
จิวโมไป๋พยักหน้าเข้าใจ ไม่แปลกที่มู่คังจะรู้จักหยวนหลินหวาง เพราะตระกูลมู่ เป็นตระกูลคนสนิทของตระกูลหยวน
จิวโมไป๋ลอบสำรวจหยวนหลินหวางเล็กน้อย ตระกูลหยวนถือว่าเป็นตระกูลเป็นกลาง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตระกูลหยวนแม้จะเป็นตระกูลราชวงศ์ แต่พวกเขาไม่คิดแย่งชิงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล
เมื่อมู่คัง ก่อตั้งกองโจรและทำการสังหารคนนับไม่ถ้วน ตระกูลหยวนตัดขาดจากตระกูลมู่ทันที แต่น่าแปลกที่ในตอนนั้นตระกูลหยวนค่อยๆร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งตระกูลมู่ถูกทำลาย ตระกูลหยวนก็เลือกที่จะเงียบ
มู่คังและหยวนหลินหวางพูดกันเล็กน้อยก่อนจะแยกกัน
หยวนหลินหวางหันมาก้มหัวทักทายฉินซื่อหลัน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
มู่คังเดินมาหาจิวโมไป๋และฉินซื่อหลัน ก่อนจะพากันเดินไปห้องพิเศษ
หยวนหลินหวางหยุดเท้า หันกลับมามองตามหลังทั้งสี่ แววตาของหยวนหลินหวางเป็นประกายแปลกไปเล็กน้อย และเขาก็หันหลังเดินไปห้องพิเศษของตัวเอง
พนักงานพาจิวโมไป๋มาถึงห้องพิเศษ เมื่อเข้าไปในห้องพิเศษ ก็มีคนอยู่ในห้องก่อนพวกเขา เป็นชายวัยกลางคนร่างกายสูงโปร่ง เขานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว มือของเขาถือพัดเหล็กสีดำวางไว้บนตัก จิวโมไป๋ตรวจระดับพลังของอีกฝ่าย ก่อนจะรีบถอนจิตสัมผัสกลับอย่างรวดเร็ว
ขั้นที่ 7 ปลาย!
“ผู้อาวุโส 3”ฉินซื่อหลันและฉินหูเจี้ยน รีบก้มหัวเคารพ
“ฉันแค่มาดูอะไรบางอย่าง พวกเธอจะประมูลก็ประมูลไป ฉันจะไม่ยุ่ง”ผู้อาวุโส 3 พูดขณะหลับ เขาไม่สนใจพวกเขาอีก
ฉินซื่อหลันพาพวกเขาไปที่ด้านหน้าห้องพิเศษ มีที่นั่งตัวยาววางไว้อยู่ในจุดที่ สามารถมองผ่านกระจกพิเศษ ลงไปยังเวทีประมูลได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง
ผนังกระจก ออกแบบเป็นพิเศษ สามารถป้องกันการมองเห็นจากคนภายนอก และสามารถเปลี่ยนเป็นกระจกที่มองผ่านจากทั้งสองด้านได้
พวกเขาแยกกันนั่งบนที่นั่งตัวยาว เสี่ยวไป๋เดินไปรอบๆด้วยความเบื่อหน่าย เสี่ยวเหมยนอนบนตักของจิวโมไป๋ไม่ยอมลุกไปไหน
5 นาทีต่อมา
ชายวัยกลางคน รูปร่างสมส่วน ในชุดสีขาวสะอาด เดินมายืนกลางเวที
จิวโมไป๋พบระดับการบ่มเพาะของชายวัยกลางคนอยู่ ขั้นที่ 8 ชีพจรต้น เขาก็ลอบถอนหายใจ
“ฉันอี้ยงถาน จะเป็นพิธีกร การประมูลในครั้งนี้”อี้ยงถานพูดจบ ก็มีคนผลักรถเข็นมาที่กลางเวที อี้ยงถานเปิดผ้าที่คลุมด้านบนออก ปรากฏขวดหยกใส่โอสถ
“นี่คือโอสถร้อยพลัง โอสถระดับ 6 ดาว กลั้นจากนักปรุงยา…”อี้ยงถานบรรยายสรรพคุณของโอสถยาวเหยียด ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ผู้เข้ามาในโรงประมูล ที่ฟังก็รู้สึกตื่นเต้น ของชิ้นแรกก็โอสถระดับ 6 ดาวแล้ว ของชิ้นอื่นๆจะยิ่งล้ำค่ามากขึ้นก็ไม่แปลก
“ราคาประมูลเริ่มต้นของโอสถร้อยพลัง คือ 1 ล้านเครดิต เสนอราคาต่ำสุดคือ 1 แสนเครดิต เริ่มการประมูลได้!”อี้ยงถานพูดเปิดการประมูลครั้งที่ 1
จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบโอสถร้อยพลัง เขาพบส่วนผสมบางอย่างในนั้น เขาก็ถอนหายใจ เพราะมีวัตถุดิบล้ำค่าผสมอยู่ในโอสถ ถ้าเขาเป็นเจ้าของวัตถุล้ำค่านั้น เขาสามารถกลั่นโอสถชั้นยอดได้
ราคาสุดท้ายของโอสถร้อยพลังอยู่ที่ 25 ล้านเครดิต
ของล้ำค่าชิ้นต่อไปถูกนำขึ้นประมูล เป็น เต่ายักษ์ ที่มีกระดองสีดำด้านไร้ประกาย
จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบเต่ายักษ์ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะเต่ายักษ์มีสายเลือดของงูบรรพกาล ถึงแม้จะเจือจางมากก็ตาม
—