จิวโมไป๋สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามระงับอารมณ์ตื่นเต้นตกใจ แต่ร่างกายของเขากับสั่นระริกอย่างไม่อาจห้ามปรามได้ จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็สงบลงและสังเกตกฎแห่งกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือบันทึกคมกระบี่อย่างละเอียด
ใบหน้าของจิวโมไป๋ก็กลายเป็นผิดหวัง
กฎแห่งกระบี่ที่ลอยอยู่เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์กฎแห่งกระบี่!
จิวโมไป๋ถอนหายใจ เขาก็คาดเอาไว้อยู่แล้ว ว่ากฎแห่งกระบี่ไม่ได้รับมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขามองลงไปยังบันทึกคมกระบี่ เล่มที่ 1 ใบหน้าของเขาก็กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง
บันทึกคมกระบี่ สามารถบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งได้!
ในโลกแห่งการบ่ม มีเคล็ดวิชาต้องห้าม ที่สามารถส่งต่อความสามารถของตัวเอง สืบทอดไปยังคนอื่นได้ เช่นเคล็ดวิชาถ่ายทอดระดับการบ่มเพาะพลัง เคล็ดวิชาผนึกเคล็ดวิชาต่อสู้ เคล็ดวิชาเปลี่ยนสายเลือด และเคล็ดวิชาส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง
เคล็ดวิชาต้องห้ามสืบทอดความสามารถ ที่ถูกเรียกว่าเคล็ดวิชาต้องห้ามเป็นเพราะ พวกมันมีข้อเสียมากมาย ทำให้คนจำนวนมากเสียชีวิต
เช่นเคล็ดวิชาถ่ายทอดระดับการบ่มเพาะพลัง ผู้ได้รับสืบทอดพลัง จะไม่ได้รับระดับการบ่มเพาะพลังเพียง 1 ใน 100 หรือ 1,000 ส่วน จากผู้ถ่ายทอด แล้วแต่ความสามารถในการควบคุมพลังของผู้ถ่ายทอด และผู้รับการถ่ายทอดจะต้องทนรับพลังที่ส่งมาให้ได้ ถ้าผิดพลาดอาจเสียชีวิต พลังการบ่มเพาะที่ถ่ายทอดทั้งหมดจะกลายเสียเปล่าทันที
นอกจากนั้น หลังจากสืบทอดระดับการบ่มเพาะพลัง พรสวรรค์ของผู้ได้รับการถ่ายทอดจะจะลดลง การบ่มเพาะพลังจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก และความแข็งแกร่งจะอ่อนแอกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน เป็นผู้บ่มเพาะพลังชั้นล่างสุด
การสืบทอดความสามารถมีข้อเสียมากมาย ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
แต่ในวิธีสืบทอดทั้งหมด เคล็ดวิชาส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง มีข้อเสียน้อยที่สุด
เมื่อถูกฝั่งเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง มันจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในกฎแห่งสรรพสิ่ง ที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งที่ได้รับสืบทอด เปลี่ยนจากคนธรรมดาเป็นอัจฉริยะ
ข้อเสีย ผู้ถ่ายทอดเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง จะสูญเสียกฎแห่งสรรพสิ่งที่ตัวเองบ่มเพาะไปในทันที
เมื่อได้รับเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง จะต้องรีบทำความเข้าใจในกฎ เพราะมันจะค่อยๆถูกสลายหายไปอย่างช้าๆ ถ้าซึมซับช้าเกินไป เมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งจะหายไปอย่างสูญเปล่า
แม้ว่าเคล็ดวิชาเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งจะมีข้อเสีย แต่ข้อดีก็มากพอที่จะทำให้มองข้ามไปได้ เพราะการเข้าใจกฎแห่งสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ในหมู่ผู้บ่มเพาะพลังนับไม่ถ้วน มีเพียงแค่คนจำนวนน้อยนิดเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าใจกฎแห่งสรรพสิ่งจนถึงระดับสูง
ทำให้ผู้ถ่ายทอดพลังยอมที่จะส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง ให้กับผู้สืบทอดตัวเอง
แต่บันทึกคมกระบี่ มันเป็นการส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่ง แบบค่อยๆพัฒนา ส่งต่อแนวทาง เป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งทั่วไปและสามารถส่งให้หลายคน!
จิวโมไป๋มองไปยังบันทึกคมกระบี่ด้วยแววตาเป็นประกาย
บันทึกคมกระบี่ สามารถส่งต่อเมล็ดพันธุ์กฎแห่งกระบี่ให้กับเขาได้ หลังจากทนรับคมกระบี่จากบันทึก เขาไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมถึงมีผู้คนมากมายยอมเสี่ยงอันตราย ยอมเปิดบันทึกคมกระบี่ เพื่อรับการโจมตีทางวิญญาณ
ถ้าสามารถทนรับการโจมตีจากบันทึกไปเรื่อยๆ เมล็ดพันธุ์กฎแห่งสรรพสิ่งจะค่อยๆกลายเป็น กฎแห่งกระบี่จริงๆ
จิวโมไป๋มองกฎแห่งกระบี่ที่ลอยอยู่ เขาก็ถอนหายใจ ดูจากรัศมีพลัง มันยังเป็นเพียงตัวอ่อนเริ่มต้น ถ้าเขาต้องการให้มันเป็นกฎแห่งกระบี่ของเขาเอง เขาจะต้องรับคมกระบี่อีกมาก
จิวโมไป๋ออกจากทะเลสติ และยืนขึ้นก่อนจะเรียกกระบี่เลือนเร้นออกมา เมื่อมือของเขาจับไปที่กระบี่เลือนเร้น เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกในการจับกระบี่ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
ไม่รอช้า จิวโมไป๋แทงกระบี่ออกไป คมกระบี่แทงแหวกอากาศอย่างช้าๆ จิวโมไป๋ก็รั้งกระบี่กลับ ใบหน้าของเขาครุ่นคิดอะไรเล็กน้อย ก่อนจะแทงกระบี่ออกไปอีกครั้ง
การแทงกระบี่ครั้งนี้ มันเป็นเพียงการแทงกระบี่ที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยการควบคุมมัดกล้ามเนื้อ เส้นเอ้น เส้นประสาททุกส่วนที่ใช้ในการแทงกระบี่
วูบ อากาศส่งเสียงออกมาเมื่อกระบี่แทงผ่าน
เพียงแค่การแทงเบาๆ รัศมีกระบี่ก็ฉีกอากาศออก
จิวโมไป๋ปรับกระบวนท่าอีกเล็กน้อยก่อนจะแทงออกไปอีก
วูบบ เสียงคมกระบี่ดังขึ้นอย่างน่ากลัว ทั้งๆที่แทงด้วยความเร็วเท่าเดิม
จิวโมไป๋ไม่รอช้า ใช้กระบี่โจมตีออกไปอีกหลายร้อยครั้งจนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จิวโมไป๋สูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเก็บกระบี่เลือนเร้น แววตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า เพียงแค่ซ้อมกระบี่แบบปกติ เขาก็รู้ได้ถึงการพัฒนาอันรวดเร็ว
“ความรู้สึกของอัจฉริยะ มันเป็นแบบนี้เอง”จิวโมไป๋กำหมัดแน่นก่อนจะเดินออกจากศาลาทดสอบ
เสี่ยวไป๋ เสี่ยวเหมยนอนพิงเสี่ยวหวงคนละด้านที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสี่ยวจินก็กำลังนอนหลับอยู่บนต้นไม้
จิวโมไป๋ยิ้ม ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ทำอาหารออกมา ในครั้งนี้เขาหยิบโต๊ะทานอาหารตัวยาวออกมาด้วยวางไว้
จากนั้นเขาก็ลงมือทำอาหาร เมื่อกลิ่นของอาหารเริ่มออก เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยก็ตื่นขึ้นทันที พวกมันกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะและเดินเข้าหาจิวโมไป๋ทันที
จิวโมไป๋ยิ้มก่อนจะทำอาหารจนเสร็จ เขาก็เรียกทุกตัวมาทาน และเขาแยกอาหารไว้หนึ่งที
เพียงไม่นาน ชายซอมซ่อก็ปรากฎตัวขึ้น
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยตัวแข็งทื่อ
จิวโมไป๋สังเกตเห็นท่าทางของพวกมันเขาก็เงียบไม่พูดอะไร
“อาหารของเจ้า ดูน่าอร่อยนะ”ชาบซอมซ่อกล่าวขึ้นสายตามองไปยังอาหารด้วยแววตาเป็นประกาย
“เชิญผู้อาวุโสทานได้เลย ผมทำอาหารไว้ให้แล้ว”จิวโมไป๋ลุกขึ้นมาวาดมือไปยังอาหารที่เขาทำเอาไว้
ชายซอมซ่อพยักหน้าพอใจ ก่อนจะนั่งลงและลงมือทานอาหารทันที
จิวโมไป๋ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงและลงมือทานอาหาร เขาก็เห็นเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยยิ่งไม่ขยับ เขาก็พูดขึ้น
“ทานอาหารเร็วเข้า เดียวมันเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยที่ได้ยินก็ลังเล พวกมันเห็นว่าชายซอมซ่อไม่สนใจ พวกมันก็ไม่สามารถต้านทานอาหารได้ ลงมือทานทันที
เวลาผ่านไปเมื่อพวกเขาทานอาหารจนหมด
“ผู้อาวุโส…”จิวโมไป๋จะเอ่ยอ้าปากถาม
“ไม่ต้องพูด ข้าไม่สามารถตอบอะไรเจ้าได้ ถ้าเจ้าอยากรู้อะไรต้องผ่านชั้นที่ 4 ให้ได้ก่อน”พูดจบชายซอมซ่อก็หายตัวไปทันที
จิวโมไป๋ยิ้มเล็กน้อยไม่ได้เสียใจอะไร เขาไม่คิดว่าจะถามอะไรได้ง่ายๆอยู่แล้ว
จากนั้นเขาก็เก็บจานชามลงไปในแหวนมิติเก็บของ และนั้งสมาธิเพื่อฟื้นฟูวิญญาณที่เสียหาย
เสี่ยวไป๋และตัวอื่นๆก็ไปนอนใต้ต้นไม้ จนท้องฟ้ามืดและแสงสว่างยามเช้าก็ส่องแสง
จิวโมไป๋ก็ลุกขึ้นทำอาหารอีกครั้ง ชายซอมซ่อก็โผล่มาทานอาหารทันที ที่เขาเริ่มวางอาหาร ดูเหมือนว่าชายซอมซ่อจะชอบอาหารฝีมือของจิวโมไป๋ หลังจากทานเสร็จชายซอมซ่อก็หายตัวไปทันที
จิวโมไป๋ก็ไม่พูดอะไร
เขาเก็บจานชามและนั่งฟื้นฟูวิญญาณต่อ
เสี่ยวไป๋และตัวอื่นๆเข้าไปยังหอทดสอบ
เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงวิญญาณของเขาก็เริ่มเสถียรมากขึ้น แม้จะไม่สามารถฟื้นฟูวิญญาณจนหายดี แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากนัก
จิวโมไป๋ลุกขึ้น ก่อนจะไปที่หอทดสอบ เขาเดินผ่านบันไดชั้นที่ 1-3 จนถึงทางขึ้นชั้นที่ 4 เขาก็ก้าวเข้าไป
ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป
เขายืนอยู่ห้องโถงทดสอบเดิม เบื้องหน้าของเขาก็ค่อยๆปรากฎรูปปั้นทองแดง ที่เป็นผู้หญิงถือกระบี่ ใบหน้าของเธองดงามทรงเสน่ห์ แต่แฝงความบริสุทธิ์อ่อนโยน เพียงแค่รูปปั้นก็สามารถระบุได้ทันทีว่าหญิงสาวงดงามอย่างมาก
ในตอนนั้นเองที่เสียงเริ่มการต่อสู้ก็ดังขึ้น
“การทดสอบชั้นที่ 4 เอาชนะฝ่ายตรงข้ามภายใน 20 นาที”
เมื่อเสียงจบลง ร่างของรูปปั้นทองแดงก็เริ่มขยับก่อน
จิวโมไป๋หยิบกระบี่เลือนเร้นออกมาจากแหวนมิติเก็บของ เขารวบรวมสมาธิเพ่งความสนใจไปที่รูปปั้นทองแดง พลังกดดันของเขาแผ่กระจายออกจากร่าง
รูปปั้นทองแดงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พลังกดดันของจิวโมไป๋ที่ถูกส่งมาเหมือนผ่านร่างของรูปปั้นทองแดงไปเฉยๆ ไม่ส่งผลกระทบใดๆเลย
บรรยากาศในห้องโถงทดสอบ เงียบสงบอย่างน่าประหลาด
นิ่งสงบเหมือนสายน้ำ!
จิวโมไป๋รู้ได้ทันทีว่ารูปปั้นทองแดงตรงหน้า เป็นประเภทใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ไม่เป็นฝ่ายบุกก่อนอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเอง รูปปั้นทองแดงก็ห่างจากเขาเพียง 10 เมตร
จิวโมไป๋จะเริ่มลงมือ กระบี่เลือนเร้นสั่นไหวเบาๆ ส่งกลิ่นอาจแหลมคมออกมา
ติ้ง อยู่ๆเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น
วูบบ ใต้เท้าของรูปปั้นทองแดงก็เกิดภาพเสมือนจริง เป็นแอ่งน้ำใสสะอาด ระลอกน้ำบนผิวน้ำกำลังกระจายออกเป็นวงกลมจากร่างของรูปปั้นทองแดง
คลื่นระรอกน้ำก็ขยายจนผ่านร่างของจิวโมไป๋ไป
รูปปั้นทองแดงยกกระบี่ขึ้นและฟันออกไปอย่างเชื้องช้า กระบี่สีขาววาดผ่านทิ้งเงาไว้ด้านหลังเหมือนแพรไหม
จิวโมไป๋เพ่งมองกระบี่ช้าที่ฟันข้ามา สายตาของเขามองเห็นกฎการใช้กระบี่อันลึกซึ้งมากมายแฝงอยู่ กระบี่ที่ฟันมา มันไม่ได้เชื้องช้า มันเป็นความเร็วของกระบี่ปกติ แต่สภาวะกระบี่ทำให้เขามองว่ามันเป็นกระบี่ช้า!
ในชั่วเวลานั้นเอง คมกระบี่ที่ฟันมาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง
จิวโมไป๋สัมผัสได้ถึงอันตราย โยกร่างหลบไปข้างขวาอย่างรวดเร็ว
ฉวัะ! คมกระบี่ฟันเข้าที่ไหล่ซ้าย จนเกิดรอยบาดลึก จิวโมไป๋ใช้ท่าทางหลบออกไปไกล มือกดบาดแผลและใช้กฎแห่งธาตุไม้ฟื้นฟูบาดแผล แต่ความเร็วในการฟื้นฟูช้ามาก
จิวโมไป๋สูดลมหายใจ มองไปยังรูปปั้นทองแดงที่กำลังเดินมายังเขาอย่างช้าๆ
ช่างเป็นกระบี่ที่ร้ายกาจ!
กระบี่ช้าแฝงไปด้วยความลึกซึ้งมากมาย จากช้าเป็นเร็ว จากเร็วเป็นช้า ปรับเปลี่ยนชั่วพริบตา วิถีกระบี่ยากคาดเดา
ทำให้เขาเรียกเกล็ดมังกรทองขึ้นมาป้องกันไม่ทัน บาดแผลกระบี่ก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างปกคลุมอยู่ ทำให้ผลการรักษาช้าลง
แขนซ้ายของเขาใช้ไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ โอกาสในการเอาชนะลดลงอย่างมาก
เพียงกระบี่เดียวเขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของรูปปั้นทองแดงหญิงตรงหน้า อ่อนแอกว่ารูปปั้นทองแดงชายในช่วงหลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!…
ดินแดนแห่งหนึ่ง พระราชวังสีขาวอันงดงาม ลอยอยู่กลางท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกสีขาว
ภายในตำหนักใหญ่ หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามทรงเสน่ห์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ นัยน์ตาของเธอสาดประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งก่อนจะหายไป เธอมองไปยังทิศทางหนึ่ง คิ้วคู่งามก็ขมวดขึ้น ก่อนที่เธอจะโบกมือเบาๆ หญิงสาวชุดเขียวปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบตรงหน้าเธอ
“ไปตรวจสอบสถานที่คุมขัง’ชายคนนั้น’ว่าเขายังถูกขังอยู่หรือไม่ ถ้าเขาไม่อยู่ ให้ไปแจ้งจักรพรรดิคนอื่นๆ ให้มาประชุมกันที่ตำหนักอรุณ“
—