จิวโมไป๋ถอยออกมาก่อนจะยิ้มอย่างแผ่วเบา ผนังหน้าผาไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันถูกสร้างจากเทคโนโลยี้ชั้นสูงที่เหนือกว่าการผลิตภายนอกหลายเท่า ทำให้มีความแข็งแกร่งทนทานสูง แม้แต่ระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับมันได้
นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว ผนังหน้าผาแห่งนี้ยังมีลูกเล่นบางอย่างที่มีไว้เพื่อฝึกคนของหน่วยลับ
“หน้าผานี้ถูกสร้างด้วยวิธีพิเศษ มันสามารถดูดพลังกดดันที่ส่งออกมาจากร่างกายของมนุษย์ได้ ตรงส่วนที่ส่งพลังกดดันออกมา มันจะยึดติดกับหน้าผา”หลิวยี้เอินเดินช้าๆไปยังผนังหน้าผา”การที่จะปีนขึ้นไปจะต้องใช้วิธีควบคุมพลังกดดัน”
พูดจบหลิวยี้เอินก็เอามือที่มีพลังกดดันแผ่ออกมาอย่างแผ่วเบา กดไปที่ผนังหน้าผา มือของเธอยึดติดลงไปทันที
“การปีนหน้าผาขึ้นไป เป็นการทดสอบสุดท้าย มันเป็นการทดสอบระดับการควบคุมพลังกดดัน ถ้าควบคุมพลังกดดันได้ดี การปีนขึ้นไปก็จะลดการใช้พลังงานลง แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมพลังกดดันได้ดี พลังงานที่ต้องใช้ในการปีนก็จะเพิ่มขึ้น ยิ่งควบคุมพลังกดดันได้น้อย พลังงานที่ต้อใช้ในการปีนขึ้นไปยิ่งมากขึ้น”พูดจบหลิวยี้เอินก็ปีนขึ้นไปช้าๆ ให้พวกเขาได้ดู ก่อนจะกระโดดกลับลงมา
เธอสามารถปีนได้อย่างง่ายดาย เพราะเธอเป็นผู้ใช้กฎแห่งธาตุน้ำ ทำให้การควบคุมพลังของเธอมีความละเอียดอ่อนกว่าผู้ใช้กฎแห่งธาตุอื่นๆ
หลี่ฟูจิวพยักหน้าเบาๆเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ก่อนหน้านี้เขาตั้งคำถามขึ้น ถ้าไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ แล้วผู้สมัครหน่วยวิจัยจะสามารถผ่านไปได้ยังไง?
เมื่อได้รู้คำตอบ ว่าจะต้องใช้การควบคุมพลังกดดัน เขาก็เข้าใจทันที
แม้ว่าเขาจะมีระดับการบ่มเพาะพลังอ่อนแอ
แต่การควบคุมพลังของผู้ที่สามารถเป็นนักปรุงยาได้นั้น ไม่สามารถอ่อนแอได้
การปรุงยาจะต้องใช้การควบคุมในการหลอมรวมส่วนผสมที่สูงมาก โดยเฉพาะผู้ใช้เตากลั่นโอสถแบบโบราณอย่างเขา ที่นอกจากจะต้องใช้พลังในการควบคุมสวนผสมที่กลั่น ยังจะต้องควบคุมเปลวไฟที่ไม่สม่ำเสมอให้เผาไหม้ในอุณหภูมิคงที่
ทำให้เขามั่นใจอย่างมากในการควบคุมพลังกดดัน เขาเดินไปยืนหน้าผนังหน้าผาและลองทาบมือขวาลงไป พลังกดดันอันแผวเบาแผ่ออกมาจากฝ่ามือเกาะไปที่ผนัง เขาใช้แรงดันตัวขึ้นไป แต่ก่อนที่จะได้วางฝ่ามืออีกข้าง แต่มือขวาก็หลุดออกมา เสียหลักเล็กน้อย ก่อนจะปีนอีกครั้ง ปีนขึ้นไปได้สองครั้ง ก็หลุดลงมา แต่ก็ไม่เป็นอะไร
“ถ้าหมดแรงตกลงมา ไม่ต้องกังวล หญ้าด้านล่างหนาพอที่จะซับแรงในการตกลงมาได้”หลิวยี้เอินพูดขึ้น
หลี่ฟูจิวหันมากล่าวขอบคุณและปีนต่อ ครั้งนี้เขาปีนขึ้นไปได้ 5 ครั้ง เขาก็คุ้นชินในการควบคุมพลังแล้ว เขาปีนขึ้นไปอย่างง่ายดาย เขาปีนขึ้นไปอีก 10 ครั้ง ก่อนจะหยุดและปล่อยมือลงมาเอง
หลี่ฟูจิวขยับร่างกายเล็กน้อย กล้ามเนื้อของเขาปวดเล็กน้อย แม้จะควบคุมพลังได้ดี แต่การปีนขึ้นไปก็ต้องใช้พละกำลังร่างกายอยู่ดี
เขาเงยหน้าลองคำนวนดู ปีน 1 ครั้ง ขึ้นไปได้ 50 ซ.ม. อย่างน้อยเขาจะต้องปีน 200 ครั้ง ถึงจะไปถึงขอบหน้าผา
หลี่ฟูจิวถอนหายใจ แม้เขาจะควบคุมพลังได้ดี แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ เขาไม่มั่นใจว่าจะปีนไปได้เลย
“นั่งพักฟื้นฟูพลังก่อน การควบคุมพลังของนายไม่มีปัญหา ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์ การปีนขึ้นไปในระยะ 100 เมตร ด้วยร่างกายของนายก็สามารถผ่านไปได้”จิวโมไป๋กล่าว เขาไม่ได้พูดปลอบใจ
ในอดีตเขาก็ได้รับการทดสอบแบบนี้เหมือนกัน ในตอนนั้นเพราะเขาต้องหลบหนีการตามล่าของเซียวหนานจิ้น ทำให้เขาต้องอดมื้อกินมื้อ บางวันไม่ได้กินอะไรเลยติดต่อกันหลายวัน และเขาก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ดี เขาหลับไม่ถึงชั่วโมงต่อวัน บางครั้งไม่ได้นอนติดต่อกัน 3 วัน ทำให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมจนแทบพังทลาย
แม้ว่าเขาจะสามารถจะสามารถกลับมาบ่มเพาะพลังได้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาฟื้นฟูร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าคนธรรมดา
เมื่อเขาทดสอบเข้าหน่วยลับ เขาเกือบจะตายหลายครั้ง ไม่ใช้เพราะสัตว์ร้าย แต่เพราะต้องใช้แรงปีนไต่ไปตามหน้าผาต่างๆ จนมาถึงหน้าผาทดสอบสุดท้าย เขาโชคดีเห็นคนอื่นใช้พลังกดดันปีนขึ้นไป
ทำให้เขารู้วิธีการปีน แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ แม้เขาจะมีการควบคุมพลังที่ดีมาก มันก็ยากที่จะปีน ในช่วงเวลาสุดท้าย เขาก็กัดฟันใช้พลังทั้งหมดปีนขึ้นไปได้สำเร็จ ในครั้งนั้นร่างกายของเขาอ่อนแอกว่าหลี่ฟูจิวมาก และการควบคุมพลังของเขาก็ยังไม่ละเอียดอ่อนเท่าหลี่ฟูจิวในตอนนี้
แต่เขาก็สามารถผ่านไปได้
ถ้ามีกำลังใจเพียงพอ หลี่ฟูจิวก็สามารถปีนสำเร็จอย่างแน่นอน
หลี่ฟูจิวขอบคุณจิวโมไป๋ที่ให้กำลังใจ ก่อนจะนั่งฟื้นฟูพลัง
“นายไม่ลองปีนดูเหรอ?”หลิวยี้เอินถาม เธอเห็นว่าจิโมไป๋ไม่ได้ทดลองปีนหน้าผา
จิวโมไป๋พยักหน้า ก่อนจะเดินมาที่หน้าผาและปีนขึ้นไป พริบตาเดียวเขาปีนขึ้นไป 30 เมตร ก่อนที่จะเขาจะปล่อยตัวลง
หลิวยี้เอินอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เธอไม่สามารถมองเห็นการควบคุมพลังของจิวโมไป๋ได้ แต่เธอรู้ได้ว่าเทคนิคการปีนหน้าผาของจิวโมไป๋ไม่ธรรมดาเลย มันแตกต่างจากที่เธอเห็นจิวโมไป๋ปีนหน้าผาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
จิวโมไป๋ยิ้มไม่พูดอะไร ก่อนจะมองไปยังหน้าผาด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
เขาฝึกปีนหน้าผานี้เกือบ 1 ปี แม้จะผ่านไปหลายสิบปีการ ความทรงจำส่วนนี้ ก็ยังฝั่งลึกอยู่ในใจ เพราะการฝึกปีนหน้าผาช่วยพัฒนาความสามารถในการควบคุมพลังให้เขาอย่างมาก พูดได้ว่านอกจากความรู้ที่ได้รับเมื่อเข้าหน่วยลับ การปีนหน้าผาแห่งนี้ เป็นส่วนช่วยให้เขาได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางปรมาจารย์
หลี่ฟูจิวไม่เห็นจิวโมไป๋ปีนหน้าผา เขาพักฟื้นฟูร่างกายจนกลับมาสมบูรณ์ ก่อนจะลุกขึ้น
จิวโมไป๋ก็สอนหลี่ฟูจิวในการปีนหน้าผา เขาแสดงการปีนให้ดูเป็นตัวอย่าง
“การปีนไม่ใช้แค่มือและแขนเท่านั้น ขาก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยประหยัดแรงในการปีน การควบคุมพลังของนายดีอยู่แล้ว ใส่พลังกดดันลงไปที่ขา เพื่อพักแขนในระหว่างปีน…”
หลี่ฟูจิวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาสองข้างเป็นประกาย
จิวโมไป๋ให้หลี่ฟูจิวทดสอบการพักแรงแขน หลี่ฟูจิวทดลองทำ 3 ครั้งก็ชำนาญ
เมื่อทุกคนเตรียมพร้อม
จิวโมไป๋ก็ให้หลี่ฟูจิวปีนขึ้นไปเป็นคนแรก
“ปีนขึ้นไปให้ได้ในครั้งเดียว ถ้าไม่สามารถทำได้ในครั้งเดียว ร่างกายของนายจะอ่อนล้าและมันจะบอบช้ำเสียหาย ยากที่จะปีนเป็นครั้งที่ 2 ดังนั้นใส่ทุกอย่างในการปีนครั้งนี้”
หลี่ฟูจิวพยักหน้า ก่อนจะสูดลมหายใจทำสมาธิ ก่อนที่เขาจะเริ่มปีนขึ้นไป ความเร็วไม่ช้าหรือเร็ว จังหวะสม่ำเสมอ เพียงไม่นานก็ขึ้นไป 30 เมตร แต่ร่างกายเริ่มสั่นเล็กน้อย ความเร็วเริ่มลดลงเล็กน้อย
จิวโมไป๋มองหลิวยี้เอินก่อนกล่าว
“ฉันขึ้นไปก่อนนะ”
หลิวยี้เอินพยักหน้า เธอรออยู่ด้านล่างไม่รีบปีนขึ้นไป
จิวโมไป๋ปีนขึ้นไปพริบตาเดียวก็อยู่ข้างล่างของหลี่ฟูจิว เขาหยุดไม่ปีนต่อ เขาไม่รบกวนสมาธิของอีกฝ่าย
หลี่ฟูจิวปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ความเร็วค่อยๆตกลง จนผ่านไป 60 เมตร แขนก็เริ่มสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วเริ่มลดลงอย่างมากมาก
“ผ่านไปได้ไกลแล้ว อีกแค่นิดเดียว!”จิวโมไป๋ตะโกนจากด้านล่าง
หลี่ฟูจิวก็ตั้งสติปีนขึ้นไปต่อ ผ่านไป 80 เมตร
ตอนนี้ร่างของหลี่ฟูจิวสั่นไปทั้งตัวพร้อมจะหลุดลงมาได้ทุกเมื่อ
ถ้าการควบคุมพลังกดดันไม่ดี หลี่ฟูจิวคงร่วงลงมานานแล้ว
“ปีนขึ้นไปอย่าหยุด!”จิวโมไป๋ตะโกนบอกอีกครั้ง
หลี่ฟูจิวสูดลมหายใจ ฝืนปีนต่อไปเรื่อยๆจนผ่านไป 90 เมตร ร่างกายของเขาก็หยุด ไม่สามารถไปต่อได้อีก
จิวโมไป๋ปีนขึ้นมาด้านข้างก่อนจะกล่าว”อีกแค่ 10 เมตร! พยายามเข้า ถ้านายล้มลงไป ก็ไม่สามารถผ่านการทดสอบได้”
หลี่ฟูจิวได้ยินก็ได้สติ เขากัดฟันแน่น เขาไม่อยากยอมแพ้!
แม้จะใจสู้ แต่ร่างกายของเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงจากจิตใต้สำนึกร้องสั่งให้เขาปล่อยมือ แต่เขาก็ฝืนขยับไปอีก เขาขยับไปได้แค่ 20 ซ.ม.
ในครั้งนี้หลี่ฟูจิวไม่หยุด เขาปีนต่อไปเรื่อยๆ แม้ระยะทางจะลดน้อยลงก็ตามแต่เขาก็ยังไปได้ต่อ
จิวโมไป๋พยักหน้า ให้กับความใจสู้ของหลี่ฟูจิว
จนถึง 98 เมตร
หลี่ฟูจิวก็สั่นไปทั้งตัว ในจังหวะที่จะโยกตัวขึ้นอีกครั้ง พลังกดดันที่เท้าสองข้างหลุด จนร่างของห้อยตัวกลางอากาศ
จิวโมไป๋คิดว่าหลี่ฟูจิวจะหลุดออกจากหน้าผาแล้ว เขาตั้งใจจะช่วย แต่หลี่ฟูจิวยังใช้มือที่แผ่พลังกดดันฝืนเกาะอยู่ได้ แต่มันก็กินพลังงานจำนวนมหาศาล
ในชั่วเวลานั้นเอง หลี่ฟูจิวก็ร้องตะโกนดังลั้น พลังกดดันแผ่กระจายที่เท้าข้างขวา ก่อนที่เขาจะใช้เท้าขวาเหยียบไปที่ผนังหน้าผาอย่างแรงและดีดตัวขึ้นอย่างแรง มือก็ปล่อยจากหน้าผา ในจังหวะที่กำลังลอยขึ้นเท้าซ้ายก็แผ่พลังกดดันในชั่วพริบตาเหยียบผนังหน้าผาที่สูงขึ้น ดีดตัวขึ้นไปอีก
การเบิดพลังทั้งสองครั้งทำให้ร่างของหลี่ฟูจิวพุ่งสูงถึง 100 เมตร แต่เพราะแรงดีดตัวทำให้ร่างของเขาหงายไปด้านหลัง
ในจังหวะที่คิดว่าหลี่ฟูจิวจะตกแน่ แต่ร่างของหลี่ฟูจิวหมุนเล็กน้อย มันทำให้มือข้างหนึ่งเอื่อมมาจับที่ขอบหน้าผาได้ทัน หลี่ฟูจิวโยกตัวไปเกาะอย่างทุลักทุเล เขากัดฟันอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงร่างขึ้นไปได้สำเร็จ เขาหอบอย่างเหนื่อย แต่มุมปากยิ้มด้วยความดีใจ
จิวโมไป๋ก็กระโดดตามขึ้นไปและมองหลี่ฟูจิวด้วยความชื่นชม เขามองเห็นว่าในช่วงที่หลี่ฟูจิวใช้เท้าถีบตัว เขาสังเกตเห็นว่า หลี่ฟูจิวรู้ว่าร่างจะหงายไปด้านหลังแน่ๆ
หลี่ฟูจิวจึงจงใจทำให้ร่างหมุนไปเล็กน้อยในการถีบตัวครั้งสุดท้าย ทำให้แขนของหลี่ฟูจิวเหวี่ยงไปใกล้ขอบหน้าผา และเขาก็สำเร็จจับขอบหน้าผาได้
การถีบตัวทั้งสองครั้งเป็นการตัดสินใจในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ แต่ผลลับน่าชื่นชมจริงๆ
หลิวยี้เอินปีนขึ้นตามมาติดๆ
—-