“อมิตาพุทธ โยมจิวโมไป๋ไม่ต้องกังวล การท้าทายจะเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง ด้วยความแข็งแกร่งของโยม สามารถผ่านการท้าทายไปได้แน่”เจ้าอาวาสหงหมิงกลัวว่าจิวโมไป๋จะกังวลเขาจึงกล่าวปลอบ
เขาไม่กังวลว่าศิษย์ทั้งสองของตนจะแพ้ความท้าทาย สำนักพุทธของเขาฝึกฝนการบ่มเพาะพลังกึ่งร่างกาย ทำให้มีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะพลังประเทศมังกรทั่วไป
และผู้บ่มเพาะพลังประเทศเกาะพวกเขาบ่มเพาะพลังโดยเน้นไปที่ฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นหลัก ความแข็งแกร่งของร่างกายเป็นรอง ถ้าดูเฉพาะร่างกายเพียงอย่างเดียว ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอกว่าผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปของประเทศมังกร
แต่พวกเขาได้เปรียบเรื่องการควบคุมร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับการใช่อาวุธ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความได้เปรียบด้านร่างกายหมดไป
แต่ถึงอย่างนั้น เคล็ดบ่มเพาะพลังของสำนักพุทธของพวกเขามีวิชาวัชรคงกระพัน ทำให้ร่างกายป้องกันอาวุธได้ ทำให้พวกเขาได้เปรียบผู้บ่มเพาะพลังจากประเทศเกาะอยู่ดี
สำหรับจิวโมไป๋ เขาไม่เป็นห่วงเท่าไหร่นัก เพราะเขารู้ถึงความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในร่างของจิวโมไป๋
จิวโมไป๋ที่ได้ยินก็ไม่คิดอะไร ถึงโลหิตมังกรจะถูกปิดผนึก แต่ร่างกายของเขายังแข็งแกร่งถึงขั้นที่ 6 โลหิต
ผู้บ่มเพาะพลังพวกนี้อยู่แค่ขั้นที่ 5 กระดูก เขาสามารถเอาชนะได้แน่
แต่จำนวนกว่า 300 คนเป็นเรื่องยากไปหน่อย แม้จะแบ่ง คน ละ100 คนมันก็ยังยากอยู่ดี
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของจิวโมไป๋ก็เป็นประกาย เขาโน้มตัวไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเจ้าอาวาสหงหมิง
เจ้าอาวาสหงหมิงหันมามองจิวโมไป๋ เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของจิวโมไป๋เขาก็รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่น
เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจบางอย่างเขาพยักหน้าและยิ้มเบาๆ
พันเอกนาคามูระอธิบายการประลองจนจบ
เจ้าอาวาสหงหมิงก็ลุกขึ้นยืน การเคลื่อนไหวของเขาทำให้พันเอกนาคามูระหยุดชะงัก
พวกเขาทั้งสองต่อสู้ด้วยกันมาก่อน ทำให้พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นสหายกัน ทำให้เขาไม่โกรธที่ถูกขัดจังหวะ
“ขออภัยที่อาตมาขัดจังหวะ อาตมาขอเสนอเปลี่ยนการท้าทายใหม่”
“ท่านหงหมิง ท่านต้องการเปลี่ยนการท้าทายอย่างไร”พันเอกนาคามูระถามอย่างใจเย็น
เจ้าอาวาสหงหมิงยิ้มและกล่าว
“3 คนทางฝั่งของอาตมาประลองกับทางฝั่งโยมทุกคน”
เปรี้ยง!
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่ได้ยินก็ระเบิดความโกรธออกมาอย่างพร้อมเพียงกัน
ทำพูดของเจ้าอาวาสหงหมิงเหมือนเป็นการดูแคลนความแข็งแกร่งของพวกเขา
พันเอกนาคามูระมองเจ้าอาวาสหงหมิงด้วยดวงจาวาวโรจน์ พลังกดดันแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขา มันทำให้ชั้นบรรยากาศบิดเบี้ยว
“ที่ท่านพูดหมายความว่ายังไง?”
“อามิตาพุทธ โยมเข้าใจผิดแล้ว ที่อาตมาเสนอการท้าทายแบบนี้ก็เพราะว่า ถ้าประลองทีละคน กว่าจะครบมันต้องใช้เวลาหลายวัน”เจ้าอาวาสหงหมิงอธิบายอย่างใจเย็น พยายามทำให้ฝั่งศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณสงบลง ก่อนจะกล่าวต่อ
“ท้าทายรอบเดียวถ้าฝั่งอาตมาจะแพ้ ไม่มีใครว่าฝั่งโยมได้”
พันเอกนาคามูระนิ่งคิด
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่ได้ยินก็ขบกรามแน่น พวกเขาเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือดจากสำนักดาบสายฟ้าคำรณจากผูู้บ่มเพาะพลังรุ่นเดียวกันนับหมื่น
พวกเขาเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ การที่พวกเขาต้องสู้รอบเดียว เหมือนตัวประกอบฝั่งตัวร้ายที่ไม่มีบทต่อสู้กับกลุ่มตัวเอก
“ตกลง”พันเอกนาคามูระยอมรับการท้าทายของเจ้าอาวาสหงหมิง
“ผู้่อาวุโสนอก!”ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณร้องตะโกนไม่พอใจ
พันเอกมองศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณด้วยแววตาดุดัน
ทุกคนหดคอด้วยความกลัว
“ถ้าพวกคุณรีบมากนักก็เริ่มประลองกันเลย”พันเอกนาคามูระพูดกับเจ้าอาวาสหงหมิง น้ำเสียงกลับไปเป็นทางการอีกครั้ง บ่งบอกว่าความสัมผัสที่พวกเขาสร้างจากการต่อสู้ร่วมกันหมดไป
เจ้าอาวาสหงหมิงไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของพันเอกนาคามูระ เขาหันไปทางลูกศิษย์ทั้งสองของเขาที่กำลังอ้าปากค้าง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จิวโมไป๋ลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นวางอาวุธ เขาหยิบพลองเหล็กที่วางด้านล่างสุดของชั้นวาง มันเป็นพลองเหล็กหนัก 300 กิโลกรัมออกทดลองเหวี่ยง
เขาสามารถเหวี่ยงมันได้สบาย
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่เห็นก็ตกตะลึง พวกเขาคิดว่าพลองบนชั้นวางด้านล่างเป็นเครื่องถ้วงชั้นวางไม่ให้ล้มมาตลอด พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครสามารถถืออาวุธหนักขนาดนั้นได้!
พันเอกนาคามูระเห็นดังนั้นใบหน้าของเขาก็เริ่มเคร่งเครียด เขาพึ่งหายโกรธเขาก็ค้นพบบางอย่าง
เมื่อเห็นกลุ่มของจิวโมไป๋ ยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มของศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณบนสนามประลอง เขาก็เข้าใจเจตนาของเจ้าอาวาสหงหมิงในที่สุด
3 vs 300 เรื่องตลกอะไรกัน
สนามประลองของพวกเขา มีขนาดใหญ่มากก็จริง แต่มันก็รองรับการประลองแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อจับคน 300 คนขึ้นสนามประลอง แม้จะไม่แออันและสามารถขยับได้สบาย
แต่ในการต่อสู้จะต้องมีการเคลื่อนไหว จำนวน 300 คนจะกลายเป็นภาระ!
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณบางคนมองเห็นความผิดปกติ พวกเขาตะโกนประท้วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพันเอกนาคามูระยอมรับการท้าทายแบบนี้ไปแล้ว
พันเอกนาคามูระสูดลมหายใจข่มความโกรธ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เขาไม่มองไปยังเจ้าอาวาสหงหมิง เพราะมันจะทำให้เขาโกรธกว่าเดิม เขาร้องตะโกนเริ่มการประลอง
“เริ่มการประลอง”
สิ้นเสียงของพันเอกนาคามูระ
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่อยู่ใกล้กลุ่มของจิวโมไป๋ที่สุดก็พุ่งโจมตีทันที
จิวโมไป๋หันไปมองหงหยุนและหงเฟยที่ยังไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจ
“ตามฉันไปที่มุมสนามประลอง!”จิวโมไป๋ตะโกนบอกทั้งสองก่อนจะใช้ท่าร่างไปที่มุมสนามประลอง
หงหยุนและหงเฟยที่ได้ยิน ก็เหมือนเข้าใจบางอย่างพวกเขาหน้าแดงเล็กน้อยรีบตามจิวโมไป๋ไป
เมื่อพวกเขาไปถึงมุมสนามประลอง
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่วิ่งเข้ามาต้องเบียดกันเป็นแถว แม้จะไม่ได้เป็นแถวทั้งหมด แต่ความได้เปรียบเรื่องจำนวนไร้ผลอย่างสิ้นเชิง
“ฉันอยู่ตรงกลาง พวกคุณดูซ้าย ขวา”จิวโมไป๋ร้องบอก พลองเหล็กฟาดออกไปอย่างดุดัน เสียงแหวกอากาศดังกระหึมร่างของศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณ กระเด็นออกไปราวว่าวขาดสายป่าน พวกเขากระเด็นกลับไปชนคนด้านหลังล้มระเนระนาด
หงหยุนและหงเฟยเห็นความห้าวหาญของจิวโมไปษพวกเขาก็เหมือนติดเชื้อ ร่างของพวกเขาเปล่งประกายสีทอง อาวุธที่โจมตีเข้ามาล้วนไม่สามารถผ่านแสงสีทองมาได้ พวกเขาชกศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่เขามากระเด็นออกไป แม้จะไม่ถึงระดับจิวโมไป๋ แต่ล้มคนไปได้ห้าถึงสิบคน ก็เป็นจำนวนที่มากแล้ว เมื่อเทียบกับจำนวนคน 300 คน
พวกเขายึดพื้นที่มุมสนามประลอง ต้านศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่เข้ามาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จำนวนคนน้อยลงอย่างรวดเร็ว
ที่จำนวนลดลงเร็วแบบนี้ก็เพราะถูกเพื่อนที่กระเด็นออกไปจน บางคนโชคร้ายถูกอาวุธในมือของเพื่อนแทงจนบาดเจ็บ ไม่สามารถต่อสู้ได้
เวลาผ่านไป 15 นาที สนามบนประลองเหลือคนเพียง 13 คน คนที่บาดเจ็บถูกหน่วยแพทย์ของสำนักพาตัวออกไป
จิวโมไป๋พ้นลมหายใจออกช้าๆ เลือดมังกรของเขาถูกปิดผลึกความทนทานลดลงมากจริงๆออกแรงแค่ 15 นาที ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว
สายตาของจิวโมไป๋มองไปยังกลุ่มคนที่เหลือ พวกเขาไม่เริ่มเคลื่อนไหว ดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวกลุ่มของจิวโมไป๋ที่จัดการศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณอย่างง่ายดาย
เขามองเห็นยระดับการบ่มเพาะพลังของทั้ง 10 คน พวกเขาอยู่ขั้นที่ 5 กระดูกปลาย!
พวกเขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆของสำนักดาบสายฟ้าคำรณ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่ร่วมกลุ่มโจมตี
ความเย่อหยิ่งของชนชั้นสูงดูเหมือนว่าจะถูกฝั่งอยู่ในร่างของพวกเขา
—
ตอนนี้แบ่งไม่ได้เลย ให้เป็นตอนเก็บเงินฮ่าๆ
ขอบคุณที่ติดตามครับ