จิวโมไป๋ วาดพลองเหล็กลงพื้น ปลายพลองกระแทกพื้นดังตึ้ง! เขามองศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่เหลืออีก 10 คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของสนามประลองด้วยความระมัดระวัง แต่อีกฝ่ายยังคงยืนเฉยไม่ขยับและมองย้อนกลับมาด้วยแววตาท้าทาย เต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้ แต่ดาบคาตานะในมือของพวกเขายังไม่ชักออกจากฝักเพื่อเตรียมตัวต่อสู้ด้วยซ้ำ
พวกเขาให้เวลาฝ่ายของจิวโมไป๋ฟื้นฟูความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้
หงหยุน หงเฟยที่ยืนอยู่ข้างจิวโมไป๋ หอบหายใจอย่างหนัก ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ ผิวหนังที่โผล่พ้นจีวรเต็มไปด้วยรอยช้ำม่วงเขียว แม้ว่าร่างวัชรคงกระพันจะสามารถป้องกันคมดาบได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ผิวหนังยังได้รับแรงกระแทกอยู่ ทำให้เกิดร่องรอยบอบช้ำและความเจ็บปวดตามร่างกาย พวกเขาทั้งสองเห็นว่าศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณไม่เข้าโจมตีอีก พวกเขาก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ถือโอกาสรวบรวมพลังฟื้นฟูความเหนื่อยล้า ให้ได้มากที่สุด
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณบนสนามประลองยืนนิ่ง ไม่เข้าโจมตีขัดจังหวะการฟื้นฟูพลังของหงหยุนและหงเฟย พวกเขาปล่อยให้ทั้งสองฟื้นฟูพลัง พวกเขามีความถือดีในความแข็งแกร่งของตนเอง ไม่ฉวยโอกาสต่อสู้กับคนที่กำลังอ่อนแรง
จิวโมไป๋ลอบฟื้นฟูพลัง และกวาดสายตาตรวจสอบทั้งสิบ
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณทั้งสิบคน ใส่ชุดนักสู้สีม่วงเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆ แต่ขอบเสื้อจะปักด้วยลิ้มสีเงิน บ่งบอกได้ว่าทำให้ทั้งสิบมีตัวตนเหนือกว่าศิษย์คนอื่นๆ ทำให้พวกเขาสามารถแสดงความถือดี เย่อหยิ่งออกมาได้
จากระดับการบ่มเพาะพลังขั้นที่ 5 กระดูกปลาย ใกล้จะทะลวงผ่านไปขั้นที่ 6 โลหิต จิวโมไป๋คาดเดาว่าทั้งสิบจะต้องเป็นศิษย์หลักของสำนักดาบสายฟ้าคำรณ
พวกเขาเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆของสำนัก ในยุครุ่งอรุณที่พลังธรรมชาติฟื้นฟู พวกเขาจะต้องได้รับการบ่มเพาะดูแล เลี้ยงดูอย่างดีจากสำนัก ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องไม่อ่อนแอ
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณที่ถูกพวกเขากำจัดไปก่อนหน้า ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่ตัวทดสอบ เพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสาม
จิวโมไป๋ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มแผ่วเบาจนแทบจะไม่สังเกตเห็น
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หงหยุนและหงเฟย ก็ฟื้นฟูพลังกลับมาจนเกือบสมบูรณ์ ทั้งสองลืมตาขึ้นมองออกไปเห็นศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณบนสนามประลองที่ไม่ลงมือเข้าโจมตีในเวลาที่พวกเขาฟื้นฟูพลัง ทั้งสองก็ประกบมือโค้งคำนับ ท่องอมิตาพุทธเบาๆ แสดงความชื่นชม
ชายร่างผอมสูงใบหน้าหล่อเหลาเดินออกมาจากกลุ่มของศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณ คนที่เหลือมองตามหลัง แววตาฉายความไม่พอใจ แต่ไม่มีใครร้องห้าม ชายร่างผอมสูงเดินมาหยุดยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มของจิวโมไป๋ทั้งสาม ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเต็มไปด้วยพลัง
“ฉันอิชิดะ ทาเคยูชิ ศิษย์ที่แข็งแกร่งอันดับที่ 8 ของสำนัก สิทธิ์ในการเข้าโบราณสถานในมือของพวกนาย ที่จริงแล้วจะต้องเป็นของฉัน”ทาเคยูชิหยุดพูดเล็กน้อย พลังกดดันอันแหลมคมแผ่กระจายออกจากร่างของเขาอย่างรุนแรง สายตาเต็มไปด้วยพลังกวาดมองพวกเขาก่อนจะไปหยุดที่จิวโมไป๋
“ฉันยอมรับคำสั่งของสำนักที่จะมอบสิทธิ์ให้กับพวกนาย แต่ฉันไม่ยอมที่จะมอบสิทธิ์ของฉันให้กับผู้อ่อนแอกว่าฉัน ถ้าไม่มีการท้าทายครั้งนี้ ฉันก็จะไปท้าทายพวกนายอยู่ดี”
ดวงตามองสบตากับจิวโมไป๋ นัยน์ตาหรี่เล็กลง พลังกดดันค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ จนเกิดมวลสายลมหมุนรอบร่างของเขา
“จากการต่อสู้เมื่อครู่ นายมีความแข็งแกร่งที่สุดในสามคนที่ได้สิทธิ์ไป มาต่อสู้กัน ถ้านายไม่สามารถเอาชนะฉันได้ นายก็ไม่เหมาะที่จะได้รับสิทธิ์ของฉันไป!”
ทาเคยูชิค่อยๆดึงดาบคาตานะออกจากฝักอย่างช้าๆ พลังกดดันอันแหลมคมระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เกิดสายลมกรรโชก ชุดต่อสู้สีม่วงโบกสะบัด
สภาวะดาบที่แผ่ออกมาแฝงไปด้วยวิถีดาบอันทรงพลัง ทำให้ในตอนนี้ทาเคยูชิ ราวกับสุดยอดนักดาบ
หงหยุนและหงเฟยที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของจิวโมไป๋ถูกพลังกดดันอันทรงพลังผลักไปด้านหลังหลายก้าว ใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ระดับการบ่มเพาะพลังของพวกเขาทั้งสองอยู่ขั้นที่ 5 กระดูกปลายเช่นกัน และความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลย แต่การกระทำของทาเคยูชิ ที่ใช้พลังกดดันผลักพวกเขาออกมา มันเป็นการดูแคลนพวกเขาทั้งสองอย่างมาก
หงหยุนและหงเฟยกำลังจะอ้าปากพูด ก็เกิดสายลมพัดเข้ามา ก่อนที่ร่างของศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณสองคนจะปรากฏตัวขึ้นและแยกกันขวางหน้าพวกเขาทั้งสองพร้อมกัน
ใบหน้าของหงหยุนและหงเฟยเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พวกเขาทั้งสองยกมือตั้งกระบวนท่าพร้อมต่อสู้อย่างรวดเร็ว พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างของศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณทั้งสองที่ขวางพวกเขาไม่ได้อ่อนแอ
หงหยุน หงเฟยกลืนความโกรธลง ร่างกายของพวกเขาเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา
พวกเขาถูกแยกออกจากกันไปคนละด้านของสนามประลอง กลายเป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง
ศิษย์สำนักดาบสายฟ้าคำรณอีก 7 คน ยืนดูอยู่ห่างๆไม่เข้ามาต่อสู้
—-