ตั้งแต่เล็กจนโตเสวียนเฟยไม่เคยทะเลาะกับผู้ใดมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาทำไม่ได้ เขารู้จุดอ่อนของอวี้หยางเป็นอย่างดี รู้ว่าต้องจี้จุดไหนถึงจะทำให้เขาเจ็บที่สุด
เขาเป็นคนชอบพูดยกตนข่มท่าน หากอวี้หยางต้องการแสดงท่าทีเขาจำสิ่งที่หมิงเวยพูดกับเขาก่อนหน้านี้ได้
“ฝ่าบาทต้องการราชครูแบบใดมากที่สุดท่านรู้หรือไม่”
เสวียนเฟยตอบ “คนที่สามารถช่วยพระองค์ได้งั้นหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “นั่นเป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ในฐานะราชครูแน่นอนว่าต้องมีทักษะที่แท้จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือต้องไม่ก่อปัญหา”
เสวียนเฟยนึกถึงอาจารย์ของตน ในตอนที่องค์ชายทั้งสามต่อสู้กันราชครูซูสิงไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วย ตนเองในตอนนั้นที่ยังเด็กนักเคยถามคำถามนี้ออกไป ท่านอาจารย์ตอบว่าเป็นสิทธิ์ของฮ่องเต้ที่จะตัดสินว่าผู้ใดควรจะได้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์
หลังจากนั้นเสวียนเฟยก็ค่อยๆ ตระหนักขึ้นมาได้ว่าอำนาจอยู่ในมือของฮ่องเต้ ฉะนั้นแล้วพวกเขาไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ หากไม่เรียนรู้ที่จะรู้จักหุบปากเมื่อถึงเวลาที่ควรหุบปาก และไปทำให้ฮ่องเต้เกิดความเกลียดชังเข้า
ละก็ ตนก็ไม่สามารถได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ได้
ตำแหน่งนี้ไม่เหมือนกันกับพวกขุนนางทหาร เพราะไม่มีความรับผิดชอบที่เด็ดเดี่ยว แค่ทำหน้าที่รับใช้ฮ่องเต้อย่างสมบูรณ์แบบก็พอ เจตจำนงของฮ่องเต้คือความหมายการมีอยู่ของตำแหน่งนี้
ดังนั้นคนที่สามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้จะต้องได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างสุดใจ อย่าคิดที่จะเรียนรู้จากพวกขุนนางที่กล้าโต้แย้งกันต่อหน้าฮ่องเต้ เพราะไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรทำ
แต่ในทางกลับกันเขาไม่สามารถทำตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ได้อย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นจะกลายเป็นขุนนางให้ร้าย รอบกายฝ่าบาทมีพวกคนพูดจาแยบคายฟังดูดีไม่น้อยเลย การมีอยู่เช่นนั้นจะทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจ และสร้างศัตรูอีกมากมาย
ราชครูควรดำรงอยู่เหนือข้อเท็จจริงของสังคมต้องเป็นผู้สูงส่งที่มีความสามารถและคุณธรรม ต้องมีความสามารถเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องในยามที่ฮ่องเต้สอบถามได้
ต้องมีคุณธรรมถึงจะสามารถสร้างอำนาจให้ผู้อื่นเห็นว่าตนน่าเชื่อถือ แต่ผู้ที่มีความสามารถและมีคุณธรรม อีกทั้งยังไม่ก่อเรื่องมากมายก็ทำให้ผู้อื่นพอใจมากแล้ว
การเข้าใกล้เขาไม่เพียงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดว่าตนไร้คุณธรรม แต่ตนอาจไปทำให้ผู้อื่นไม่พอใจอีกด้วย
“ท่านนักพรตเองเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้วทำตามได้ก็ดีมิใช่หรือ” หมิงเวยพูดช้าๆ “ในแง่ของความสามารถท่านแข็งแกร่งกว่าอวี้หยาง พวกเราทุกคนล้วนมองเห็นในจุดนี้ ฮ่องเต้ก็ทรงมองออกเช่นเดียวกัน แต่อีกสองเรื่องก็ควรทำให้พระองค์มองเห็นด้วยก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ”
จวินโม่หลีกลับพูดว่า “ความคิดอะไรของท่านไม่เข้าท่าเลยสักนิด ให้ไปทะเลาะกับอวี้หยางจะมีคุณธรรมได้อย่างไร อีกอย่างมันไม่เป็นการสร้างปัญหามากขึ้นกว่าเดิมหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “หนึ่ง ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดไม่ใช่การสร้างปัญหา สอง พูดในสิ่งที่ควรพูดคือคุณธรรม สิ่งเดียวที่ควรกังวลคือการทะเลาะกับเขาต้องมีท่าทางที่ใจร้อนเล็กน้อย และไม่ถึงกับหนักแน่นขนาดนั้น อย่างไรก็ตามตำแหน่งราชครูกำลังจะหลุดลอยไปอยู่แล้ว ท่านไปก่อเรื่องอย่างไรก็สูญเสียน้อยกว่าอวี้หยางอยู่แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ไปก่อกวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เสวียนเฟยเข้าใจความหมายของนางทันที “หากข้าไม่ได้ เขาก็ต้องไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าถามตนเองให้แน่ใจแต่เขาไม่”
“ถูกต้อง!” หมิงเวยดีดนิ้ว “การที่เขาพูดลับหลังเป็นลักษณะทั่วไปของคนถ่อย ขอเพียงก่อเรื่องขึ้นก็ไม่สามารถเป็นราชครูได้แล้ว หากท่านก่อเรื่องฝ่าบาทมีแนวโน้มที่จะเล่นตามกระดาน พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวซึ่งเรื่องนี้สำหรับท่านแล้วมีแต่ได้ประโยชน์”
นี่เป็นเหตุผลของการทะเลาะกันของพวกหญิงปากร้าย หากข้าไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้ อีกฝ่ายได้รับความสูญเสียมากกว่าตนถือเป็นเรื่องที่มีความสุข
เสวียนเฟยพยักหน้าช้าๆ “ฝ่าบาทเป็นผู้มีพระเมตตา ตราบใดที่จิตใจสงบก็จะรู้ว่าอวี้หยางไม่สามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้”
ดังนั้นเขาจึงหาเหตุผลไปทะเลาะกับอวี้หยาง แต่คงไม่รู้ว่าหมิงเวยแอบหัวเราะเบาๆ นางเสนอความคิดนี้ไปด้วยเหตุผลข้างต้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดนั้นนางไม่ได้บอกแก่เสวียนเฟย
หากเกิดเรื่องขึ้นฮ่องเต้ยังจะลงมือกับหยางชูอยู่หรือไม่ หากยืนยันได้ว่าอวี้หยางพูดใส่ร้าย ตราบใดที่ยังเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตา พระองค์ก็ไม่สามารถจัดการดาวมารในช่วงเวลาวิกฤตนี้ได้
…………
เสวียนเฟยตั้งใจก่อเรื่องโดยไม่หลีกเลี่ยงผู้อื่นแต่อย่างใด พวกเขาส่งเสียงทะเลาะกันนอกเรือน ตอนนี้เป็นเวลาอาหารต้องมีผู้คนสังเกตเห็นได้ในไม่ช้าแน่
เมื่อเห็นผู้คนล้อมดูมากขึ้นอวี้หยางก็ยิ่งหัวเสีย แต่เสวียนเฟยยังคงพูดจายกตนต่อไปว่า “ศิษย์พี่อวี้หยาง ท่านกล้าสาบานหรือไม่เล่า”
อวี้หยางถูกอีกฝ่ายถามกลับจนไม่สามารถถอยหนีได้จึงตอบโต้ด้วยความโกรธ “การพยากรณ์ดวงดาวของข้าได้ข้อสรุปแล้วไม่ควรรายงานให้ฝ่าบาททราบงั้นหรือ เหตุใดถึงกลายเป็นการพูดจายั่วยุไปได้”
เสวียนเฟยหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้น ท่านยอมรับหรือไม่”
“ข้ายอม…” อวี้หยางเกือบโพล่งออกไปแล้ว “ให้ข้ายอมรับอะไร เจ้าอย่ามาพูดใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!”
เสวียนเฟยพยักหน้า “ข้าใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นงั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามศิษย์พี่ หนึ่ง ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าดาวมารที่ท่านเห็นต้องเป็นบุคคลที่ท่านอนุมานไว้”
“นั่น…”
อวี้หยางไปกระตุ้นอารมณ์ของเสวียนเฟยได้อย่างไร คำถามนี้เขาไม่สามารถตอบได้อยู่แล้ว! สาวกเสวียนตูกวันทุกคนรู้ดีว่าดาวแห่งโชคชะตาไม่สามารถสอดคล้องกันได้เลยจนกว่าจะเป็นจริง
“สอง ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าตนเองไม่ได้พยากรณ์ผิดจนไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์เข้า”
“….”
“ในเมื่อสองอย่างนี้ท่านทำไม่ได้ นี่ไม่ถือว่าเป็นการพูดจายั่วยุหรอกหรือ”
“เสวียนเฟย!” อวี้หยางโกรธ “ข้าแจ้งการพยากรณ์ของตนเองแก่ฝ่าบาท ข้าพูดยืนยันเมื่อไรกัน ในแง่โหราศาสตร์ถือเป็นอนาคตที่เป็นไปได้จะกลายเป็นการยั่วยุได้อย่างไร”
“ท่านยังจะเล่นลิ้นอีก!”
“ข้าพูดความจริงจะเล่นลิ้นได้อย่างไร แต่เจ้าที่อิจฉาจนขาดสติแล้วมาพูดพล่ามเช่นนี้ ดูท่าทางของเจ้าแล้วโชคดีที่ท่านอาจารย์สนับสนุนเจ้ามาโดยตลอดไม่ต่างจากบุตร! เจ้าไม่ละอายใจต่อความไว้วางใจของท่านอาจารย์เลยหรือ”
“ข้ารู้สึกผิดต่อท่านอาจารย์แล้วท่านไม่ละอายใจเลยหรือ ไม่แข่งกันอย่างตรงไปตรงมาแต่กลับมาใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนี้กดดันข้า! ศิษย์พี่อวี้หยางคำพูดของท่านอาจารย์ท่านรับผิดชอบไหวหรือไม่”
อวี้หยางหัวเราะเสียงเย็น “ได้! ในที่สุดเจ้าก็พูดความในใจออกมาแล้ว เจ้าดูถูกข้ามาโดยตลอด คิดว่าตนเองแข็งแกร่งที่สุดข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันกับเจ้าใช่หรือไม่”
“ท่านอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!”
“เกรงว่านี่จะเป็นหัวข้อหลัก! เพราะข้ากับเจ้าแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักเจ้าถึงรับไม่ได้!”
“ท่านใส่ร้ายผู้อื่น!”
“เจ้าก็ใส่ร้ายผู้อื่นเหมือนกัน!”
เมื่อการทะเลาะกันเกี่ยวข้องกับความคับข้องใจส่วนตัวจึงยากที่จะห้ามได้ อวี้หยางที่สั่งสมความไม่พอใจมาตลอดหลายปี และในที่สุดก็มีเหตุผลที่จะพูดมันออกไปแล้ว
ทั้งสองยิ่งทะเลาะกันยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งความโกรธ และเห็นว่าพวกเขากำลังจะลงมือกัน…
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงตะโกนที่โกรธเกรี้ยวดังขึ้น ผู้อาวุโสอี้รีบเดินเข้ามา อีกฝ่ายโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก “พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรกัน! มายืนทะเลาะกันต่อหน้าศิษย์น้องมากมายเช่นนี้ พวกเจ้าละอายต่อการแข่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักหรือไม่ หากศิษย์พี่ซูสิงยังมีชีวิตอยู่ต้องโกรธพวกเจ้ามากแน่!”
เมื่อถูกสั่งสอนใส่หน้าโครมๆ ทั้งสองคนจึงมีท่าทีสงบลงเล็กน้อย
เสวียนเฟยเม้มปาก “อาจารย์อี้ เรื่องทะเลาะกันในที่สาธารณะเป็นความผิดของศิษย์เองขอรับ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องมีข้อชี้แจง”
ผู้อาวุโสอี้โกรธมาก “เจ้ายังหาเหตุผลอีก!” ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบอกให้อีกฝ่ายห้ามก่อเรื่อง แต่กลับไม่สนใจแล้วยังก่อเรื่องเสียใหญ่โตซึ่งทำให้เขาโกรธมาก
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ถ้าเรื่องไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้เข้า…
“ผู้อาวุโสอี้” เมื่อได้ยินเสียงแหลมดังขึ้นใจผู้อาวุโสอี้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เขาหันตัวกลับมาและเมื่อเห็นว่าเป็นว่านต้าเป่าก็ยิ่งตกใจ คนที่ถูกส่งมาคือว่านกงกง ฮ่องเต้ทรงพิโรธงั้นหรือ
ว่านต้าเป่าพูดขัดอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทต้องการพบท่านทั้งสองขอรับ….”
เขามองเสวียนเฟยและอวี้หยาง
……………