เช้าตรู่ของวันที่สองหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยก็มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ จากมติของเหล่าผู้อาวุโสเห็นว่าเสวียนเฟยมีทักษะเป็นที่หนึ่ง สมควรได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก
เรื่องราวได้สิ้นสุดลงแล้วจวินโม่หลีพาเสวียนเฟยไปขอบพระทัยฝ่าบาทด้วยท่าทางมีความสุข หนึ่งในชนชั้นสูงที่คุ้นเคยกับว่านต้าเป่าดึงเขาเข้ามาถามว่า
“พระราชโองการมีเท่านี้หรือ ฝ่าบาททรงมีกระแสรับสั่งอื่นอีกหรือไม่”
ว่านต้าเป่าตบหัวราวกับเพิ่งนึกได้ว่า “จริงด้วย แม่นางหมิงผู้นั้นสามารถผ่านด่านทั้งห้าในรอบเดียว ฝ่าบาทต้องการประทานรางวัลให้เพียงแต่ไม่สะดวกที่จะเขียนลงพระราชโองการจึงให้ข้าเป็นคนนำสารไปบอก แม่นางหมิง โปรดตามข้าน้อยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยขอรับ”
เอ๋ เรื่องนี้หรือ แสดงว่าเรื่องดาวมารสิ้นสุดลงแล้วหรือ ดีแล้วๆ
นายท่านจี้นำหมิงเวยออกไป “กงกง ข้าจะไปกับหลานสาวด้วยขอรับ”
ว่านต้าเป่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เชิญใต้เท้ามากับพวกเราด้วยขอรับ”
เมื่อเห็นนายท่านจี้นำหลานสาวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาททำให้หลายคนมองด้วยความอิจฉา
จี้ชูเป็นคนเช่นไร ถึงเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นซือเยว่ แต่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่โดดเด่นอะไร เดิมทีงานนี้เขาไม่สามารถเข้ามาในเขตเสวียนดูกวันได้แต่กลับได้ที่นั่งแล้วยังโชคดีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้อีก
โอ้ ทำไมตนถึงไม่มีหลานสาวที่ดีเช่นนี้บ้างนะ หลายคนมองแผ่นหลังของหมิงเวยด้วยความอิจฉา
เหวินอิ๋งแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าในมือนางพูดเสียงกระซิบ “ก็แค่หญิงชั้นต่ำ! เหตุใดถึงโชคดีเพียงนั้นได้ก็แค่บังเอิญผ่านด่านทั้งห้ามาได้ก็เท่านั้น บางทีนางอาจแค่อาศัยใบหน้านั้นเข้าเฝ้าเพื่อหลอกล่อฝ่าบาทล่ะสิ”
เมื่อพูดประโยคหลังใบหน้าของนางบูดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง
นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของไท่จื่อแต่เพราะฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้วจึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปในวังหลวง แน่นอนว่าไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย สำหรับเผยกุ้ยเฟยแล้ว นางในฐานะที่เป็นพระญาติของฮองเฮาจะไปพบกุ้ยเฟยได้อย่างไร! ได้พบกันในวันปีใหม่ก็น่าขยะแขยงพอแล้ว
เหวินหรูมองพี่สาวแล้วคิดในใจเงียบๆ ว่า เป็นไปได้หรือที่ผ่านด่านทั้งห้าได้เพราะโชคดีเห็นได้ชัดว่านางมีความสามารถจริงๆ
นางนึกถึงเรื่องในคืนนั้นอีกครั้ง
หมิงเวยช่วยชีวิตนางและให้นางค้างที่จวนตระกูลจี้หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ให้คนขับรถม้าไปส่งนางที่จวนเฉิงเอินโหวอย่างไม่ลังเล
จวนโหวโกรธมากที่นางหลบหนีออกไป เหวินหรูจึงบอกไปว่าตนเป็นห่วงพี่สามจึงออกไปตามหานางไม่ได้ไปที่อื่นเลยไปแค่ถนนแถวสระฉางเล่อ พอเห็นว่าฟ้ามืดแล้วจึงไปขอค้างที่จวนเพื่อนร่วมชั้นพอฟ้าสว่างก็รีบกลับมา
จวนโหวถามคนขับรถม้าซึ่งเขาที่ได้รับคำสั่งจากหมิงเวยมาก่อนแล้วจึงตอบในลักษณะเดียวกัน
เหวินหรูจึงรอดพ้นเรื่องหลบหนีไปได้
ตอนแรกนางรู้สึกขุ่นเคืองหมิงเวยที่ส่งนางกลับมาแบบนี้ แต่ต่อมานางก็ค่อยๆ คิดได้ นางยังจำคำพูดของหมิงเวยได้ว่าตนไม่สามารถถอนตัวออกจากจวนเฉิงเอินโหวได้แล้วจะทำอะไรได้อีกนอกจากกลับไปเท่านั้น รู้สึกไม่ยุติธรรมงั้นหรือ ก็ทำได้แค่ทนไป
อาจเป็นปัญหาทางจิตใจเพราะหลังจากเรื่องนั้นอคติที่เหวินหรูมีต่อหมิงเวยก็น้อยลงและค่อยๆ เห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง มีครั้งหนึ่งนางได้ยินเว่ยเสี่ยวอันพูดกับหมิงเวย ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกนางได้รับความช่วยเหลือจะเกี่ยวข้องกับหมิงเวยด้วย
เหวินหรูเชื่ออย่างนั้นตนเคยถูกนางช่วยเอาไว้ครั้งหนึ่งจึงมีความเชื่อใจในตัวนางอย่างบอกไม่ถูกรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่นางสามารถทำได้ แต่เรื่องนี้ตนไม่พูดต่อหน้าพี่สามแน่นอน
เมื่อก่อนนางกับพี่สามมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน แต่เมื่อถอนตัวออกมาถึงได้รู้ว่านิสัยเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นเกลียดชังมากแค่ไหน
เรื่องที่ไท่จื่อไม่ต้องการแต่งงานกับสตรีตระกูลเหวินเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว เรื่องที่ตนไม่ได้รับการช่วยเหลือไม่ต้องพูดถึง แต่การสั่งสอนที่ไม่ดีพอจะมีคุณสมบัติเป็นพระชายาได้อย่างไรกัน
ตอนนี้นางรู้สึกขอบคุณตนเองเพราะแบกรับเรื่องของพี่สามแทนนางจึงมีชื่อเสียงที่ไม่ดี จนตอนนี้ครอบครัวไม่เคยพูดเรื่องออกเรือนกับตนเลย สองสามปีหลังจากนี้จะหาบัณฑิตฐานะต่ำต้อยกว่า หรือครอบครัวขุนนางต่างเมืองให้กับนางจะฐานะสูงหรือต่ำหากออกเรือนไป บางทีตนอาจจะมีชีวิตที่สดใสกว่านี้ก็เป็นได้
…………
ทางด้านหมิงเวยก็ถูกเรียกเข้าพบอย่างรวดเร็ว นายท่านจี้เดินนำหมิงเวยเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วถวายบังคมด้วยความตื่นเต้น
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ครั้งแรกเป็นตอนที่เขาสอบเข้ารับราชการผ่านซึ่งได้ถวายพระพรท่ามกลางบรรดาขุนนางใหม่
หลังจากนั้นแม้ว่าเขาจะอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็เป็นเพียงแค่ขุนนางเล็กๆ ไม่มีโอกาสได้เข้าพบฮ่องเต้ ผู้ใดจะคิดว่าครั้งที่สองที่ได้เข้าเฝ้าเป็นการอาศัยโชคของหลานสาวกัน
ฮ่องเต้ทรงมีพระชนมพรรษามากขึ้นแต่พระเมตตายังทรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงพระองค์ตรัสว่า “ลุกขึ้นเถอะ เจ้าคือจี้ชูใช่หรือไม่ได้ยินว่าเจ้าทำงานได้ดีเลยทีเดียว”
นายท่านจี้รู้สึกประหม่ามากจนพูดไม่ได้เขาตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “กระหม่อมมีความสามารถเพียงน้อยนิดจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือ มีความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ธรรมเนียมตระกูลจี้นี่ดีจริงๆ เจิ้นเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ที่แท้สอนน้องสาวมาดีหลานสาวจึงได้รับการสั่งสอนที่ดีตามไปด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่าน้องสาวดวงตาของนายท่านจี้ก็แดงก่ำ น้องสาวของเขาเสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม แต่โชคดีที่ทุกคนได้รับรู้ถึงความผิดที่ถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมของนาง ฮ่องเต้ให้กำลังใจเขาไม่กี่คำก็ให้เขาไปรออยู่ด้านข้าง จากนั้นก็พูดคุยกับหมิงเวย
“เจ้ารู้เคล็ดวิชางั้นหรือ”
หมิงเวยก้มหน้าและตอบด้วยความนอบน้อม “หม่อมฉันรู้เพียงเล็กน้อยเพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะอีกครั้ง “ช่างเหมือนกับลุงของเจ้า เจิ้นได้ยินว่าเจ้าได้พบเทพธิดาและได้เรียนรู้เคล็ดวิชาอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ ต้องขอบคุณท่านแม่ของหม่อมฉัน”
ฮ่องเต้ไม่สงสัยอะไรในเมื่อโลกนี้มีเคล็ดวิชา การได้พบเทพก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรก็แค่เป็นเรื่องหายากเท่านั้น
พระองค์ถามผู้อาวุโสอี้ “การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนัก พวกท่านได้ข้อสรุปแล้ว แม่นางหมิงผู้นี้เองก็ผ่านด่านทดสอบทั้งห้าเช่นกันพวกท่านประเมินความเห็นว่าอย่างไร”
ผู้อาวุโสอี้ก้าวออกมาตอบด้วยความนอบน้อม “ทูลฝ่าบาทจากการพยากรณ์ดวงดาวเมื่อคืนนี้ กระหม่อมตรวจสอบแล้วว่าผลการพยากรณ์ดูดาวของแม่นางหมิงนั้นถูกต้องมีดาวสังหารอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเวลาที่เกิดภัยพิบัติก็แม่นยำเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นการพยากรณ์โชคชะตาแผ่นดินของนางก็ดีไม่แพ้ผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนเลย”
ผู้อาวุโสอี้ชะงักเขาตอบอย่างมีชั้นเชิงว่า “ทั้งสองคนไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่แม่นางหมิงพยากรณ์ได้คือดาวสังหาร แต่สิ่งที่เสวียนเฟยพยากรณ์ได้คือดาวมาร”
ในแง่ของความแม่นยำแน่นอนว่าหมิงเวยเป็นผู้ชนะ แต่อย่างไรก็ตามเสวียนตูกวันต้องการรักษาหน้าตาของตนเองเอาไว้ เสวียนเฟยต้องสืบทอดเป็นเจ้าสำนัก เป็นราชครูในอนาคตจึงไม่สามารถพูดได้ว่าเขาด้อยกว่าเด็กสาวคนหนึ่งได้
ฮ่องเต้เข้าใจดีพระองค์ไม่คิดเปิดเผยอะไร พระองค์กล่าวว่า “เอาล่ะ ตามที่พวกเจ้าว่ามาเจิ้นกับกุ้ยเฟยควรมอบอะไรให้นางเป็นรางวัลดี”
ผู้อาวุโสอี้รีบตอบไปว่า “ไม้บรรเทาจิตใจของกุ้ยเฟยสมควรเป็นของแม่นางหมิงขอรับ”
“อ้อ” ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ในเมื่อนางไม่ได้พ่ายแพ้แก่เสวียนเฟย เสวียนเฟยได้ตำแหน่งเจ้าสำนักแล้วดอกถานเชิงไม่ควรเป็นของนางหรอกหรือ”
ผู้อาวุโสอี้จะเห็นด้วยได้อย่างไรเขาตอบด้วยรอยยิ้มไปว่า “ทูลฝ่าบาท ดอกถานเชิงดอกนั้นเป็นดอกไม้ของราชครูซูสิงก็ควรกลับไปอยู่ในมือของลูกศิษย์อย่างเสวียนเฟย แน่นอนว่าเสวียนตูกวันไม่ยอมให้แม่นางหมิงเสียเปรียบไม้บรรเทาจิตใจนี้มอบให้แม่นางหมิง ทางเราก็จะมอบดอกถานเชิงให้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้องั้นก็…” ฮ่องเต้กำลังจะอนุญาตพระองค์เองก็คิดว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสอี้กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล ในอนาคตเสวียนเฟยจะต้องรับตำแหน่งราชครูซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องรับใช้เขา ดอกถานเชิงที่ดีที่สุดไม่มอบให้แก่เขาแล้วจะมอบให้แก่ใครกัน
ผู้ใดจะรู้ว่ามีเสียงดังขึ้นโดยไม่คาดคิด “ฝ่าบาท!”
เป็นเสวียนเฟยที่เดินเข้ามาเขาโค้งกายและกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท แม่นางหมิงมีความสามารถในเคล็ดวิชาที่เป็นเลิศ กระหม่อมยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความจริงใจ ดอกถานเชิงดอกนี้ควรมอบให้แก่นางพ่ะย่ะค่ะ”
…………