เสวียนเฟย “….” นี่เขาไม่ได้ถูกลวนลามอยู่ใช่หรือไม่
ทางด้านหมิงเวยหุบยิ้มแล้วถามอย่างจริงจัง “ข้าออกจากเสวียนตูกวันแล้ว ท่านไม่ควรโล่งใจหรอกหรือ เหตุใดถึงเรียกข้ามาหรือว่า…คิดถึงข้าจริงๆ”
เสวียนเฟยจิตใจแห้งเหี่ยวครึ่งแรกฟังดูจริงจัง แต่เหตุใดประโยคหลังถึง…
เขาตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ท่านอย่าพูดจาบ่ายเบี่ยงข้าเรียกท่านมาเพื่อยุติเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ”
หมิงเวยยอมรับการตัดสินใจ “ท่านเจ้าสำนักว่าอย่างไรก็ทำตามนั้น ท่านต้องการจบอย่างไร”
เสวียนเฟยถาม “เรื่องดาวตี้ชิงท่านคิดจะทำอย่างไร”
หมิงเวยตอบด้วยความประหลาดใจ “ข้าปิดบังทุกอย่างแล้วท่านนักพรตคิดจะทำอะไรอีก”
“ท่าน…” เสวียนเฟยตกใจ “ไม่เตรียมการอะไรเลยหรือ”
“ต้องทำอะไร อ้อ!” หมิงเวยตระหนักได้ทันทีว่า “ท่านกลัวว่าสักวันตนเองจะกลายเป็นดาวมารจึงวางแผนที่จะตามหาดาวตี้ชิงเพื่อหาหนทางให้ตนเอง นี่เป็นความคิดที่ดี…”
“พอแล้ว!”
เสวียนเฟยพูดขัดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ก่อนหน้านี้ใครกันที่บอกกับข้าว่าสิ่งที่เสวียนตูกวันต้องปกป้องคือโชคชะตาของแผ่นดิน ไม่ใช่บัลลังก์ของใครบางคน ท่านยังบอกข้าอีกว่าแผ่นดินต้าฉีเต็มไปด้วยอันตรายและจำเป็นต้องวางแผนที่ดีเพื่ออนาคตที่สดใส แล้วใครกันที่บอกว่าค้นหาดาวตี้ชิงที่ซ่อนอยู่เพื่อควบคุมสถานการณ์ตอนนี้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่ออะไร!”
หมิงเวยประหลาดใจ “ท่านฟังคำพูดพวกนั้นของข้าด้วยหรือ”
เสวียนเฟยแค่นหัวเราะ
เขาจะไม่ฟังได้อย่างไร เมื่อคืนเขายังไม่ได้หลับตาลงเลย ไม่ใช่ว่ากังวลไม่ได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ฮ่องเต้เรียกพบเขาแต่ไม่ได้เรียกอวี้หยาง แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วสิ่งที่เขานึกถึงคือคำพูดผิดศีลธรรมของนาง!
เขาคิดถึงคำเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งคืนเขานอนไม่หลับจนต้องลุกขึ้นหยิบบันทึกการเดินทางของตนเองออกมาอ่าน
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเขาได้เดินทางไปทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่ในต้าฉี แต่ยังรวมถึงแคว้นฉู่ใต้ด้วย และเขาก็เคยไปเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วย
เพียงแต่เขาไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อน และตอนนี้เขาฟังคำพูดของนาง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบบันทึกการเดินทาง เขารู้สึกประหลาดใจที่คำพูดของนางมีแนวโน้มว่าจะเป็นความจริงมากที่สุด
เดิมทีแคว้นหนานฉู่เป็นแคว้นของขุนนางเก่าในราชวงศ์ก่อน ก่อตั้งมานานหลายสิบปี บางทีอาจเป็นเพราะกรรมถึงดูแลขุนนางไม่ทั่วถึง ตระกูลถังเอามือปิดฟ้า[1] เหล่าประชาชนรู้เพียงแค่ว่ามีถังกง แต่ไม่รู้ว่ามีฮ่องเต้แคว้นฉู่
ตอนแรกเสวียนเฟยคิดว่าตระกูลถังจะแย่งชิงบัลลังก์เช่นเดียวกับราชวงศ์ฉู่ใต้ในตอนนี้ที่แย่งชิงบัลลังก์มาจากเจ้านายคนเก่า
หากตระกูลถังทำเช่นนั้นจริงๆ จะต้องไปสำรวจแดนเหนือ ถังกงที่ตอนนี้เป็นหัวหน้าตระกูลถังนั้นแข็งแกร่งมาก และต้องมีรุ่นหลานที่มีความสามารถปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นแน่ อย่างถังลั่วที่เป็นถึงกำลังทหารคนสำคัญ ถังซีที่มีชื่อเสียงกว้างไกลแล้วยังมีถังเช่าที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น
เสวียนเฟยเคยพบกับถังเช่าเขามีความทะเยอทะยานมากกว่าพ่อและปู่ของเขา…
และเมื่อเขาผ่านเมืองเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขาก็เห็นด้วยตาของตัวเขาเองว่าพวกหูเหรินดุร้ายแค่ไหน
บางครั้งพวกเขามาที่ชายแดนต้าฉีเพื่อปล้นสะดมประชาชน ทุกครั้งทหารอารักขาต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเอาเปรียบพวกเราได้
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือพวกหูเหรินรวมตัวกันได้ยินมาว่าพวกเขาโจมตีกันเองและมีหลายเผ่ารวมกันแล้ว ถ้าวันหนึ่งพวกหูเหรินบนทุ่งหญ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว แผ่นดินต้าฉีในเวลานั้นจะสามารถปกป้องพรมแดนได้หรือไม่ บันทึกการเดินทางของเขากลายเป็นเครื่องมือตรวจสอบที่ดีที่สุดและพิสูจน์ความถูกต้องของนาง
พอรุ่งสาง เสวียนเฟยจึงตัดสินใจ
เขาต้องการแน่ใจว่านางมีแผนอะไรกันแน่ และอนาคตอันมืดมนนี้จะมีทางแก้ไขหรือไม่ เพราะฉะนัั้นเขาจึงมาเผชิญหน้ากับหมิงเวยก่อนที่นางจะจากไป และเขาต้องได้รับคำตอบ
“ท่านคิดจะทำอย่างไรกันแน่” เสวียนเฟยจำไม่ได้แล้วว่าเขาถามประโยคนี้กี่ครั้ง
ทุกครั้งที่ถามประโยคนี้ความหมายก็ต่างกัน
ครั้งแรกเขาถามเพราะอยากรู้เหตุใดนางถึงเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ ครั้งที่สองเขาถามเพราะอยากรู้ว่าเหตุใดนางจึงซ่อนการมีอยู่ของดาวตี้ชิงอีกดวง และครั้งที่สามนี้ เขาต้องการค้นหาว่าเจตนาของนางคืออะไร
สำหรับแผ่นดินต้าฉี สำหรับใต้หล้า มีแผนอะไรกันแน่!
“ไม่ต้องหลอกข้า ท่านรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” เขาพูดอีกครั้ง
ภายใต้การจ้องมองของเขา รอยยิ้มของหมิงเวยค่อยๆ หายไป แววตาของนางค่อยๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน
“ท่านอยากฟังงั้นหรือ”
เสวียนเฟยพยักหน้า “ข้าแนะนำให้ท่านคิดใหม่อีกครั้ง หากฟังแล้วไม่สามารถมองย้อนกลับไปได้นะเจ้าคะ”
เสวียนเฟยตอบ “ท่านคิดว่าข้าสามารถย้อนกลับไปได้งั้นหรือ ท่านทำเรื่องพวกนี้ คิดว่าเมฆลอยข้ามทะเลสาบโดยไม่ทิ้งร่องรอย แต่ท่านทิ้งเงาเอาไว้จะให้ผู้อื่นละเลยได้อย่างไร”
“….” หมิงเวยหัวเราะเบาๆ แล้วขอโทษด้วยความจริงใจ “ขอโทษเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ต้องการคำขอโทษ หากอยากขอโทษจริงๆ ก็ช่วยชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วย”
หมิงเวยคิดแล้วถามเขา “ท่านต้องการให้แคว้นต้าฉีแข็งแกร่ง แผ่นดินมั่นคงงั้นหรือ”
“แน่นอน” เสวียนเฟยตอบอย่างไม่ลังเล
หมิงเวยเลิกคิ้ว “จากใจจริง”
“จากใจจริง” หมิงเวยเห็นความจริงจังในดวงตาของเขา
หมิงเวยหัวเราะในใจ นางไม่สามารถสลัดภาพจำในชาติก่อนได้ จอมมารเสวียนเฟยตอนนี้ยังคงปกป้องแผ่นดินฉีเหนืออย่างสุดหัวใจ อาจมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจเดิมหรือไม่ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงนี้จะมาถึงนางไม่ควรมองเขาเป็นบุคคลเดียวกันกับชาติที่แล้ว บางทีมันอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชาตินี้ บางทีเขาอาจจะไม่กลายเป็นจอมมาร
หมิงเวยตัดสินใจอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้โลกสงบสุขร่มเย็น”
“….”
“ทำไม ท่านไม่เชื่องั้นหรือ” หมิงเวยเลิกคิ้ว
เสวียนเฟยมองนางอย่างตั้งใจและพูดว่า “ข้าต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว เป้าหมายของท่านดูไม่เห็นแก่ตัวก็จริง แต่ก่อนหน้าท่านกระตุ้นให้ข้าทะเลาะกับอวี้หยาง เหตุผลท่านก็ไม่ได้สูงส่งขนาดนั้นเพราะท่านต้องการช่วยให้คนผู้นั้นปลีกตัวออกไป”
หมิงเวยหัวเราะออกมา “ท่านมองออกจริงๆ ด้วย”
เสวียนเฟยแค่นหัวเราะ “เรื่องนี้จบลงแล้วข้าจะไม่โต้เถียงกับท่าน แต่ที่ท่านพูดมาเมื่อครู่อาจจะจริงบ้าง แต่ถ้าข้าเชื่อท่านทั้งหมดก็โง่เต็มที ช่างมันเถอะ ท่านจะไม่บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น”
“จริงหรือ” หมิงเวยยิ้ม
สีหน้าเสวียนเฟยดูขุ่นเคือง “ฟังให้ดี ดอกถานเชิงท่านได้ไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นอันจบไป ไม่ว่าเหตุผลของท่านในการปกปิดดาวตี้ชิงจะสูงส่งจริงหรือไม่ แต่ข้าจะจับตาดูท่าน ตราบใดที่ท่านเผยข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ข้าจะไม่ลังเลที่จะเป็นศัตรูกับท่านอย่างแน่นอน!”
หมิงเวยรู้สึกน่าสนใจ “ท่านทำเพื่อปกป้องแผ่นดินต้าฉี และเป็นศัตรูกับข้าอย่างนั้นหรือ”
เสวียนเฟยมีสีหน้าเย็นชา “หากท่านไม่ทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อโชคชะตาแผ่นดิน ข้าไม่สนใจอยู่แล้ว”
หมิงเวยทอดถอนใจในใจแล้วพยักหน้า “ได้ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
น่าสนใจจริงๆ จอมมารเสวียนเฟยที่ทำลายราชวงศ์ฉีเหนือขู่นางเพื่อปกป้องแผ่นดิน
“แต่” นางพูดอีกว่า “หากวันหนึ่งท่านเชื่อขึ้นมา ท่านสามารถมาหาข้าได้ อย่างไรเสียข้าก็เก่งกาจกว่าท่าน!”
…………..
[1] เอามือปิดฟ้า : อาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังอำพรางมวลชน