เทียนสิบกว่าเล่มช่วยให้ภายในห้องสว่างไสวขึ้น ภายในห้องทั้งสามคนนั่งอยู่กันคนละมุม
“ที่นี่ปลอดภัยหรือไม่” หนิงซิวถาม
หยางชูแค่นหัวเราะไม่ตอบอะไร
หมิงเวยพูด “อาจารย์คิดว่าตนเองจะเข้ามาก็เข้ามาได้ปกติงั้นหรือ องครักษ์ประมาทเลินเล่อขนาดนั้นเชียว”
หนิงซิวหมายถึงเรื่องนี้
“วางใจเถอะ ด้วยบุคลิกที่ดูไม่ปลอดภัยของเขาหากเกิดอะไรขึ้นก็แค่วิ่งมาที่นี่ถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว ท่านสามารถเข้ามาได้โดยไม่มีอะไรขวางหมายความว่าท่านคือคนที่เขาไว้ใจ”
หนิงซิวมองหยางชู หยางชูถูกอีกฝ่ายมองก็รู้สึกอึดอัดเขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอยากพูดหรือ”
หนิงซิวยิ้มความเหนื่อยจากการทำงานหนักหลายวันนี้หายไปชั่วพริบตา
เด็กคนนี้ปากบอกไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์พี่แต่ที่แท้เชื่อมั่นเต็มหัวใจแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เสียแรงที่เดินทางไกลหลายพันลี้มาที่หยุนจิงเพื่อเขา
เขาพูดเข้าเรื่อง “พวกเจ้าบอกว่าการเสียชีวิตขององค์หญิงใหญ่น่าสงสัย ข้าจึงไปตรวจสอบและก็พบเรื่องหนึ่ง”
ทั้งสองมองหน้าเขาพร้อมกัน
หนิงซิวพูด “บ่าวรับใช้ที่รับใช้องค์หญิงใหญ่เกือบทุกคนไม่อยู่แล้ว”
หยางชูเลิกคิ้ว “เรื่องนี้ท่านลุงก็เคยบอกข้าว่าพวกเขาติดตามท่านปู่ท่านย่ามาหลายปี บางคนท่านลุงมอบของตอบแทนให้มากมาย และให้พวกเขากลับบ้านไป บางคนผลักดันให้ไปเป็นทหารเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างผลงาน ส่วนคนอื่นก็ติดตามข้ามาและตอนนี้ก็ยังอยู่ที่จวน”
“เรื่องนี้ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร” หนิงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่รอบตัวท่านย่าของเจ้ามีบ่าวกี่คนบ่าวรับใช้คนเฒ่าคนแก่ตอนนี้ยังหาไม่พบ” เรื่องนี้หยางชูไม่ได้เอะใจ
องค์หญิงใหญ่และนายท่านผู้เฒ่าต่างก็ต่อสู้กันในสนามรบมีคนแปลกหน้ามากมายอยู่รอบตัวพวกเขา พูดได้ว่าคนพวกนี้เป็นเส้นสนกลในของจวนโหว
พวกเขาเสียชีวิตไปไม่กี่ปีก่อนคนเหล่านี้จึงถูกแจกจ่ายมาให้ลูกหลาน ภายในจวนมีเพียงหยางชูคนเดียวที่เป็นวรยุทธ์จึงมอบคนให้แก่เขาซะส่วนใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่สังเกตเห็นปัญหาใดๆ กับคนรับใช้เหล่านี้
ทุกคนสามารถทำงานประจำวันได้มีบ่าวคนไหนสำคัญกัน
“สาวใช้คนแก่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เป็นคนที่รู้จักชีวิตประจำวันขององค์หญิงใหญ่ดีที่สุดถ้าเกิดปัญหาอะไรพวกนางก็ต้องรู้แน่นอน”
“อาจารย์” หมิงเวยถาม “ท่านพูดเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่”
หนิงซิวพยักหน้า “ข้าเริ่มจากเรือนพักที่องค์หญิงใหญ่ใช้เป็นที่พักฟื้น ที่นั่นห่างไกลจากเมืองหลวงไม่สะอาดเท่าจวนโหว หญิงชราที่ข้าพบล่าสุดทำงานที่เรือนพักมาหลายปีมีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับบ่าวรับใช้ ข้าไปเปิดปากนางจึงรู้เรื่องหนึ่งเข้า” ทั้งสองคนกลั้นลมหายใจและมองหนิงซิว
หนิงซิวพูดต่อไปว่า “องค์หญิงใหญ่มักจะไปพักฟื้นที่เรือนพัก นางบอกว่าสามเดือนก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์จากโรคภัย ครั้งสุดท้ายที่พระองค์เสด็จมาที่เรือนพัก เคยมีแขกท่านหนึ่งมาเยี่ยมเยียน”
“แขกคนไหน” หยางชูอดไม่ได้ที่จะถาม
หนิงซิวตอบ “แขกคนนั้นไม่ได้แจ้งสถานะ แต่เมื่อเขามาที่เรือนพัก องค์หญิงใหญ่กับนายท่านผู้เฒ่าก็เรียกเข้าพบ พวกเขาอยู่ด้วยกันในห้องเป็นเวลานาน จากนั้นนายท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนไปส่งเขาด้วยตนเอง”
เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็กลับไปที่เมืองหลวง ไม่นานพระองค์ก็ประชวรเรื่องราวหลังจากนั้นพวกเจ้าก็รู้ดี” องค์หญิงใหญ่ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ไป
หยางชูสูดหายใจเข้าลึกๆ “แขกคนนั้นเป็นกุญแจสำคัญจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน”
หมิงเวยถาม “ด้วยฐานะขององค์หญิงใหญ่และนายท่านผู้เฒ่า หวงเฉิงซือน่าจะมีข้อมูลของพวกเขาไม่ใช่หรือ”
หยางชูเข้าใจความหมายของนางหน้าที่ของหวงเฉิงซือมีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกไม่ต้องพูดถึงคือการส่งสายลับไปยังแคว้นอื่นและนี่เป็นความรับผิดชอบอีกจุดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหยางชู ส่วนภายในนอกจากคดีการก่อกบฏของฉีตงจวิ้นอ๋องแล้วยังมีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนด้วย
องค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋วหลิงโหวบุคคลระดับนี้แน่นอนว่าอยู่ในรายการที่ต้องตรวจสอบ หวงเฉิงซือต้องมีข้อมูลของพวกเขาอยู่แล้ว
หยางชูตอบ “หวงเฉิงซือนอกจากเป็นผู้บัญชาการหวงเฉิงซือในนามแล้ว หน้าที่รับผิดชอบหลักๆ เป็นของผู้ชี้แนะทั้งสาม ความรับผิดชอบหลักของข้าคือการสอดแนมข่าวกรอง และการเฝ้าติดตามรายวันจะเป็นหน้าที่ของผู้ชี้แนะอีกคน ซึ่งข้อมูลจะอยู่ในมือของเขา”
“ท่านสามารถขอดูได้หรือไม่”
หยางชูลังเล “เรื่องนั้น…”
หมิงเวยคิดแล้วพูดว่า “ที่ข้าถามเช่นนั้นหากท่านสามารดูได้ก็ดี แต่ถ้าจะมีปัญหาก็ไม่ต้องสนใจ ตำแหน่งของท่านค่อนข้างอ่อนไหว หากท่านทำผิดพลาดก็จะสูญเสียความไว้ใจจากฝ่าบาทหลังจากนี้จะลำบากได้”
หยางชูแปลกใจ “ข้าไม่ทำอย่างอื่นอยู่แล้วก็แค่ขอดูข้อมูล ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางจะสูญเสียความไว้วางใจได้อย่างไร”
หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่ต้องทำหรอก” สายตาของหมิงเวยและหนิงซิวสบตากันในช่วงเวลาอันสั้นทั้งสองคนเข้าใจได้ทันที
วันนั้นหลังเขาที่เสวียนตูกวันพวกเขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดคุยกับหยางชูด้วยรู้ว่าชาติกำเนิดของเขาต่างออกไป หากการคาดเดาของพวกเขาเป็นจริง ความรู้สึกของฮ่องเต้ที่มีต่อหยางชูมีความซับซ้อน การให้เขาดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นนั้น หมายความว่าเบื้องหลังของเขาควรแก่การระมัดระวัง หากพระองค์จับได้ว่าหยางชูมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยผลที่ตามมาไม่อาจคาดเดาได้
อย่างไรก็ตามคำพูดพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดกับหยางชูในตอนนี้
หากพูดออกไปเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะนิ่งเงียบเมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นมาและฮ่องเต้ทรงพิโรธชีวิตของเขาจะจบลงจริงๆ
“ศิษย์น้อง เจ้าฟังนางเถอะ”
หยางชูมองคนนั้นคนนี้แล้วหัวเราะเสียงเย็น “พวกท่านคุยอะไรลับหลังข้าหรือเปล่าความลับของเรื่องนี้คืออะไร”
“จะคุยอะไรกันเจ้าอย่าใช้คำในทางที่ผิด” หนิงซิวพูดเสียงเคร่งขรึม “ข้าแค่เห็นด้วยกับสิ่งที่แม่นางหมิงพูด หากฝ่าบาททราบว่าเจ้ากำลังสืบเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงใหญ่ พระองค์จะคิดอย่างไร เราไม่มีหลักฐานใดๆ ในตอนนี้ หากเกิดปัญหาขึ้นมาคงไม่เป็นผลดีต่อใคร”
ที่พูดมาก็มีเหตุผล…
หยางชูปล่อยมันไปชั่วครู่แล้วพูดว่า “ข้าจะไปคิดวิธีดูในเรื่องการตรวจสอบรายวัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นอำนาจของหวงเฉิงซืออยู่ในมือของข้าเป็นหลัก หากทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็พอทำได้ ข้าจะกลับไปคิดหาวิธีขอดูเอกสาร หากมันยุ่งยากจริงๆ จะเลิกความคิดนี้ไปแค่นี้ได้หรือไม่”
อีกสองคนพยักหน้า
หยางชูถามเขาอีกว่า “ไม่มีเบาะแสอื่นเกี่ยวกับสถานะของคนผู้นั้นเลยหรือ”
“มี” หนิงซิวพูด “ตอนที่คนผู้นี้ขอเข้าพบ เขามอบของสิ่งหนึ่งเป็นหลักฐานยืนยัน ของสิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายตราประทับส่วนตัว ตราประทับรูปสัตว์นี้ค่อนข้างพิเศษ ข้าวาดมันตามคำอธิบายของบ่าวรับใช้เก่า”
หนิงซิวพูดพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา
หมิงเวยและหยางชูเอนกายเข้าไปดู
“อาจารย์ ทักษะการวาดรูปของท่านแย่มากเจ้าค่ะ!” หมิงเวยพูด
หยางชูพยักหน้า “น่าเกลียดไปหน่อย”
หนิงซิวพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าเรียนกู่ฉินไม่ได้เรียนเขียนภาพถ้าไม่พอใจพวกเจ้าก็วาดเองเถอะ”
หมิงเวยยิ้มตาหยี “บังเอิญจริง ข้าเองก็วาดไม่ได้ อาจารย์เองก็ทราบดีว่าในบรรดาวิชาเลือกข้าไม่กล้าเลือกวิชาจิตรกร”
หยางชูพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าวาดได้น่าเกลียดกว่า”
……………