สิบปีแล้วที่ไม่มีการจัดเทศกาลชิวเลี่ย พื้นที่ล่าสัตว์ในเขตชานเมืองทางตะวันตกนั้นจึงยิ่งอุดมสมบูรณ์ หมิงเวยเห็นกระต่ายอ้วนวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่กลัวผู้ใดเลย
นางพยักหน้า แคว้นเป่ยฉีในตอนนี้การดูแลบริหารยังชัดเจน สถานที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์คนนอกไม่สามารถเข้าได้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่โปรดการล่าสัตว์ ระยะเวลาสิบปีที่หายไป หากเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลจะหาประโยชน์เข้าตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อเห็นเหยื่อมากมายวิ่งเต็มภูเขาแสดงว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีการหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองแม้แต่น้อย
ตอนนี้ฮ่องเต้รู้สึกมีความสุขมาก
กระโจมที่สร้างขึ้นชั่วคราวไม่ใช่หน้าที่ของเขา เมื่อมาถึงที่นี่พระองค์ก็พากุ้ยเฟยและฮุ่ยเฟยไปชมทิวทัศน์
สิ่งที่หมิงเวยเห็นแน่นอนว่าพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นเช่นกันพระองค์ยิ้มให้สนมทั้งสอง “ดี! พื้นที่ล่าสัตว์ได้รับการดูแลอย่างดีสมควรได้รับรางวัล!”
เผยกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม “สัตว์มากมายเพียงนี้ ฝ่าบาทอยากลงสนามด้วยตัวพระองค์เองหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะพระองค์โบกพระหัตถ์ “เจิ้นไม่เคยร่ำเรียนวรยุทธ์ หากยืนยิงธนูพอไหวอยู่ แต่ให้ขี่ม้าไปด้วยคงไม่ไหวเทียบพี่น้องคนอื่นไม่ได้หรอก”
เมื่อพูดประโยคนี้จบแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกใจ พี่น้องคนอื่นแน่นอนว่าหมายถึงซือฮว๋ายไท่จื่อและองค์ชายคนอื่นๆ
ฮ่องเต้ถือกำเนิดช้าพวกเขามีพระชนมายุมากกว่าพระองค์หลายสิบปี จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ยังเด็กตอนที่พี่น้องหลายคนมีจิตใจที่กระฉับกระเฉงฮึกเหิมนั้น พวกเขาแต่ละคนยามขี่ม้าก็สู้รบได้ เมื่อลงจากม้าก็สามารถว่าราชการได้ ในใจลึกๆ แล้วพระองค์รู้สึกอิจฉา รู้สึกว่าตนในฐานะน้องชายยังห่างชั้นจากพี่ๆ อยู่มาก พวกขุนนางเองก็คิดว่าบุตรของฮ่องเต้ไท่จู่เกิดมาเพียบพร้อม ฉีเหนือจะสามารถรวมแผ่นดินได้ในไม่ช้าแน่
ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากนั้นเหล่าองค์ชายมากความสามารถพวกนั้นจะถูกกำจัดทิ้งหมด
ฮ่องเต้ทราบดีว่าตนด้อยกว่าพี่ชายเมื่อขึ้นครองราชย์พระองค์ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่นึกถึงพระองค์จะรู้สึกว่าบัลลังก์ที่ตนได้มานั้นเป็นเพราะโชคดี รู้สึกว่าตนไม่ใช่ฮ่องเต้ที่แท้จริง
ณ ตอนนี้พระองค์พูดออกไปอย่างรวดเร็วยังรู้สึกแปลกๆ ในใจ พระองค์คิดว่าหากตอนนั้นไม่เกิดเรื่องขึ้นคนที่ควรนำเหล่าขุนนางในเทศกาลชิวเลี่ยในตอนนี้คงเป็นพี่ใหญ่ใช่หรือไม่ สิบแปดปีแล้ว หากพี่ใหญ่ยังอยู่ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจรวมแคว้นฉู่ใต้เข้าด้วยกันได้ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญ
เผยกุ้ยเฟยเห็นสีหน้าของเขาก็ครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มออกมา “แล้วอย่างไรเพคะ พื้นที่ล่าสัตว์นี้เป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของฝ่าบาท เหล่าขุนนางก็เป็นขุนนางของฝ่าบาท สัตว์ที่พวกเขาล่าก็เป็นของฝ่าบาท พระองค์คือฮ่องเต้จำเป็นต้องลงสนามด้วยตนเองหรือ ในเมื่อก็มีขุนนางส่งมอบให้ต่อหน้าพระพักตร์อยู่แล้ว”
ฮ่องเต้ได้ยินก็รู้สึกดีขึ้นพระองค์มองเผยกุ้ยเฟยด้วยรอยยิ้ม “สนมรักรู้จักเล่นลิ้นตั้งแต่เมื่อไรกันประจบจนเจิ้นรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย”
กุ้ยเฟยหัวเราะ “หม่อมฉันประจบประแจงอะไรกันเพคะ หม่อมฉันแค่คนขี้เกียจคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนจัดการอาหารให้โดยไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง พูดแล้วก็นึกขึ้นได้มื้อเย็นนี้ทานอะไรดี ฮุ่ยเฟยเจี่ยเจียท่านอยากทานอะไรหรือไม่”
ฮุ่ยเฟยที่ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งเป็นแค่ภรรยาจากที่ประทับฮ่องเต้ก่อนขึ้นครองราชย์ซึ่งอายุน้อยกว่าฮ่องเต้เล็กน้อย แม้นางจะได้รับการดูแลอย่างดีแต่ก็สามารถคาดเดาอายุของนางได้ นอกจากนี้รูปลักษณ์ของนางก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษ เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเผยกุ้ยเฟยราวกับนางอายุมากกว่าอีกฝ่ายหลายสิบปี เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นข้อด้อยได้อย่างชัดเจน
นางยิ้มอย่างจริงใจและพูดว่า “ข้าเพิ่งเห็นกระต่ายวิ่งผ่านมาเลยอยากกินเนื้อกระต่ายย่าง เหม่ยต้าจากห้องเครื่องย่างเนื้อเป็นที่หนึ่งข้าจะให้เขาย่างให้ทาน”
เผยกุ้ยเฟยตอบ “เจี่ยเจียพูดเช่นนั้นน้องเองก็ตะกละเช่นนั้น ฝ่าบาทว่าอย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นเอาตามที่ฮุ่ยเฟยว่ามาเถอะ” แล้วก็เรียกว่านต้าเป่า “ให้คนไปล่ากระต่ายมามีอาหารอะไรดีๆ ก็เอามาด้วย วันเกิดฮุ่ยเฟยแต่กลับไม่มีงานเลี้ยงวัดเกิด เจิ้นรู้สึกผิดต่อนางจริงๆ ปรนนิบัตินางให้ดี หากสะเพร่าขึ้นมาล่ะก็เจิ้นไม่ให้อภัยแน่!”
ว่านต้าเป่ารับคำ “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะไปเลือกด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบว่านต้าเป่าก็เดินออกไป
เขาเดินไปคิดไปฝ่าบาทรู้สึกผิดต่อฮุ่ยเฟย! ฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนอยู่เป็น ทุกคนต่างบอกว่าฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียงต้องการออกมาข้างนอก ดังนั้นงานเลี้ยงวันเกิดจึงกลายเป็นงานล่าสัตว์ อันที่จริงเป็นกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่คิดขึ้นมา นางออกมาเสวียนตูกวันครั้งหนึ่งแล้วจึงดูไม่ดีหากพูดเรื่องออกมาข้างนอกอีก จึงให้ฮุ่ยเฟยเป็นคนพูดออกมา และทำตัวเป็นคนมีน้ำใจ
คนอื่นคงไม่ทราบเพราะคิดว่าฝ่าบาทเคารพฮุ่ยเฟยมาก แต่ฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ พระองค์ตรัสเช่นนั้นออกมาจะต้องนึกถึงความรู้สึกของนางแน่
ฮ่องเต้เป็นคนที่มีความรักแบบลุ่มหลงหลังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน กุ้ยเฟยก็เข้าวัง พระองค์เป็นชายรักเดียวใจเดียว หลายปีมานี้ไม่ใช่ว่าไม่มีสาวงามเข้าวังมาเลย แต่มีใครโดดเด่นบ้างกันล่ะ ฮุ่ยเฟยถึงแม้จะมีอายุไม่น้อยแล้ว หน้าตาก็ธรรมดา แต่กลับได้เลื่อนขั้นตำแหน่งสนมได้อย่างราบรื่น และตำแหน่งของนางก็มั่นคงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ที่มั่นคงเป็นเพราะนางให้กำเนิดองค์ชายรอง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะนางให้กำเนิดองค์ชายรองเท่านั้น
…………
เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
การล่าสัตว์ปกติแล้วมีในเวลากลางวัน แต่เพราะวันนี้เป็นวันแรกจึงยังไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกคนรู้สึกสดชื่น เมื่อทานข้าวเสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ป่าหายากแห่งนี้
หมิงเวยพาตัวฝูออกไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร นางออกจากค่ายได้เพียงครู่หนึ่งก็มีคุณชายท่านหนึ่งเดินมาหาจากฝั่งตรงข้าม
หมิงเวยไม่สนใจจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นใคร
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่” แน่นอนว่าคนที่มาเป็นหยางชู
เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัวน้ำเสียงของเขาก็นุ่มนวลกว่าเมื่อก่อนมาก “แค่ท่านเดินออกมาข้าก็รู้แล้ว”
หมายความว่าเขาส่งคนคอยจับตาดูอยู่ตลอด หมิงเวยยิ้มแล้วถอนหายใจ
เมื่อหนุ่มน้อยเอาใจใส่เขาก็ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
เขาหันหน้าไป “ตัวฝู อาหว่านถามหาเจ้า”
ตัวฝูที่ก้มหน้ามองเท้าตนเองพอได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ตกใจ
“แม่นางอาหว่านถามหาข้าทำไมหรือเจ้าคะ” นางกับอาหว่านเดิมทีก็เข้ากันไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ
หยางชูชักสีหน้า “เรื่องของสตรีข้าจะไปรู้ได้อย่างไร นางอยู่ในกระโจมของข้าเจ้าไปหาเดี๋ยวก็รู้” แล้วเขาก็บอกที่ตั้งกระโจมของตน
ตัวฝูมองหมิงเวยเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้านางก็ตอบรับแล้วเดินกลับค่ายเพื่อไปหาอาหว่าน
หมิงเวยมองแผ่นหลังของตัวฝูแล้วส่ายหน้า “ทำไมถึงไล่นางไปเล่า”
หยางชูพูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกเราสองคนอยู่ด้วยกันจะให้นางอยู่ทำอะไร”
“….” หมิงเวยถาม “ตอนนี้นางไม่อยู่แล้วท่านจะทำอะไรล่ะเจ้าคะ”
เมื่อพูดแบบนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ แดงขึ้นอีกครั้งโชคดีที่ท้องฟ้ามืดแล้วจึงมองเห็นไม่ชัดนัก
เขากระแอมในลำคอ “ก็แค่เดินเล่นด้วยกันกับข้าเท่านั้นแหละ!”
หมิงเวยที่ไม่มีอะไรทำก็ตอบรับ “ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินไปสักพักนางก็รู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง “ท่านจะไปไหน”
ท่าทางของเขาดูเหมือนจงใจเลือกสถานที่ห่างไกล หยางชูแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แค่เดินไปเรื่อยๆ!”
หมิงเวยชี้ “หากเดินไปอีกก็เข้าป่าแล้วก่อนหน้านี้กองทหารเตือนว่าถ้าไม่อยากตกอยู่ในอันตรายห้ามข้ามเขตแดนที่เขาตั้งเอาไว้นะเจ้าคะ”
หยางชูพูด “นั่นเป็นเพราะพวกเขากลัวว่าพวกมือไร้แม้แรงผูก[1] จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ข้าดูเป็นเช่นนั้นหรือ” เขาคิดดูอีกทีแล้วพูดอีกว่า “ท่านก็ไม่เป็นเช่นนั้นนี่!”
มีเหตุผลจริงๆ!
หมิงเวยอยากจะหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นเข้าป่าไปคิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“….” หยางชูพูดเสียงเบา “ก็แค่อยู่ด้วยกัน!”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร เขาแค่รู้สึกว่าอยากหลบเลี่ยงผู้อื่นก็เท่านั้น
………….
[1] มือไร้แม้แรงผูก : ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง