ในความทรงจำของหมิงเวย คนรุ่นหลังมีการโต้เถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับหลิงตี้ บางคนคิดว่าเขามีความทะเยอทะยานตั้งแต่ต้น หลอกใช้ซิ่นอ๋องกำจัดไท่จื่อ จากนั้นตนเองก็กำจัดซิ่นอ๋อง และสุดท้ายเขาก็กลายเป็นผู้ชนะ
บางคนคิดว่าเขาโชคดีเดิมทีเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย ผู้ใดจะรู้ว่าเฉียนเฟ่ยตี้ไม่น่าเชื่อถือนักเพื่อปกป้องตนเองเขาจึงกลายเป็นผู้ชนะท่ามกลางความสับสน ส่วนเรื่องที่เขาทำไปเมื่อได้ขึ้นครองราชย์นั้นผู้ใดจะไปคาดคิดได้เล่า
เนื่องจากเอกสารทางประวัติศาสตร์กระจัดกระจายและสูญหายไปจึงไม่สามารถหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ เรื่องนี้หมิงเวยจึงยังคงวางตัวเป็นกลางเล็กน้อย
จนกระทั่งกลับมาสู่ยุคนี้นางรู้สึกว่าเบื้องหลังอาจใหญ่กว่านี้ การมีตัวตนของอันอ๋องต่ำเกินไป ซิ่นอ๋องมีฮุ่ยเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดมีความสัมพันธ์อันดีกับไท่จื่อ แต่อันอ๋องไม่มีอะไรเลย ไม่มีความใกล้ชิดกับฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ
ทัศนคติของฮ่องเต้ที่มีต่อเขานั้นดูเป็นการตามใจเพื่อเอาใจเสียนเฟยที่ป่วยหนัก พระองค์จึงแต่งตั้งเขาเป็นอ๋อง และจากนั้นพระองค์ก็ไม่สนใจเรื่องนี้อีก
ข่าวที่คนทั่วไปสอบถามมาได้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เขาชื่นชอบสตรีและเสียงดนตรีซึ่งเหมือนกับคุณชายสามตระกูลหยางเมื่อก่อน
หมิงเวยเตรียมใจไว้นานแล้ว หลิงตี้เป็นคนไร้คุณธรรมมั่วโลกีย์ ต่อมาเมื่อขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ยังมีความสัมพันธ์กับน้องสาวของตนเอง ขนาดภริยาขุนนางหากไปเตะตาพระองค์เข้าก็หนีไม่พ้น
ตอนนี้เมื่อได้พบอันอ๋องปฏิกิริยาแรกของนางคือการสังเกตรูปลักษณ์ของเขา แน่นอนว่าเขาไม่โกรธเคืองเลยที่มีเด็กสาวสองคนมาขโมยเหยื่อของเขาไป ดูมีความสุขมากเสียอีก
เว่ยเสี่ยวอันและฟางจิ่นผิงรีบย่อกายทำความเคารพ “ถวายพระพรองค์ชาย เมื่อครู่ไม่ทราบว่าองค์ชายอยู่ที่นี่ด้วยจึงทำตัวเสียมารยาทไปต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
อันอ๋องจ้องมองเด็กสาวทั้งสองแล้วยิ้ม “แม่นางทั้งสองพูดอะไรน่ะเป็นองครักษ์ของข้าที่ประมาทเกินไป แม่นางผู้นั้นบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
พูดเสร็จเขาก็ลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาราวกับว่าต้องการช่วยประคองเว่ยเสี่ยวอันด้วยตัวเอง
เว่ยเสี่ยวอันถอยหลังชื่อเสียงของอันอ๋องนางเคยได้ยินมาบ้าง
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ ขอบพระทัยองค์ชายที่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ จู่ๆ ตกลงมาจากหลังม้า อาจจะบาดเจ็บที่ไหนสักแห่งแต่ตอนนี้ยังไม่พบ ลองดูดีๆ เถิด” เมื่อเห็นเขายื่นมือออกมาอีกครั้ง เว่ยเสี่ยวอันก็เหงื่อตก
ในตอนนั้นเองเสียงของหมิงเวยก็ดังขึ้น “หม่อมฉันดูเองเพคะ หม่อมฉันพอมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง”
อันอ๋องได้ยินเสียงจึงหันศีรษะไปมอง แล้วเขาก็ตกตะลึง
เมื่อเห็นเว่ยเสี่ยวอันและฟางจิ่นผิง เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีมากออกมาล่าสัตว์แต่กลับได้พบสาวงามตั้งสองคน แม้ว่าบุตรสาวขุนนางนั้นยากที่จะแตะต้อง แต่ก็ไม่แน่ว่านางอาจเต็มใจมากับเขาเองก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงองค์ชายที่มียศเป็นถึงอ๋อง
ไม่คิดว่าจะมีสาวงามอยู่ด้านหลังอีกคน รูปลักษณ์นี้บรรดาอนุและนางบำเรอของเขาล้วนเทียบไม่ติดเลย
พอมองอย่างหลงใหลเขาก็สงสัยเล็กน้อย “ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับแม่นางท่านนี้มาก ไม่ทราบว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่”
แน่นอนว่าเคยเห็นมาก่อนเพราะเขาก็เข้าร่วมชมการแข่งขันที่เสวียนตูกวันด้วย เพียงแต่ในตอนนั้นอยู่ไกลกันจึงมองเห็นไม่ชัด หมิงเวยยิ้มนางแตะข้อเท้าของเว่ยเสี่ยวอัน เมื่อแน่ใจว่านางแค่ข้อเท้าเคล็ดก็โล่งใจ
“บางทีอาจเป็นวาสนานำพาให้พวกเรามาเจอกันเพียงครั้งเดียว” แล้วหันไปสั่งสาวใช้ตระกูลเว่ย “ไม่เป็นอะไรร้ายแรงกลับไปประคบสมุนไพรก็พอแล้ว”
วาสนานำพาให้พวกเรามาเจอกันเพียงครั้งเดียวอันอ๋องทวนประโยคนี้แล้วยิ้ม “เช่นนั้น ข้ากับคุณหนูคงมีวาสนากันจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณหนูมีนามว่าอะไรหรือ”
หมิงเวยยกยิ้มมุมปาก แม้ราชวงศ์นี้จะเปิดกว้าง การบอกนามของสตรีในห้องหอให้ผู้อื่นได้รับรู้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การถามชื่อคนอื่นในที่สาธารณะเช่นนี้ช่างหยาบคายจริงๆ
เว่ยเสี่ยวอันดึงนางเข้ามาหาสีหน้านางดูกังวลอย่างชัดเจน
นางพอรู้ลักษณะนิสัยของอันอ๋องมาบ้าง แม้จะไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยบังคับสตรีในตระกูลขุนนาง แต่หากเกิดไปเตะตาของเขาจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น
หมิงเวยตบแขนนางเบาๆ ให้นางรู้สึกสบายใจแล้วตอบอันอ๋องไปว่า “หม่อมฉันแซ่หมิง ส่วนนามนั้นไม่ควรแก่การเอ่ยถึงหากเป็นการเสียมารยาทหม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”
อันอ๋องหัวเราะ “ที่แท้ก็คุณหนูหมิงนี่เอง เรื่องเล็กน้อยไม่ต้องใส่ใจหรอก เป็นเปิ่นหวางเองที่ทำให้พวกท่านตกใจ กวางตัวนี้เปิ่นหวางยกให้เป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน” พูดจบก็สั่งให้ทหารนำกวางตัวนั้นมา
เหล่าเด็กสาวสื่อสารกันทางสายตาสีหน้าดูทำอะไรไม่ถูก
อันอ๋องตรัสเช่นนี้ ของขวัญชิ้นนี้พวกนางคงไม่รับไม่ได้
“ขอบพระทัยเพคะ”
อันอ๋องตรัสอีกว่า “พื้นที่ล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ การพบกันนับว่าเป็นวาสนา คุณหนูท่านนี้บาดเจ็บที่เท้า หากต้องการสถานที่พักผ่อนเปิ่นหวางรู้สึกเหนื่อยพอดี พวกเราไปนั่งพักด้วยกันดีหรือไม่”
เว่ยเสี่ยวอันปฏิเสธ “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ องค์ชายทรงอย่ากังวลพระทัยไปเลย”
“เพราะเปิ่นหวางทำให้เจ้าบาดเจ็บ หากไม่มั่นใจว่าเจ้าไม่เป็นอะไร เปิ่นหวางจะสบายใจได้อย่างไร”
พูดเสร็จก็สั่งการทหาร “พวกเจ้าหาที่ที่อากาศถ่ายเทให้คุณหนูเหล่านี้ได้พักผ่อน ตอนนี้เวลาเที่ยงพอดีได้เวลารับประทานอาหารแล้วใช่หรือไม่คุณหนูทั้งหลาย”
เหล่าคุณหนูจะพูดอะไรได้อีกเขาเป็นองค์ชายพวกนางจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน แต่หากเรื่องแพร่ออกไปจะทำอย่างไร พวกนางไม่อยากเป็นพระชายา…
“พระองค์อยู่ที่นี่เองหรอกหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ!”
จู่ๆ ก็มีเสียงแทรกเข้ามาในการสนทนานี้ อันอ๋องหันศีรษะกลับไป และเห็นเด็กหนุ่มกระโดดลงมาจากต้นไม้ข้างๆ เขา
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของอีกฝ่ายใบหน้าของอันอ๋องก็บิดเบี้ยว เขาพูดเสียงลอดไรฟัน “หยางซาน!”
หยางชูยิ้มตาหยีและคำนับให้เขา “พื้นที่ล่าสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ พวกเราได้พบกัน ช่างเป็นวาสนาจริงๆ อันอ๋อง!”
อันอ๋องอยากจะพูดว่า วาสนากับผีน่ะสิ! แต่เขาก็ต้องกลืนมันลงคอไป
สำหรับอันอ๋องแล้วหยางชูคือฝันร้าย
เขาเป็นบุตรบุญธรรมของเสียนเฟย ในช่วงแรกที่เสียนเฟยยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เขามักได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทและมักได้พบกับหยางชู
ทั้งสองอายุใกล้เคียงกันจึงมีการทะเลาะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันอ๋องไม่ใช่คนไร้ความสามารถ พูดได้ว่าเมื่อเทียบกับพี่ชายทั้งสองแล้ว เขาฉลาดกว่าเล็กน้อย
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหยางชู เขาทำได้เพียงพ่ายแพ้เท่านั้น
ไม่ว่าหยางชูจะเก่งกาจขนาดไหน แต่เด็กคนนี้ไม่ชอบการเรียนยิ่งกว่าตน
แต่เขามันหน้าหนา! มีเรื่องอะไรก็ไปฟ้องร้องถึงจะมีทักษะดีไม่มีผู้ใดเทียบ แต่ก็มักจะรังแกตนด้วยกำลัง
เขาเป็นองค์ชายผู้สง่างาม แม้ว่าเขาจะถูกรังแก แต่ฮ่องเต้ก็จะไม่อยู่เคียงข้างเขา นั่นเป็นสิ่งที่เขาหงุดหงิดที่สุด
ดังนั้น สำหรับอันอ๋องแล้วหยางชูเป็นเงามืดในวัยเด็กในใจเขา
หลังจากนั้นองค์หญิงหมิงเฉิงและพระสวามีจากไป หยางชูต้องไว้ทุกข์และไม่เข้าวัง จากนั้นก็ได้รับตำแหน่งในหวงเฉิงซือพวกเขาจึงไม่ค่อยได้พบกัน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านจิตใจเงามืดนั้นก็ยังคงอยู่ มีคนหลายร้อยคนที่ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเขา เขาไม่มีผู้ใดคอยปกป้อง หากถูกรังแกก็ไม่รู้จะไปฟ้องผู้ใดได้!
“เป็นเจ้านี่เอง!” อันอ๋องฝืนยิ้ม “ไม่เจอกันนานนะ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ครั้งสุดท้ายที่กระหม่อมได้พบกับองค์ชายคือที่เจ๋อกุ้ยโหลว ตอนนั้นองค์ชายต้องตาต้องใจใครเข้านะ แม่นางเมิ่งใช่หรือไม่” หยางชูมีสีหน้ารู้สึกผิด “ขออภัยจริงๆ แม่นางเมิ่งยืนกรานให้ข้าฟังนางดีดกู่ฉิน ทำให้องค์ชายต้องผิดหวังแล้ว”
อันอ๋องกัดฟัน “ที่ไหนกัน! นางมีใจให้ท่าน เปิ่นหวางยินดียอมเดิมพันรับความพ่ายแพ้!”
…………