ผ่านไปไม่นานข่าวลือเรื่องสาเหตุการทะเลาะวิวาทระหว่างอันอ๋องกับคุณชายสามตระกูลหยางก็แพร่กระจายไปทั่วค่าย เพียงเพื่อเอาใจเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือทะเลาะกันเพื่อทำตัวโดดเด่นต่อหน้าเด็กสาว ช่างทำให้ผู้คนหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้จริงๆ
สำหรับทั้งสองคนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ ปีที่แล้ว พวกเขาเคยก่อเรื่องที่เจ๋อกุ้ยโหลว อยู่ในความสงบมานานกว่าหนึ่งปีแล้วและตอนนี้ก็กลับมาก่อเรื่องอีกครั้ง แล้วยังเป็นในเทศกาลสำคัญอย่างชิวเลี่ยอีก ตอนที่พวกเขาต้องคัดเลือกภรรยา
เผยกุ้ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ และจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นและบอกกับนางในว่า “เลือกคนไม่จำเป็นต้องรีบร้อนตัดสินใจ”
“เหนียงเหนียง หมายความว่า…”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจ “แม้จะทำการเลือกคนเรียบร้อยแล้ว แต่คงไม่สามารถขอพระราชทานสมรสได้ไปอีกสักพัก”
พวกเขาทั้งสองคน ผู้หนึ่งเป็นถึงองค์ชาย อีกคนเป็นหลานชาย เกิดเรื่องเช่นนี้เรื่องคงกระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน อีกสักพักหากประกาศเรื่องการแต่งงานไปคงทำให้ครอบครัวฝ่ายหญิงเสียหน้า
หากผู้อื่นถามว่าลูกเขยเป็นอย่างไรล่ะ อ้อ จริงสิ อันอ๋องคือผู้ที่ก่อเหตุทะเลาะกับคุณชายสามตระกูลหยางในเทศกาลชิวเลี่ย
เรื่องที่น่ายินดีก็จะกลายเป็นเรื่องตลก
เผยกุ้ยเฟยครุ่นคิดนางทั้งโกรธทั้งขัน “ต้องเป็นชูเอ๋อร์ที่ก่อเรื่องแน่ เขาต้องเป็นคนคิดเรื่องนี้ขึ้นมา”
นางในเห็นว่านางอารมณ์ดีจึงยิ้ม “ดูเหมือนคุณชายหยางจะไม่อยากแต่งงานจริงๆ นะเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้า “ครั้งนี้ถือว่าเขารอดตัวไป แต่คงยื้อได้อีกไม่นาน”
ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเองจะปล่อยให้หนีไปตลอดกาลได้อย่างไร
…………
หยางชูกลับมาที่กระโจมและดื่มชาถ้วยใหญ่หมดทีเดียว
เสี่ยวถงมองเขาอย่างกังวล “คุณชาย…”
หยางชูโบกมือ “บอกอาสวนว่านำชุดเกราะทหารรักษาพระองค์มา”
เสี่ยวถงกะพริบตาเมื่อเข้าใจแล้วก็ร้องด้วยความดีใจ “เจ้าค่ะ!”
ผ่านไปสักพักอาสวนกับเสี่ยวถงก็กลับมาด้วยกัน
อาสวนเปิดหีบสัมภาระที่ด้านในเป็นชุดเกราะสองชุด “คุณชาย ข้าน้อยจะไปกับคุณชายด้วยขอรับ”
หยางชูพยักหน้าเขายกม่านขึ้นเพื่อมองดูท้องฟ้า
ตะวันลับฟ้าค่ำคืนก็ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว
“ทานข้าวก่อน” เขาพูด “คืนนี้อาจมีการต่อสู้ที่ดุเดือด”
การทะเลาะวิวาทกับอันอ๋องแน่นอนว่าเพื่อหาเหตุผลยุติการแต่งงาน แต่การตัดสินใจนี้ก็เพื่อสิ่งที่ต้องทำในคืนนี้ เพียงแต่ฮ่องเต้คงไม่คิดว่าเหตุผลที่เขาทำทั้งหมดจะเป็นเพราะเหตุผลนี้
ไม่นานอาหว่านก็กลับมา นางมองสีหน้าของหยางชูอยู่หลายครั้ง อยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
หยางชูถูกนางมองหลายรอบจนกินต่อไม่ลง “เจ้าเป็นอะไร มีอะไรก็พูดออกมาสิ!”
อาหว่านลังเล “ถ้าพูดออกไปแล้วคุณชายอย่าเพิ่งใจร้อนนะเจ้าคะ”
“ข้าต้องใจร้อนเรื่องอะไร หรือมีใครหน้าไหนหน้าไม่อายอยากหมั้นหมายกับข้าอีก” เขาพูดเสียงเยาะเย้ย
อาหว่านตอบ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ คือ…”
“ใคร”
“เป็นแม่นางหมิง”
หยางชูตกตะลึง “หมายความว่าอย่างไร นางหมั้นหมายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
อาหว่านถอนหายใจ “บุตรชายคนโตของตระกูลจี้ได้แสดงความสามารถ ฝ่าบาทเลยสอบถามเขา ประจวบกับทางด้านแม่นางหมิงเองก็สร้างผลงานมากมาย ฝ่าบาทจึงตรัสว่านายท่านจี้อบรมสั่งสอนบุตรมาดี ในเมื่อคุณชายห้าตระกูลจี้กับแม่นางหมิงมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่แล้ว พระองค์จึงตรัสชื่นชมและจะพระราชทานสมรสให้”
“บัดซบ!” ตะเกียบในมือหยางชูร่วงหล่นลงมา
อาสวนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผากของหยางชูจึงไม่คิดทานข้าวต่อแล้วกระโดดรั้งอีกฝ่ายไว้ “คุณชายใจเย็นก่อนขอรับ! ท่านจะก่อเรื่องไม่ได้นะขอรับ!”
หยางชูรู้สึกขมับตนเองเต้นเป็นจังหวะ มือถูกอาสวนรั้งเอาไว้เขาจึงใช้เท้าเตะออกไป โต๊ะอาหารค่ำถูกเขาเตะออกไปชามน้ำแกงหกกระจายไปทั่ว
เสี่ยวถงกรีดร้อง และพุ่งไปข้างหน้าเพื่อจับอีกฝ่ายไว้แน่น “คุณชาย! นั่นฝ่าบาทนะเจ้าคะ หากท่านละเมิดพระราชโองการคง…”
“หลีกไป!” เขาสะบัดอาสวนออกไปตอนยกเสี่ยวถงเขาไม่กล้าออกแรงมากนักจึงลากร่างเล็กของนางเดินไปรอบๆ ในกระโจมเขาหายใจแรงด้วยความโกรธ
“ได้ๆ!” เขาหัวเราะเสียงเย็น “การตัดสินใจนี้ตั้งใจให้ข้าไม่พอใจใช่หรือไม่ หลายปีมานี้ข้าเคยทูลขออะไรงั้นหรือแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวทำให้ข้าสมหวังไม่ได้เลยหรืออย่างไร”
“คุณชาย!” สีหน้าของอาสวนเต็มไปด้วยความกังวลเขาพยายามโน้มน้าวหยางชู “แม้ว่าท่านจะไม่พอใจ แต่ท่านไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้นะขอรับ!”
พูดแล้วก็อยากให้อาหว่านเกลี้ยกล่อมเขา “อาหว่าน พูดอะไรสักอย่างสิ!”
เมื่อหันศีรษะไปเขาพบว่าอาหว่านยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของนางนิ่งสนิทและมีเงามืดในดวงตาของนาง
ผ่านไปสักพักนางถึงพูดว่า “ทุกคนออกไปให้หมดข้าจะพูดกับคุณชายเป็นการส่วนตัว”
อาสวนประหลาดใจ อาหว่านไม่พูดไม่ขยับตัวไปไหน
อาสวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกวักมือเรียกเสี่ยวถง “พวกเราออกไปก่อนเถอะ”
พวกเขาทั้งสามคน เสี่ยวถงยังเป็นเด็ก และรับผิดชอบงานภายนอกเป็นหลัก แต่อาหว่านเป็นคนที่ติดตามคุณชายมานานที่สุด ในเรื่องความรู้สึกนางคงเข้าใจคุณชายมากกว่าพวกเขาสองคน
อาสวนและเสี่ยวถงเดินออกไป
อาหว่านยกโต๊ะอาหารขึ้นอย่างเงียบๆ เช็ดเก้าอี้ให้สะอาดจากนั้นก็นั่งลง
หยางชูโกรธอยู่พักหนึ่งเขาเดินเข้ามา และนั่งลงตรงข้ามกับนางอย่างไม่เต็มใจ
“คุณชาย” เขาฟังอาหว่านพูด “ก่อนหน้านี้บ่าวบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นตอนนี้ท่านเชื่อแล้วหรือยังเจ้าคะ”
………….
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้างั้นหรือ” เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเสียงเรียบนิ่งจากด้านหน้า “เจ้าคิดว่ามีคนมากมายรู้เรื่องที่เจ้ามาเยี่ยมสถานศึกษาซานไถงั้นหรือ อย่างไรก็ตามเจ้าก็เป็นจินจ้าวอิ๋น ถ้าเจ้าไม่กลับสักสองสามวันจะมีคนมาตามหาเจ้า เพราะฉะนั้นจึงทำได้แค่ยื้อเวลาต่อไปใช่หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงเงยหน้าแม้ว่าดวงตาของเขาจะถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นท่าทางของฟู่จินที่กำลังพูดอยู่
“เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของข้า” ฟู่จินถอนหายใจและพูดว่า “ข้าไม่ต้องการฆ่าเจ้าจริงๆ หากฆ่าเจ้าไปคงมีปัญหาตามมามากมาย แต่ในเมื่อข้าเตรียมพร้อมแล้วจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ลำบากใจอะไร”
เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบ อันที่จริงในเมื่อมีห้องลับไม่แน่ว่าอาจมีทางลับในการหลบหนี แต่เรื่องนี้มีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
“อาจารย์” เขาพูด “ศิษย์เชื่อว่าท่านไม่มีทางเลือก ตอนนี้ศิษย์เป็นจินจ้าวอิ๋น มีความสามารถพอที่จะช่วยให้ท่านหลุดพ้นได้”
“อ้อ” ฟู่จินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าจะช่วยให้ข้าหลุดพ้นได้อย่างไร”
เจี่ยงเหวินเฟิงนึกถึงคำพูดของหมิงเวยและคาดเดาเรื่องที่ฟู่จินทำผิดเอาไว้
“ท่านเป็นแค่จุดเริ่มต้น” เขาพูดช้าๆ “แม้จะมีคนเสียชีวิต แต่ท่านไม่ใช่ฆาตกรคนแรก เรื่องนี้มีส่วนที่ดำเนินการไปไม่น้อย”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ได้ยินเสียงเชี่ยนเหนียงพูดขึ้นข้างหู “สีหน้าของเขาผิดปกติ! คำพูดของท่านมีปัญหาเจ้าค่ะ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงขมวดคิ้วเขาพูดอย่างคลุมเครือแล้วนะ ยังมีปัญหาอีกหรือ
ฟู่จินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาหัวเราะขึ้นมา “เหวินเฟิงเอ๋ยเหวินเฟิง สมกับเป็นศิษย์ของข้า เจ้ามีความกล้าหาญมากดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องราวภายในของคดีนี้และไม่รู้ว่าผู้ที่เสียชีวิตคือผู้ใด เจ้าถูกคนไหว้วานมาใช่หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร
เขาไตร่ตรองอย่างรวดเร็วว่าตนพูดผิดตรงไหนเป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมาย
ฟู่จินดูไม่เร่งรีบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองพูดผิดตรงไหน” เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า
ฟู่จินพูดว่า “คดีฆาตกรรมนี้เดิมทีไม่มีผู้ใดคิดตรวจสอบไม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้”
……………