เมื่อได้ยินข่าวเรื่องสมรสพระราชทาน มือที่ถือตะเกียบอยู่ของหมิงเวยก็ชะงัก
นางกับจี้หลิงได้เหยื่อจากการล่าสัตว์มาจำนวนไม่น้อยเช่นเดียวกับตระกูลอื่น ทั้งครอบครัวจึงมานั่งรอบกองไฟเพื่อย่างเนื้อทานกัน
นำเห็ดป่ามาเป็นวัตถุดิบพื้นฐาน น้ำแกงเข้มข้นต้มด้วยกระดูกใหญ่ จากนั้นใส่ชิ้นเนื้อและผักตามฤดูกาลลงไปไม่จำเป็นต้องปรุงรสให้มากเกิน
“คุณหนู ทานอันนี้สิเจ้าคะ” ตัวฝูคีบขาแกะที่คัดสรรมาอย่างดี
หมิงเวยไม่มีความรู้สึกอยากอาหารนางถามนายท่านจี้ว่า “ฝ่าบาทมีพระราชโองการหรือยังเจ้าคะ”
นายท่านจี้ซดบะหมี่หมดชามจากนั้นก็ตอบว่า “พระราชโองการไม่เร็วขนาดนั้น เจ้ายังต้องไว้ทุกข์ช่วงนี้ไม่สามารถออกเรือนได้ไม่จำเป็นต้องรีบ”
จี้หลิงเหลือบมองบิดา ไม่ต้องรีบงั้นหรือน้องหญิงมีอะไรต้องรีบร้อนกัน นางดูไม่ต้องการเลยด้วยซ้ำ นายท่านจี้ดูอารมณ์ดีเขาซดน้ำแกงถ้วยใหญ่จนหมด จากนั้นก็ตบท้องแล้วออกไปเดินเล่น
หมิงเวยคีบบะหมี่ในชาม แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่คีบเข้าปาก
จี้หลิงมองนางแล้วถามออกไป “กลัวว่าจะถอนหมั้นไม่ได้งั้นหรือ”
หมิงเวยวางชามและตะเกียบ “ถอนหมั้นได้ไม่ได้ไม่เป็นไรเพียงแต่เรื่องนี้ไม่ปกติจึงไม่ควรประมาท”
ตราบใดที่นางและจี้เสียวอู่ไม่ต้องการแต่งงาน และจี้เสียวอู่ที่เข้าเสวียนตูกวันไม่ถึงห้าปีก็ไม่คิดที่จะออกมา แต่เรื่องนี้เผยให้เห็นเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม
หมิงเวยส่งสายตา ตัวฝูจึงลุกขึ้นเก็บอุปกรณ์ทานอาหาร และเรียกบ่าวรับใช้ให้ไปทำอะไรบางอย่าง
เมื่อรอบกายไม่มีผู้ใดอยู่แล้วหมิงเวยจึงพูดเสียงเบา “การประทานรางวัลเช่นนี้ค่อนข้างแปลก ตระกูลของเราไม่ใช่ตระกูลที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือเป็นตระกูลชนชั้นสูง เป็นแค่ตระกูลบัณฑิตธรรมดา หากฝ่าบาทต้องการประทานรางวัลให้พี่ใหญ่ การเรียกเข้าเฝ้าครั้งหนึ่งมีประโยชน์มากกว่าที่จะพระราชทานสมรสให้น้องกับพี่ห้าเสียอีก”
พูดกันตามตรงตระกูลจี้ไม่ต้องการรางวัลเช่นนี้เลย สมรสพระราชทานเป็นแค่สิ่งที่เสริมให้ดูดีขึ้นหากไม่มีก็ไม่เสียหายอะไร
จี้หลิงครุ่นคิดแล้วถามนางเสียงเบา “เรื่องของน้องกับคุณชายหยางเบื้องบนรู้หรือไม่” หมิงเวยไม่พูดอะไร
จี้หลิงเห็นท่าทีของนางก็พอเข้าใจอะไรขึ้นมาได้เขาพูดว่า “พี่ได้ยินว่าโป๋วหลิงโหวฮูหยินเข้าวังเพื่อขอร้องให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจัดการเรื่องงานแต่งงานให้เขาดูเหมือนว่าจะมีคนคิดใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของคุณชายหยาง”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
สถานะของหยางชูมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของเขาได้ คู่สามีภรรยาจากจวนโป๋วหลิงโหวและคนที่อยู่ในวัง
ฮ่องเต้ไท่จู่สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ฮองเฮาเองก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ส่วนฮุ่ยเฟยไม่กล้ายื่นมือทำอะไรแน่นอน
คนในวังหลวงมีอยู่ไม่เกินสองคน หนึ่งในสามนั้นจะเป็นผู้ใดกัน
อำนาจจากจวนโป๋วหลิงโหว สองสามีภรรยาจากจวนนี้ไม่มีเหตุผลต้องเข้ามาวุ่นวายอะไร ส่วนกุ้ยเฟย หมิงเวยได้ยินหยางชูบอกว่านางอนุญาตตั้งนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงคนเดียว
หมิงเวยจิบชาแล้วถอนหายใจยาว “พี่ใหญ่ ท่านต้องการเป็นวีรบุรุษที่ซื่อสัตย์และชอบธรรมหรือไม่”
จี้หลิงไตร่ตรองประโยคนี้แล้วตอบ “หากน้องหญิงไม่คิดอธิบายละก็ คำถามนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลนัก ทำไมไม่เปลี่ยนมาถามว่าพี่เชื่อใจน้องหรือไม่แทนเล่า”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ใหญ่เชื่อใจน้องหรือไม่”
จี้หลิงยิ้ม “เชื่อสิ”
หมิงเวยพยักหน้า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
นางดื่มชาที่เหลือทั้งหมดจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “น้องมีเรื่องจะรบกวนพี่ใหญ่…”
ความลับนี้นางยังไม่ได้บอกหยางชูตนเองยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนด้วยซ้ำ คนที่รู้ในตอนนี้มีเพียงสองคนคือนางและหนิงซิว
หนิงซิวไม่สามารถพูดออกมาได้ นางเองก็เช่นกัน
เรื่องดาวมารในครั้งก่อน ฮ่องเต้มีเจตนาฆ่าเขาอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดจู่ๆ พระองค์ถึงต้องการแทรกแซงเรื่องของเขาด้วย แล้วยังชื่นชอบเรื่องเล็กน้อยของสตรีอีก
นางต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
…………
ฟู่จินมองเจี่ยงเหวินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดออกไปว่า “ชีวิตคนที่เจ้าพูดถึงคือองค์หญิงหมิงเฉิงและผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหว”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจครู่หนึ่งจากนั้นคลื่นพายุก็พัดเข้ามาในหัวของเขา
องค์หญิงหมิงเฉิงและผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหว!
วันที่สิบ เดือนสี่ เมื่อสามปีก่อน!
แม่นางหมิงกล่าวว่าเจ้าของตราประทับนี้ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งหนึ่งในช่วงเวลาวิกฤตส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสองราย หมายความว่าก่อนที่องค์หญิงหมิงเฉิงและผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหวจะเสียชีวิตเคยพบกับอาจารย์มาก่อน
สาเหตุการเสียชีวิตของพวกเขาน่าสงสัยงั้นหรือ ตอนที่อาจารย์ขอเข้าพบ พวกเขา สิ่งที่อาจารย์พกมาคือตราประทับส่วนตัวของซือฮว๋ายไท่จื่อ…
เขาบอกว่าเดิมทีไม่มีผู้ใดคิดตามสืบการตายของสองคนนี้…
เงื่อนปมของเจี่ยงเหวินเฟิงขยับ เขารู้ว่าตนเองควรถอยออกมาเหตุผลเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าราชบริพารสามารถสอดแนมได้อย่างแน่นอน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาฉลาดพอที่จะปกป้องตัวเอง และเขาไม่ได้ตั้งใจจะมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นองเลือดเพื่อแย่งชิงอำนาจ!
แต่…
เจี่ยงเหวินเฟิงถามเสียงเบา “ตอนนี้อาจารย์เต็มใจปล่อยศิษย์ไปหรือไม่”
ฟู่จินมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้ารอมาเกือบยี่สิบปีในที่สุดเจ้าก็มาคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“….” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ศิษย์ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ยิ่งนานยิ่งดี”
ฟู่จินพูด “เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่สถานศึกษาซานไถหมายความว่าเจ้าได้เข้าสู่วังวนนี้แล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย “อาจารย์ ศิษย์ไม่มีความทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น แค่เป็นชิงเทียนเพื่อประชาชนแค่ใช้วิธีการที่ไม่ชอบบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศก็เพียงพอแล้ว”
ฟู่จินยังคงยิ้ม “ทันทีที่ข้อมูลเรื่องที่พวกเจ้าสืบหาอยู่นี้รั่วไหลออกไป พวกเราทุกคนก็จบสิ้นแล้ว อย่าพูดถึงมีชีวิตที่ยืนยาวเลยมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองปีก็นับว่าเพ้อฝันแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดในใจถูกท่านลากมาลงเรือด้วยก็อันตรายอยู่แล้ว!
ฟู่จินชื่นชมสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “เจ้าบอกว่าถ้าก้าวออกไปไม่แน่ว่าท้องฟ้าอาจสดใส” เจี่ยงเหวินเฟิงไม่มีอะไรจะพูดเขารู้สึกชีวิตสิ้นหวัง
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตที่พูดถึงคือองค์หญิงหมิงเฉิงและผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหว! หากเขารู้ล่ะก็เขาจะไม่มาที่สถานศึกษาซานไถเด็ดขาด!
“เอาล่ะ” ฟู่จินแหย่ลูกศิษย์ตนเองพอแล้วเขาเขย่าเสื้อคลุมแล้วนั่งตัวตรง
“หากเจ้าไม่อยากตอบคำถามก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นไรถ้าอย่างนั้นข้าถามเจาะจงขึ้นสักหน่อยเจ้าตอบแค่ว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอ”
เขาจ้องไปที่ดวงตาของเจี่ยงเหวินเฟิงด้วยความแน่วแน่ไม่ยอมให้เขาหนีไป
“ผู้ที่ให้เจ้ามาที่นี่คือคุณชายสามจากจวนโป๋วหลิงโหวหรือไม่”
“…” เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “ไม่ใช่”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของฟู่จิน “ไม่ใช่งั้นหรือ”
“ไม่ใช่” เจี่ยงเหวินเฟิงอารมณ์ดีขึ้นเขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้เสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
แต่ฟู่จินรีบพูดว่า “หากไม่ใช่เขาก็คงเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขา ไม่เป็นไร ในเมื่อมีคนมาตรวจสอบเรื่องนี้หมายความว่าสิ่งต่างๆ เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เจ้าไม่ตอบไม่เป็นไรข้าไปเมืองหลวงเพื่อสืบหาด้วยตนเองก็รู้แล้ว”
“อาจารย์!” เจี่ยงเหวินเฟิงอุทาน
ฟู่จินเหลือบมอง “ทำไม เปลี่ยนใจแล้วหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ศิษย์ไม่รู้ความลับเบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ถ้าท่านทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้คุณชายสามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก”
ขนาดองค์หญิงหมิงเฉิงและผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหวยังเสียชีวิตไป แล้วหยางชูจะรอดงั้นหรือ
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มที่เคยร่วมเดินทางไปกับตนต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ
ฟู่จินส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเขาไม่น่ากลัวหรือ สามปีนี้หรือพูดได้ว่าสิบแปดปีที่ผ่านมาเขาอยู่บนขอบหน้าผา ตราบใดที่มีคนผลักเบาๆ เขาจะล้มลง และตายโดยไม่มีที่ฝังศพ หากจุดเปลี่ยนนี้ไม่เกิดขึ้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วอย่างไรก็ต้องลอง!”
………….