เจี่ยงเหวินเฟิงพาฟู่จินที่เมามายออกไปส่ง
หมิงเวยหันหน้ามองเสวียนเฟย “ท่านมองข้าอยู่ตลอดมีอะไรหรือเจ้าคะ”
ตั้งแต่ต้นเสวียนเฟยจ้องมองมาที่นางเป็นครั้งคราวจนนางไม่สามารถเพิกเฉยได้
เมื่อนางถามเขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไมท่านถึงยกสิทธิ์ให้ผู้อื่นตัดสินใจ” เขาไม่ใช่คนโง่ตั้งแต่ฟู่จินเข้ามาหมิงเวยก็หยุดพูดปล่อยให้ฟู่จินเป็นผู้นำหัวข้อและตัดสินใจ
นี่ไม่ใช่หมิงเวยที่เขาประทับใจถึงนางจะดูเรียบง่ายแต่จริงๆ แล้วนางมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะควบคุมผู้คน เหมือนกับการแข่งขันที่เสวียนตูกวัน นางเข้าแทรกแซงและบังคับให้เขาเสียเปรียบ แม้ว่าเขาจะสามารถเป็นเจ้าสำนักได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว แต่ก็ถูกนางครอบงำ
หมิงเวยยิ้มแล้วถามเขา “ท่านคิดว่าอาจารย์ฟู่จะตามไปที่ซีเป่ยด้วยหรือไม่”
เสวียนเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “มีความเป็นไปได้ครึ่งหนึ่ง เมืองหลวงเกิดสถานการณ์เช่นนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่จะไปซีเป่ยเพื่อดูแลหยางชูที่อื่น”
หมิงเวยตอบ “ข้ากลับคิดว่าเขาไม่ไปเจ้าค่ะ”
“ทำไมกัน”
“เพราะเมืองหลวงยังต้องคอยจับตามองซึ่งเขาไม่ไว้ใจผู้อื่นเจ้าค่ะ”
ฟู่จินมีความสามารถและมั่นใจในเวลาเดียวกัน จากสถานการณ์ปัจจุบันของหยางชู ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการถูกเนรเทศ แต่ท้ายที่สุดแล้วเมืองหลวงคือศูนย์กลางของอำนาจ หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นมันอาจไกลเกินเอื้อมได้
ถ้าเขาไม่อยู่ผู้ใดจะทำแทนเขาได้กัน แม้ว่าเจี่ยงเหวินเฟิงจะทำได้ แต่เขาเป็นขุนนางที่มีหน้าที่ดูแลงานเล็กๆ น้อยๆ และเขาไม่เก่งในเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
“ท่านเชื่อใจเข้าถึงเพียงนั้น…” สายตาของเสวียนเฟยมองไปที่หยางชู
“นี่ก็เป็นบททดสอบเหมือนกันเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “ผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งมักมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง ถ้าเขามีความสามารถเพียงพอเขาจะเต็มใจให้ผู้อื่นใช้งานได้อย่างไร”
ฟู่จินไม่ใช่คนโง่เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาในเริ่มแรก ทำให้เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อส่งหยางชูไปสู่ตำแหน่งสูงสุด แต่ต้องดูว่าเขาจะทำได้หรือไม่
เสวียนเฟยนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ “ดังนั้นท่านจึงจงใจให้เขาเป็นคนนำแสดงสิทธิ์อย่างเต็มที่สินะ”
หมิงเวยยิ้มอย่างมีความนัย “สิ่งที่เขาต้องการข้าไม่ต้องการ สิ่งที่เขาสามารถข้าไม่สามารถ มอบสนามรบแก่เขาเพื่อให้เขาใช้ทุกอย่างได้ดีที่สุดจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“….”
เหมือนกับที่เขาถูกหมิงเวยขโมยสิทธิ์ในการตัดสินใจไปเพราะความสามารถของพวกเขาทั้งสองคนทับซ้อนกัน
“ท่านไม่กลัวว่าจะอวยเขามากเกินไปงั้นหรือ อนาคตอาจสูญเสียสิทธิ์ในการพูดก็เป็นได้”
หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าจะต้องการสิทธิ์ในการพูดไปทำไม ข้าเป็นหญิงข้าไม่สามารถมีสิทธิ์ควบคุมหรือนำอะไรได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางที่ดี และความปรารถนาของข้าสามารถบรรลุได้เรื่องอื่นก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เสวียนเฟยมองนางด้วยความสงสัย “จริงหรือ” คุณธรรมสูงส่งอะไรเพียงนั้นกัน
หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร นางไม่ใช่คนในยุคนี้แน่นอนว่านางต้องสละเวทีให้แก่พวกเขา ส่วนตนขอแค่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็พอไม่จำเป็นต้องออกโรงด้วยตนเอง รวมถึงเสวียนเฟยด้วย ขอเพียงสยบเขาได้ตำแหน่งราชครูก็ให้เขานั่งไปเถอะ
หมิงเวยหันกลับมา และเห็นหยางชูยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ เขามองขึ้นไปบนดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางเดินเข้าไปหา “เวลาล่วงเลยมานานแล้วต้องส่งท่านกลับไปแล้ว”
หยางชูตอบรับเขาอยากจะพูดแต่ก็ลังเล แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็น “ให้เขาไปส่งข้าเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้วท่านควรรีบกลับจวนไม่เช่นนั้นตระกูลจี้จะเป็นห่วงเอาได้”
คนที่เขามองคือหนิงซิวที่อยู่ข้างกาย
หมิงเวยไม่ว่าอะไรวรยุทธ์ของหนิงซิวสูงส่ง เคล็ดวิชาก็ไม่เลว มีเสวียนเฟยคอยช่วยเหลือคงสามารถทำสำเร็จโดยไม่มีผู้ใดรู้ตัวนางจึงพูดกับหนิงซิวว่า
“อาจารย์…รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”
หนิงซิวตอบกลับเสียงเรียบ “วางใจเถอะ”
หากพูดถึงบทสนทนาในค่ำคืนนี้ผู้ที่ไม่ดีใจที่สุดคงเป็นเขา หยางชูตัดสินใจที่จะเดินไปในเส้นทางนั้นซึ่งเบนไปจากสิ่งที่ท่านอาจารย์ฝากฝังเขาเอาไว้ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสนับสนุน
“ท่านกลับไปก่อนเถอะ” หยางชูยืนกราน “ท่านไปก่อนแล้วข้าจะกลับ”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “ได้เจ้าค่ะ”
นางเป่านกหวีดแล้วม้าสิงโตหยกที่เขามอบให้ก็วิ่งมาทางนี้ เมื่อร่างของนางหายไปบนทางเดินบนภูเขาหนิงซิวก็ขับรถม้าออกตาม ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองเดินทางกลับเมืองหลวงเงียบๆ
ยุคสมัยนี้ไม่มีการห้ามออกจากจวนเวลาค่ำ หนิงซิวใช้เคล็ดวิชาหลอกตาและขับผ่านตรงไปยังเรือนจำ
หยางชูนั่งอยู่ที่ประตูรถม้าพิงกำแพงรถ และพูดกับหนิงซิวผ่านม่าน “ท่านโกรธข้าใช่หรือไม่”
หนิงซิวตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย “ข้าจะโกรธเรื่องอะไรกัน”
“ที่หน้าที่ของท่านไม่บรรลุผล”
บนท้องถนนมีผู้คนสัญจรไม่เยอะนักจึงมีแต่เสียงรถม้ากลิ้งไปบนแผ่นหิน
หลังจากนั้นไม่นานหนิงซิวก็พูดว่า “ข้าไม่สามารถพูดได้ว่าข้าโกรธ เพียงแต่ข้าเป็นห่วง เจ้าคงดูออกว่าพวกเขาต้องการผลักเจ้าให้นั่งตำแหน่งนั้น”
หยางชูยิ้ม “หากข้าบอกว่าข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นท่านเชื่อหรือไม่”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้ามีความคิดนั้นหรือไม่ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วต่อให้เจ้าไม่คิด เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้”
หยางชูกลับพูดว่า “เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วข้าไม่หนีหรอกนะ”
หนิงซิวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าตอบรับง่ายเกินไป มีเรื่องอื่นที่เจ้าปิดบังข้าอยู่หรือไม่”
หยางชูยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ แต่เรื่องนี้ข้าบอกท่านตอนนี้ไม่ได้”
“เกี่ยวกับแม่นางหมิงด้วยหรือไม่”
“…ใช่”
หนิงซิวถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เจ้าได้พบกับนาง”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีตา หมิงเวยช่วยหยางชูมาโดยตลอดเขาเองก็เห็น แต่นางก็ผลักหยางชูให้เดินทางไปยังเส้นทางนั้นด้วย
หยางชูกลับหัวเราะ เขาพิงผนังรถภายในความมืดมีแสงส่องผ่านหน้าต่างรถเป็นครั้งคราว
“หากไม่ได้พบกับนางครั้งนั้นที่เสวียนตูกวันมองเห็นดาวตี้ชิง ข้าอาจระเหเร่ร่อนได้ทั่วทุกระแหงกับท่านแล้ว การพเนจรไปชั่วชีวิตไม่อาจเรียกว่าไม่ดี แต่…ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีเช่นกัน”
หนิงซิวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกแล้วความรู้สึกส่วนนั้นในใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่เคยก็คือไม่เคย แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วจะจินตนาการถึงสถานการณ์การสูญเสียได้อย่างไร
เขาได้รับความรักตั้งแต่เกิด แต่คนที่เขารักจากไปทีละคนโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถตอบแทนได้แล้วเขาจะยอมสูญเสียอีกคนไปได้อย่างไร
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” เขาพูดเสียงเบา “ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ลุยเถอะ ปัญหาทุกอย่างล้วนมีทางออก” พวกเขามาถึงเรือนจำแล้ว
ในตอนที่หนิงซิวคลายเคล็ดวิชาและส่งอีกฝ่ายเข้าไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังขึ้นข้างหู “ขอบคุณศิษย์พี่”
หนิงซิวเงยหน้าขึ้นและมองดูเขาเข้าไปในห้องขัง นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าศิษย์พี่
……….
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นฟู่จินก็ออกมายืดเส้นยืดสายนอกเรือน
เมื่อเห็นหลู่เฉียนนั่งอยู่ในห้องโถงเขาก็เช็ดตาก่อนกล่าว “ท่านยังไม่เข้าไปที่ท้องพระโรงอีกหรือ”
หากไปว่าราชกิจที่ท้องพระโรงก็ควรไปตั้งแต่ยามห้าแล้ว
หลู่เฉียนกำลังสูบยาสูบเวลาที่ขาของเขามีอาการรุนแรงเขาก็จะบรรเทามันด้วยวิธีนี้
เมื่อได้ยินเสียงฟู่จินเขาก็เงยหน้าขึ้น “ยกเลิกกะทันหัน”
ฟู่จินตกใจ “ยกเลิกงั้นหรือ”
นั่งบัลลังก์มาสิบแปดปี ฮ่องเต้ทรงมีความขยันหมั่นเพียรมาโดยตลอดเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้
หลู่เฉียนพยักหน้าและตอบว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับกุ้ยเฟย”
“อะไรนะ!”