ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน สายตาของหนานกงเย่แผ่ซ่านไปด้วยความเยือกเย็น
กวนโทสะไม่ได้ พวกเราก็สามารถหลบเลี่ยงได้ ตอนนี้ต้องหลีกเลี่ยงการพบหน้ากันก่อน รอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้แล้วค่อยกล่าวเรื่องหย่าร้าง ฉีเฟยอวิ๋นคิดเช่นนี้ เลยหมุนตัวแกล้งทำเป็นไม่เห็นท่านอ๋องเย่
นึกไม่ถึงเลยว่า หนานกงเย่ไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นได้เดินจากไป ได้เรียกไว้แล้วกล่าวว่า “อย่างไรกัน? มองเห็นข้าแล้วทำไมถึงไม่มาน้อมเคารพข้า หรือว่ากลับจวนท่านแม่ทัพไปไม่กี่วัน กฎเกณฑ์เหล่านี้ก็ลืมไปเสียแล้ว?”
แม่เจ้า…….
ฉีเฟยอวิ๋นสับสนวุ่นวายใจร้องคำรามจากก้นบึ้งหัวใจ หมุนตัวกลับมาอดทนกับความวู่วามที่ต้องการสังหารคน กัดฟันกรอดกล่าวว่า “หลิงอวิ๋น ถวายบังคมท่านอ๋อง”
ท่านแม่ทัพฉีเห็นหนานกงเย่กลั่นแกล้งลูกสาวอันเป็นที่รัก มีโทสะขึ้นมาทันที กล่าวว่า “หนานกงเย่ ทำไมท่านถึงไม่น้อมทำความเคารพข้าล่ะ?”
“บุคคลที่จะทำให้ท่านอ๋องเช่นข้าน้อมเคารพได้ ต้องเป็นพ่อตาของข้า แต่วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นถูกลดตำแหน่งลงแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องทำ”
ท่านแม่ทัพฉีตัวแข็งทื่อ ใบหน้าซีดเผือด
บุคคลที่อยู่บริเวณรอบๆต่างพากันวิพากวิจารณ์
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย หนานกงเย่ผู้นี้ทำไมถึงได้บังคับขู่เข็ญคนเช่นนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากอภิเษกสมรสกับเธอหรือ พอดีกับที่เธอก็ไม่ได้อยากเช่นกัน
อดทนเงียบชั่วขณะ ยอมถอยหนึ่งก้าวปล่อยให้เป็นตามสบาย เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะตอบโต้หนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะพัวพันอีก เลยหมุนตัวเดินออกไป
“ช้าก่อน “หนานกงเย่หัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ “พระชายาของข้าทำการน้อมเคารพไม่ต้องคุกเข่า แต่เจ้า…..ไม่ได้!”เสียงทุ้มต่ำเย้ายวนเปล่งออกมา ดังเข้าไปภายในหูของฉีเฟยอวิ๋น คล้ายดั่งเสียงภูตผี
ฉีเฟยอวิ๋นกัดฟันกล่าวว่า “หลิงอวิ๋นน้อมเคารพท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นได้คุกเข่าลงอยู่ต่อหน้าผู้คนกลุ่มหนึ่ง
“เจ้าอยู่ต่อหน้าข้าไม่มีคุณสมบัติเป็นหลิงอวิ๋น ต้องเป็นทาสผู้ต่ำต้อย!”
หนานกงเย่มีรูปร่างราวกับหยก สีหน้าเคร่งขรึม
ฉีเฟยอวิ๋นตัวเกร็ง พูดปฏิบัติตามอีกครั้ง”ทาสผู้ต่ำต้อยน้อมเคารพท่านอ๋อง”
เวลานี้ท่านแม่ทัพฉีเกิดอาการตัวสั่นเทาระริก อีกนิดหนึ่งก็เป็นลม แทบอยากจะร้องไห้ออกมา กล่าวว่า”ลูกข้า……”
จะรู้ที่ไหนกันว่าท่านอ๋องเย่ยังคงไม่ได้ปล่อยผ่านไป กล่าวอีกว่า “น้อมเคารพต้องทำให้เหมือนกับน้อมเคารพ ก้มศีรษะลงถึงนับว่าได้ทำการน้อมเคารพแล้ว”
ภายในใจของฉีเฟยอวิ๋นกร่นด่าบรรพบุรุษของหนานกงเย่ สุดท้ายใช้สองมือกดลงที่พื้น ก้มศีรษะลงทำการน้อมเคารพ
“……”หญิงต่ำช้าผู้นี้เปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ?
หนานกงเย่คาดไม่ถึงเลยว่าคุณหนูอันเมื่อก่อนที่ไม่มีเหตุผลหยาบคาย นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะอ่อนโยนราวกับลูกแมวน้อย
กลับกันดูเหมือนว่าเขาได้สูญเสียความน่านับถือแล้ว จึงได้ทำเสียงเย็นชาในลำคอแล้วก้าวเดินผ่านฉีเฟยอวิ๋นไป
ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ท่านอ๋องเย่หยุดชะงัก แล้วกล่าวออกหน้าว่า
“ในเมื่อเป็นนางสนม เจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไป วันนี้จะลงอาญาเจ้าโดยการให้อยู่ในห้องเก็บฟืน ถ้าเจ้ากล้าออกมา ข้าจะตัดขาเจ้าให้ขาด!”
กล่าวจบบริเวณรอบๆนั้นก็หัวเราะเสียงดังครื้นเครงขึ้นมา ท่านแม่ทัพฉีตัวสั่นเทิ้ม โมโหจนอดทนไม่ไหว ด่าขึ้นเสียงดังว่า “ดีท่านหนานกงเย่ กลั่นแกล้งคนเกินไปเสียแล้ว ท่านทำเป็นว่าข้าตายไปแล้วหรืออย่างไร!”
ท่านแม่ทัพฉีเห็นลูกสาวไร้ค่า โมโหเกี้ยวกราดจนหน้าแดงก่ำ เวลาเดียวกันฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจากพื้น ปัดเช็ดทำความสะอาดร่างกาย แต่ทว่าเธอไม่ได้มีอารมณ์โทสะ
หนานกงเย่ เขาก็ไม่ได้เท่าไหร่หรอกนะ สามารถทำได้เพียงให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอลำบากใจได้ ดี มาคอยดูกัน
“ท่านพ่อ เป็นเพราะข้าไม่ดีเจ้าค่ะ ทำให้ท่านพ่อลำบาก ท่านพ่อระงับความโกรธนะเจ้าคะ หลังจากวันนี้ข้าจะไม่ให้ท่านเหนื่อยลำบากใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพยุงท่านแม่ทัพฉี ท่านแม่ทัพฉีเหมือนกับได้ยินเรื่องอะไรที่ทำให้ตกตะลึง ดวงตาจ้องเขม็ง มองลูกสาวฉีเฟยอวิ๋นด้วยความฉงน นี่คือลูกสาวของข้าหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านพ่อ พวกเราเข้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าเขา…..”
ท่านแม่ทัพฉีโมโหจนอยากจะอาเจียนเป็นเลือดออกมา ชี้ไปที่หนานกงเย่ที่อยู่ด้านใน
ฉีเฟยอวิ๋นย้อนถามว่า“ท่านพ่อเจ้าคะ หรือเพราะข้าถูกลดตำแหน่งเป็นนางสนมแล้ว เลยไม่สามารถที่จะเข้าไป? ถึงแม้ข้าจะเป็นสตรีของท่านอ๋อง ต้องเชื่อฟังท่านอ๋อง แต่ข้าก็เป็นลูกสาวของท่าน ท่านพ่อเป็นท่านแม่ทัพ วันนี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้และฮองเฮาเชื้อเชิญมาไม่ใช่เพียงแค่ท่านอ๋องเย่ ยังมีท่านพ่อนะเจ้าคะ ข้าเพียงแค่มากับท่านพ่อเจ้าค่ะ ”
แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้ ท่านแม่ทัพฉีไม่ได้คิดมากเช่นนั้น แต่เธอเพียงแค่เตือนสติผู้คนบริเวณรอบๆ ต่อหน้าหนานกงเย่เธอไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง แต่เธอก็ยังคงเป็นลูกสาวของท่านแม่ทัพ
ท่านแม่ทัพฉีมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างเห็นด้วย แล้วกล่าวปลอบฉีเฟยอวิ๋นว่า“เจ้าไม่ต้องกลัว มีพ่ออยู่ อย่าว่าแต่เป็นคำเชื้อเชิญมาร่วมงานขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้เลย เป็นพระราชวังบนสวรรค์ก็ต้องไป”
เดิมทีทั้งสองคนควรจะเข้าไปนานแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นรอจนทุกคนเข้าไปหมด ขันทีกงกงตะโกนก้องว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และฮองเฮาเสด็จมาถึงแล้ว เธอกับฉีจือซานถึงได้เข้าไป
หลังจากเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลง กล่าวว่า “หม่อมฉันสมควรตาย องค์จักรพรรดิอวี้ตี้และฮองเฮาไว้ชีวิตด้วยเถิดเพคะ!”
กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มก้มศีรษะลง
เวลานี้บรรยากาศบนท้องพระโรงมีความผิดปกติแปลกประหลาด ทั้งองค์จักรพรรดิอวี้ตี้และฮองเฮาต่างประสานสบตากัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“มีเรื่องอันใดให้ลุกขึ้นกราบทูล ข้าและฮองเฮาสามารถรับหน้าที่ตัดสินให้แก่เจ้าได้”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวแสดงพระประสงค์
แต่ทว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ยินยอมลุก
พอฉีจือซานมองลูกสาว ยิ่งรู้สึกลำบากใจ เลยได้คุกเข่าให้กับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ด้วย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกจนปัญญาโดยทันที ชี้แล้วชี้อีก กล่าวว่า “ฮองเฮา เจ้ายังนิ่งทำอันใดอยู่หรือ?”
เฉินอวิ๋นชูรีบลุกขึ้นแล้วลงมาจากด้านบน และพยุงฉีจือซานลุกขึ้น กล่าวว่า “จือซาน นี่ท่านทำอันใดกัน มีเรื่องอันใดให้เจรจากันดีๆ หลิงอวิ๋น เจ้าก็รีบลุกขึ้นเถิด อย่าทำร้ายร่างกายตนเองเลย”
เฉินอวิ๋นชูพูดเช่นนี้ ฉีจือซานหมุนตัวไปมองฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นยังคงคุกเข่าอยู่
มาไม้นี้อีกแล้วหรือ?
หนานกงเย่ยืนมองอยู่อีกฝั่งด้วยความเย็นชา รู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้ต้องการอะไรกัน
นี่ก็ใช้อำนาจบีบบังคับอภิเษกสมรสเข้ามาในจวนท่านอ๋องเย่แล้ว ยังจะใช่เล่ห์เหลี่ยมเดิมๆอีก มีจุดมุ่งหมายต้องการสิ่งใดอีกเล่า?
หนานกงเย่สีหน้าแข็งกระด้างมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลจากนั้น เพิ่งจะพบว่าวันนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่เหมือนกับปกติอย่างที่เป็น บนตัวนางสวมใส่ชุดจีนโบราณสีขาว ทั้งตัวไม่มีการประดับตกแต่ง มาตรแม้นว่าของประดับก็น้อยลง
และในอดีต ฉีเฟยอวิ๋นชอบสีฉูดฉาด เสื้อผ้าบนตัวสามารถใส่ได้ห้าสีหกสี สะดุดตาเป็นอย่างมาก
“หลิงอวิ๋น เจ้าลุกขึ้นยืนกราบทูลมา ข้าจะตัดสินให้เจ้าเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพราะว่าก้มลงใช้แรงมากจนเกินไป ในเวลานี้หน้าผากเธอแดงบวมจนเลือดไหล และเธอไม่ได้ทาแป้งเสริมสวยด้วย ใบหน้าเลยขาวซีดเผือดอย่างน่าสงสาร
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้แปลกใจ เหตุใดคล้ายดั่งเป็นโรคหนักรักษาไม่หาย?
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะอ้อนวอนเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นบรรยากาศได้แล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกเสียใจอ้อนวอน
เวลานี้ฉีจือซานร้อนใจเป็นอย่างมาก มองเห็นหน้าผากของลูกสาวแล้วรู้สึกสงสารจับใจไม่หยุด
“ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการหย่าร้างเพคะ”
คำกล่าวนี้ดังออกมา ผู้คนทั้งท้องพระโรงต่างตกตะลึง
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการหย่ากับท่านอ๋องเย่?
เวลานั้นที่หนานกงเย่ได้ยินคำกล่าวนี้ ก็มองฉีเฟยอวิ๋นหลายหน หญิงโง่ผู้นี้ รู้ว่าควรที่จะเสแสร้งปล่อยข้าไปก่อนแล้วจับให้อยู่หมัดใช่หรือไม่?
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกมึนงงเคว้งคว้าง คำเล่าลือที่ว่าเพื่อจะได้ครอบครองหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นเลยใช้อำนาจทุกสิ่งอย่าง เพิ่งจะอภิเษกสมรสก็ต้องการที่จะหย่าจากกันแล้ว?
ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูก็ไม่รู้จะทำเช่นไร มองไปที่น้องสาวของตนเองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก้มศีรษะลงไม่รู้จะทำเช่นไร วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่เหมือนปกติเล็กน้อย นางรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น?
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ใช้สายตามองผู้คนทั้งหลาย มองลักษณะท่าทางแปลกประหลาดของทุกคน รับสั่งอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “อ้ายชิงทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด วันนี้ข้ามีเรื่องภายในราชวงศ์ต้องจัดการ”
เหล่าเสนาบดีกลับออกไป องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นรับสั่งว่า “เคลื่อนขบวนไปที่พระตำหนักเฟิ่งอี๋”
พระตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นห้องบรรทมของฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู เป็นธรรมดาที่เฉินอวิ๋นชูต้องเชื้อเชิญฉีเฟยอวิ๋นไป
ระหว่างการเดินทางฉีเฟยอวิ๋นเงียบไม่กล่าวอะไรออกมาก และหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกายเธอเย็นชาจนผิดปกติ