หลิวไห่ยิ่งสงสัย คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันแน่
“ทำไมต้องหาคนคนนั้น เพื่ออะไร”
สองคนส่ายหน้า
“เราเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องหาคนก็เท่านั้นแต่เราไม่เคยก้าวก่ายชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้ทำอะไรผิดคนที่เราจับตาดูถ้าถูกคัดออกพวกเราก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอีก”
หลิวไห่เปิดซองน้ำตาลดู ในนั้นเป็นรูปถ่ายผู้หญิงหน้าตาดีจำนวนมากยังมีชื่ออายุสถานที่ทำงานและประวัติการเรียนอย่างละเอียด คนสกุลกู้กำลังทำอะไร เรื่องนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พ่อเขาตายเป็นแน่
“พวกแกแน่ใจนะว่ารู้เรื่องแค่นี้”
“เราถูกจ้างให้ทำแค่นี้จริง ๆ ไม่คิดว่าผิดอะไรนี่”
หลิวไห่ส่ายหน้า
“ไม่ผิดได้ยังไง แกเป็นตำรวจมีหน้าที่ต้องทำให้ประชาชนปลอดภัยแต่แกเล่นไปจับตาดูประชาชนเสียเอง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนี่มันผิดกฎหมายชัด ๆ ถ้าคนพวกนี้รู้แกคิดหรือว่าแกจะยังอยู่ในอาชีพนี้ได้ ฉันจะทำยังไงดีนะแฉแกดีหรือเปล่า”
ตำรวจคนนั้นคิดไม่ถึงว่าหลิวไห่จะใช้วิธีนี้เล่นงานเขา เขาส่ายหน้า
“อย่านะครับ อย่าทำเลยผมก็แค่รับงานเล็กน้อยผมสัญญาผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสัญญา”
หลิวไห่หัวเราะ
“ไม่ใช่ไม่ทำ แต่แกต้องทำเรื่องนี้ต่อให้จบ”
“ผมไม่เข้าใจครับ”
หลี่เจี่ยซินคิดว่าตำรวจคนนี้เหมือนจิ้งจกเปลี่ยนสี เมื่อสักครู่ยังด่าว่าเธอและเฉินเฟยอวี๋ด้วยคำพูดรุนแรงอยู่เลย ตอนนี้แทบจะหมอบแทบเท้าพวกเขาอยู่แล้ว
“ข้อแรกถ้าแกไม่ทำต่อ คนที่จ้างแกก็ต้องสงสัยและกำจัดแกแน่ฉันเตือนเพราะหวังดี คนพวกนี้ฉันรู้จักดีพวกมันฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ”
ตำรวจคนนั้นคิดแต่จะเอาตัวรอด เมื่อได้ยินหลิวไห่พูดประเด็นนี้ก็ทำให้เขาถึงกับตัวสั่น
“ข้อสอง ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันกำลังหาใครและคิดจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นถ้าได้คนที่เก่งที่สุดแล้วแกต้องส่งข่าวให้ฉัน”
เฉินเฟยอวี๋ดึงรูปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองออกมาแล้วโยนลงที่พื้น
ตำรวจคนนั้นเห็นรูปถึงกับตกใจ มือของเขาสั่นจนควบคุมไม่ได้
“ลูกเมียแก แม่ยายแก ยายของแก พ่อแม่แก คนทั้งหมดนี้ฉันรู้ว่าอยู่ที่ไหน จำไว้หลังจบงานนี้แกก็อย่าได้ยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกเพราะแกกำลังลากพวกเขามาลำบาก”
“อย่าทำอะไรพวกเขาเลยนะครับ”
ร่างใหญ่ของตำรวจถึงกับทรุดลงบนพื้น เขาหยิบรูปพวกนั้นแล้วรีบยัดใส่กระเป๋า
“มันก็ขึ้นอยู่กับแก แกอีกคนอย่าคิดว่าฉันจะตามไม่รู้ว่าแกคือใคร ทั้งสองคนอย่าทำให้ผิดหวังถ้างานสำเร็จรับรองว่าฉันมีรางวัลให้มากกว่าที่แกได้รับอีก”
หลิวไห่รู้นิสัยคนพวกนี้ดี นอกจากความสัมพันธ์ของครอบครัวที่คนบางคนไม่มี ก็ต้องใช้เงินเป็นตัวล่อ เขาตบไหล่คนทั้งสองแล้วบอกว่า
“เห็นความสามารถของคนของฉันแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าคิดจะหักหลังก็คิดให้ดี ๆ รับรองว่าพวกแกจะตายโดยไม่ได้กะพริบตาด้วยซ้ำ”
หลี่เจี่ยซินโยนปืนของผู้ชายอีกคนให้หลิวไห่ เขาเอากระสุนออกแล้วคืนให้คนทั้งสองพร้อมกับลุกขึ้น
“นั่งหันหน้าชิดกำแพงแล้วหลับตา แล้วฉันจะติดต่อมา”
คนพวกนั้นทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย หลิวไห่เดินไปคืนหมวกกันน็อคไว้ที่เดิมคนส่งของที่กำลังวิ่งวุ่นถามหาหมวกกันน็อคของตัวเองจากในตึกที่เขาขึ้นไปส่งอาหารออกมาพอดี เขากำลังจะต่อว่าหลิวไห่ที่กำลังเดินหนีแต่เห็นเงินปึกหนึ่งวางอยู่ที่เบาะก็รีบคว้าเงินขึ้นมาแล้วหุบปากสนิท
เขาตะโกนไล่หลังหลิวไห่ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
“ขอบคุณที่ใช้บริการ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ”
หลี่เจี่ยซินเปิดเบาะนั่ง ข้างในมีหมวกกันน็อคสำหรับคนซ้อนอีกอัน
“อ้าวมีด้วยเหรอ ทำไมไม่บอก”
“จะรู้เหรอว่าเธอจะเข้าไป ฉันบอกให้คอยอยู่ที่นี่พักหลังมานี่ชักจะเป็นอันธพาลขึ้นทุกวันแล้วนะ ไม่รู้ไปติดนิสัยจากใครมา”
หลิวไห่เบ้ปาก
“จ้ะ แม่คนดี”
หลี่เจี่ยซินหัวเราะจนตาหยี
“ฉันน่ะใช้กำลังเป็นนิสัยแล้ว แต่เธอบอบบางขนาดนี้จะมาใช้กำลังได้ยังไง”
หลี่เจี่ยซินลูบแขนที่มีกล้ามแน่นเป็นมัด ๆ ของเขาแล้วมองเฉินเฟยอวี๋ในสายตาของเธอเหมือนผู้หญิงร่างบางคนหนึ่ง
หลิวไห่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อหลี่เจี่ยซินคิดแบบนั้นกับผู้ชายกล้ามโต ที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุดในคุกและยังเป็นประธานจอมโหดที่ใครต่อใครหวาดกลัวว่าคนบอบบาง
เอาเถอะ เธออยากจะคิดอะไรก็เรื่องของเธอแล้ว
คราวนี้หลี่เจี่ยซินถามเขาอย่างเป็นงานเป็นการ
“ไปไหนต่อคะเจ้านาย”
หลิวไห่มองซองสีน้ำตาลที่เพิ่งได้มาอย่างครุ่นคิด และจู่ ๆ เขาก็คิดบางสิ่งออก
“ไปที่ที่หนึ่ง เธอลงมาฉันจะขับเอง”
หลี่เจี่ยซินไม่แน่ใจ
“แต่ที่รักเธอขับมอไซต์ไม่เป็นนะ”
หลิวไห่พ่นลมหายใจออกมา เขาจะบอกว่าไปฝึกขับมาแล้วก็คงเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่า ในเมื่อหลี่เจี่ยซินอยู่กับเฉินเฟยอวี๋แทบจะตลอดเวลา
“ขอโทษลืมไปน่ะ”
“แล้วที่รักจะไปไหนต่อล่ะ”
“ไปที่นี่…”
หลิวไห่ตั้งจีพีเอสที่หน้าจอบิ๊กไบท์ให้หลี่เจี่ยซินเสร็จสรรพ
“ไปที่นี่ มีของที่ลืมไว้นานแล้วจะกลับไปเอา”
“ได้เลยค่ะเจ้านาย เอาล่ะกอดแน่น ๆ ด้วย ไม่ใช่จับชายเสื้อแบบนั้นมันอันตราย”
“ได้จ้ะ”
หลิวไห่แสร้งทำเสียงของเฉินเฟยอวี๋อีกครั้ง การทำเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนี้ทำให้เขารู้สึกขนลุกไม่คิดว่าตัวเองจะเหมือนเฉินเฟยอวี๋จนคนแยกไม่ออกแบบนี้ ความเหมือนทางด้านร่างกายของเขาและเฉินเฟยอวี๋เรียกได้ว่าเกือบจะเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เพียงแต่เขาสูงกว่าเฉินเฟยอวี๋ราวสองเซ็นติเมตร และมีเสียงที่ทุ้มกว่ามากแต่เรื่องพวกนี้มันเล็กน้อยเท่านั้น จึงแน่นอนว่าไม่มีใครแยกพวกเขาออกว่าใครเป็นใครตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว
เขานั่งซ้อนหลังเธอแล้วใช้สองมือจับเอวของเธอ หลี่เจี่ยซินส่ายหน้าไม่พอใจ เธอจับมือของเขาแล้วโอบรอบเอวบางของเธออย่างแน่นหนา
หลิวไห่แนบร่างหนาใหญ่โตของเขาลงบนแผ่นหลังบอบบางของเธอพร้อมกับฟังหลี่เจี่ยซินพูดประโยคที่ทำให้เขาพูดไม่ออกอีกครั้ง
“กอดแน่น ๆ นะที่รักบอบบางแบบนี้กลัวว่าเธอจะปลิวไปตามลมน่ะ”