หูเสี่ยวเทียนได้รับการประสานจากเบื้องบนให้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตเหยื่อที่ถูกจับกุมตัวทันที แต่น่าเสียดายที่เมื่อไปถึงปรากฎว่ามีเพียงเหยื่อบางคนเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้
ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นได้จากไปอย่างรีบร้อน พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ถูกจับตัวไปและยังมีหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสซี่โครงหัก
อีกทั้งกล้องวงจรปิดทั้งหมดยังถูกทำลายจนไม่เหลือซากเพื่อป้องกันตำรวจหาหลักฐานมัดตัวคนที่อยู่เบื้องหลัง
“ผู้กองครับดูเหมือนว่าสถานที่นี้จะเพิ่งปรับปรุงเป็นที่ขังคนได้ไม่นานครับ ไม่ใช่รังใหญ่ของพวกมัน”
หูเสี่ยวเทียนเดินดูรอบ ๆ ผู้หญิงหลายคนที่ถูกจับมาอย่างน้อยก็อยู่ที่นี่บางส่วน พวกเธอแต่ละคนเหมือนจะไม่มีสติและพูดจาวกวนไม่รู้เรื่อง รถพยาบาลพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่ที่เขารู้ข่าว เขาไม่รู้ว่าเป็นใครที่ส่งข้อมูลพวกนี้ให้นายระดับสูง แต่ถึงจะอยากรู้คนพวกนั้นก็ไม่ให้เขารู้อยู่ดี
ในห้องทำงานแทบจะไม่มีอะไรเหลือเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากอุปกรณ์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่อาจจะเห็นได้ทั่วไปตามห้องแล็ปต่าง ๆ หูเสี่ยวเทียนสั่งให้คนจัดการเอาไปให้หมด
“ผู้กองครับในห้องด้านนั้นพบคนไม่สวมเสื้อผ้านอนบาดเจ็บสาหัสอยู่สองคนครับ พวกเขายังไม่ตาย”
“เรียกกู้ภัยมาเร็ว”
“ครับ”
หูเสี่ยวเทียนขออำนาจเบื้องบนให้คนทั้งหมดที่เขาเจอวันนี้เข้าโครงการคุ้มครองพยาน สั่งเสริมตำรวจเฝ้าพวกเธออย่างแน่นหนาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนผู้ชายสองคนที่บาดเจ็บคงจะถูกทิ้งเพราะคนพวกนั้นเข้าใจผิดว่าพวกเขาตายแล้วเป็นแน่
ไม่แน่ว่าคนที่ทำเรื่องนี้อาจจะย้อนรอยมาฆ่าคนปิดปากก็เป็นได้ หูเสี่ยวเทียนจึงต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ เขาเรียกลูกน้องมาสั่งอย่างเด็ดขาด
“คนที่เฝ้ายามสองคนนั่น ต้องเป็นคนของเราเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นพยาบาลหรือหมอ ห้ามเข้าไปรักษาพวกเขาโดยไม่มีคนของเราอยู่ด้วยเข้าใจหรือเปล่า”
“ครับ ผู้กอง”
“ถ้าเป็นไปได้ สถานที่รักษาสองคนนั้นห้ามเปิดเผยให้คนนอกรู้เด็ดขาด”
ลูกน้องรับคำสั่งอย่างหนักแน่น หูเสี่ยวเทียนจึงตรงไปยังรถตัวเองขับตามรถพยาบาลไปโดยไม่ให้คลาดสายตา
เขาเฝ้าตามคดีลักพาตัวมานานนับเดือน กลับไร้วี่แววและข่าวคราว คิดว่าคนร้ายมีความเป็นมืออาชีพมาก แม้กระทั่งคนที่พวกเขานัดดูตัวด้วยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ไม่รู้ว่าคนที่ส่งข่าวนี้ให้กับนายตำรวจชั้นสูงเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกรู้ละเอียดจนกระทั่งทำให้พวกเขาตามตัวเหยื่อได้
ไม่ว่าคนที่ส่งข่าวจะเป็นใคร หูเสี่ยวเทียนก็คิดที่จะสืบให้รู้ให้ได้ เขาคิดว่าคนคนนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้าย หรืออาจจะหักหลังกันจนต้องการเล่นงานอีกฝั่งก็เป็นได้
หลี่เจี่ยซินขับรถไปยังสถานที่นัดพบกับหลิวไห่ตามจีพีเอสที่เขาส่งมาให้อย่างไม่รีบร้อน เธอขับรถวกวนจนกระทั่งมาถึงถนนเส้นเปลี่ยวเส้นหนึ่ง
“ที่รักเธอไปหาที่แบบนี้ได้ยังไง”
หลี่เจี่ยซินหัวเราะเพราะสองข้างทางที่เธอผ่านมาตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยแปลงผักของชาวบ้าน และห่างไกลผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
“ที่นี่แหละ เพราะว่าไม่มีกล้องวงจรปิดฝั่งของประธานกู้ก็มีมือดีที่เราประมาทไม่ได้ ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอต้องขับรถลำบาก”
หลี่เจี่ยซินโอดครวญทันที
“ไกลมากเลยนี่ฉันขับรถมาเกือบสี่ชั่วโมงแล้วนะ”
เสียงทุ้มของหลิวไห่ดังขึ้น
“เอาไว้ฉันจะเลี้ยงหม้อไฟ”
หลี่เจี่ยซินกลับหัวเราะ
“ขี้งก แค่หม้อไฟจะพออะไรฉันต้องเสี่ยงอันตรายเพราะหม้อไฟหรอกเหรอ”
หลิวไห่กลับทำเสียงเข้มตอบกลับมา
“ฉันจะเลี้ยงเธอตลอดชีวิต ไม่ดีเหรอ”
น้ำเสียงของเขาทั่งนุ่มนวลทั้งจริงจัง จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็เกิดหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงซ่านเหมือนสาวน้อยแรกรุ่น
“อย่าพูดเล่นน่า ถ้าเธอทำไม่ได้”
เขากลับพูดมาว่า
“ก็จะลองดู เธอว่ายังไงล่ะ”
หลี่เจี่ยซินถึงกับนิ่งอึ้ง เธอรู้ว่าเฉินเฟยอวี๋เป็นคนที่ชอบพูดเล่น ที่ผ่านมาเขาก็มักพูดประโยคพวกนี้อยู่บ่อย ๆ แต่หลี่เจี่ยซินฟังแล้วก็รู้สึกขบขันและรู้ว่ามันไม่จริง
แต่คราวนี้ทำไมเธอถึงได้คิดจริงจัง ว่าเขาคนนี้กำลังพูดเรื่องนี้กับเธออย่างจริงใจกันนะ
หลี่เจี่ยซินเธอจะบ้าไม่ได้ เขาคือเฉินเฟยอวี๋ที่เปลี่ยนผู้ชายยิ่งกว่าเปลี่ยนกระดาษชำระเสียอีก จะไปจริงจังกับคำพูดของเขาไม่ได้เป็นอันขาด
หลี่เจี่ยซินคิดไปไกล จนกระทั่งได้ยินเสียงเฉินเฟยอวี๋พูดว่า
“จากพิกัดของเธออีกไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงแล้ว ไม่ต้องรีบนะถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“อื้อ”
หลี่เจี่ยซินตอบสั้น ๆ แล้ววางสายไป
หลี่เจี่ยซินสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง เธอไม่สมควรคิดมากกับเฉินเฟยอวี๋เธอมีหูเสี่ยวเทียนที่เธอคิดว่าเธอชอบเขามาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือแล้ว เธอไม่ควรว่อกแว่กกับผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิงอย่างเฉินเฟยอวี๋อีก
คงเป็นแค่เพราะมีอะไรกัน เธอจึงเกิดความรู้สึกแปลก ๆ กับเขา แต่จริง ๆ เธอมั่นใจว่าเธอชอบหูเสี่ยวเทียนแน่ ๆ
จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็เกิดอาการปวดศีรษะอย่างแรง มันเกิดขึ้นเพียงวูบเดียวจนเธอเกือบขับรถลงข้างถนน หลี่เจี่ยซินเบรกรถกระทันหันโชคดีที่รถขับมาช้าเพราะถนนไม่ค่อยดี หากเป็นที่ถนนหลวงเธอคงขับชนคันอื่นไปแล้ว
ความเจ็บปวดนั้นถึงจะมาไม่ถึงสิบวินาที แต่หลี่เจี่ยซินกลับรู้สึกหมดแรง เหมือนกับว่าเธอกำลังจะตาย ช่างเป็นสิบวินาทีที่ยาวนานมาก หญิงสาวรอจนกระทั่งตัวเองรู้สึกดีขึ้น เธอไม่รู้ว่าระหว่างที่ผู้ชายคนนั้นดูดเลือดของเธอ เขาได้ใส่อะไรในร่างกายของเธอหรือไม่
หลี่เจี่ยซินคิดว่าต้องเป็นเพราะเขา เธอต้องให้หมอตรวจอย่างละเอียดแล้วว่าทำไมเธอจึงรู้สึกปวดหัวแบบนี้ได้กัน หลี่เจี่ยซินตั้งสติเมื่อเห็นว่าตัวเองสามารถขับรถได้แล้วจึงเริ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้ง
หลิวไห่รอเธออยู่แล้วเมื่อหญิงสาวจอดรถเธอก็ถอดหน้ากากออก ลงรถมาด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับสาวน้อยที่เพิ่งกลับจากทัศนศึกษาที่แสนสนุก
หลิวไห่ก้าวเท้าเร็วเท่ากับวิ่งดึงร่างของหลี่เจี่ยซินเข้าไปกอดทันที หลี่เจี่ยซินยิ้มน่าบานแน่นอนว่าเธอมีความสุขรู้สึกเหมือนเขาเป็นสามีที่แสนห่วงใยในตัวเธอ
“บาดเจ็บหรือเปล่า เธอมาช้าไปห้านาที ฉันเห็นว่าเธอไม่เคลื่อนไหวไปช่วงเวลาหนึ่งเกิดอะไรขึ้น ถึงไม่ตอบฉันในตอนนั้นฉันเป็นห่วงมากจนจะขับรถไปตามเธออยู่แล้ว ดีที่เธอขยับรถก่อน”
หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร ถนนไม่ค่อยดีฉันเลยหยุดรถดูก็แค่นั้นฉันไม่เป็นไรจริง ๆ”
เธอยกมือโอบรอบร่างของเขาพร้อมกับซุกใบหน้าเข้าสู่อ้อมอกอบอุ่นนั่น
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว อย่าทำให้เป็นห่วงอีก”
หลิวไห่กอดหลี่เจี่ยซินแน่น เมื่อสักครู่ที่เธอหยุดรถในระบบติดตามของเธอไม่เคลื่อนไหว ติดต่อไปหลี่เจี่ยซินก็ไม่ตอบ แถวนีไม่มีกล้องวงจรปิดเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ จนกระทั่งเธอเคลื่อนไหวอีกครั้งเขาจึงค่อยโล่งใจหน่อย
“ขอบใจนะ ฉันน่ะรู้สึกแปลก ๆ อีกแล้ว”
มือของเธอยังซุกซนแอบลูบกล้ามของเขาเล่นอย่างโหยหา จนกระทั่งหลิวไห่รู้สึกตัวจึงดันร่างเล็กของหลี่เจี่ยซินออกมองเธอด้วยสายตาตำหนิในตอนนี้หลิวไห่แน่ใจแล้วว่าหลี่เจี่ยซินไม่เป็นอะไรแน่ ๆ เธอถึงได้ลูบไล้เขาต่อหน้าธารกำนัลและยังล้วงเข้าไปในเสื้อเชิตของเขาและเล่นหัวนมของเขาจนหลิวไห่ขนลุกไปหมดแล้ว
“คนลามกก็สามารถลามกได้ทุกที่”
“ที่รักฉันแค่หาความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าถือสากันเลย”
หลี่เจี่ยซินยกนิ้วของตัวเองมาดมสูดความหอมของร่างกายของชายหนุ่มที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วของตัวเองราวกับคนที่เป็นโรคจิตคนหนึ่ง หลิวไห่ส่ายหน้าใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของเธอเบา ๆ ก่อนจะกุมมือของเธอเอาไว้ กระทั่งมือนั่นเธอก็ไม่ละเว้นคว้าไปดมทั้งชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง
“พอได้แล้ว ไม่อายคนหรือไง”
หลิวไห่มองลูกน้องของตัวเองที่มองพวกเขาดวงตาเป็นประกาย หลิวไห่แต่เดิมเป็นคนเคร่งขรึมและค่อนข้างถือตัวเย็นชา แต่เมื่อต้องมาอยู่ในร่างของเฉินเฟยอวี๋แล้วเขาก็เปลี่ยนไปมาก
โดยเฉพาะต่อหน้าหลี่เจี่ยซินคนนี้ ดูเหมือนว่าหลิวไห่จะแสดงอยู่ให้คนอื่นเห็นในมุมที่อ่อนโยนที่เขามีอยู่บ่อย ๆ
สุดท้ายแล้วหลี่เจี่ยซินก็ไม่สามารถสลัดเขาหลุดได้ เธอเข้ามาเคลียคลอเขาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นที่ตัวเองชื่นชอบออกมาจากตัวของเขา
“นี่เธอใส่น้ำหอมกลิ่นที่ฉันชอบด้วยนี่ อยากเอาใจฉันเหรอที่รัก”
หลี่เจี่ยซินยิ่งร่าเริงขึ้น หลิวไห่กระแอมแล้วตอบเสียงแข็ง
“แค่หยิบมั่ว ๆ ไม่ได้ตั้งใจหรอก”
หลี่เจี่ยซินเบะปาก
“ว๊า ชอบทำลายความหวังเล็กน้อยของฉันเสียจริง”
เอาล่ะ หลิวไห่ถอนหายใจไม่คิดจะพูดเล่นกับเธออีก ยังมีงานสำคัญต้องทำ
“พอได้แล้วน่า หลี่เจี่ยซินผู้ชายคนนั้นเขาอยู่ไหน?”
“ท้ายรถ”
หลี่เจี่ยซินชี้ไปด้านหลัง หลิวไห่จึงสั่งคนของเขาให้หิ้วปีกนักวิทยาศาสตร์คนนั้นมา ดูจากสภาพของเขาที่ไม่ได้สติตอนนี้ทำให้หลิวไห่มองหลี่เจี่ยซินอย่างไม่ไว้วางใจ
“ฉันบอกให้เบามือ ไม่ใช่ว่าเธอฆ่าเขาไปแล้วนะ”
หลี่เจี่ยซินห่อปากอย่างไม่พอใจ
“ฉันรู้กำลังดีหรอกน่า แค่ทำให้หลับเท่านั้นเขาอาจจะคอเคล็ดเล็กน้อยตอนตื่นขึ้น รับรองไม่ตายแน่นอน”
หลิวไห่สั่งให้หมอตรวจร่างกายของคนคนนั้น พร้อมกับให้คนลากเข้าไปด้านในเขาสงสัยว่าผู้ชายคนนี้โดนหลี่เจี่ยซินตีไปแรงแค่ไหน ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก