หลี่เจี่ยซินออกจากโรงพยาบาลแล้วพร้อมกับผลตรวจที่ทำให้เธอค่อนข้างเป็นกังวล เธอขอให้หมอเก็บเป็นความลับและตั้งใจจะมาพบหมอตามที่นัดทุกครั้ง เรื่องนี้เธอไม่ต้องการให้เฉินเฟยอวี๋รู้ให้เขาไม่สบายใจ
เกิดเนื้องอกในสมองของเธอซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่พบความผิดปกติแต่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เดิมทีหมอไม่ได้กังวลอะไรแต่ภาวะการปวดหัวจนถึงขั้นเลือดกำเดาไหลอย่างรุนแรงของเธอทำให้ทางแพทย์กำลังพิจารณาประเด็นนี้อย่างละเอียด ที่สำคัญเหมือนกับว่ามันจะค่อย ๆ โตขึ้นอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ
หลี่เจี่ยซินที่ได้รับการดูแลจากเฉินเฟยอวี๋อย่างดีในตอนที่เธอเข้าโรงพยาบาลแค่นี้ก็รู้สึกดีแล้ว เมื่อกลับมาถึงบ้านเฉินเฟยอวี๋ก็กลับไปบริษัทเขาให้เธอพักผ่อนให้ดีอีกทั้งเรื่องที่มีคนสวมรอยมาเป็นพยาบาลเพื่อตรวจเลือดของเธอตอนนี้กำลังให้ตำรวจสอบสวนและยังมีคนของเขาร่วมด้วย
หลังจากพาหลี่เจี่ยซินไปส่งหลิวไห่ก็กลับเข้ามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาขอไฟล์นางพยาบาลคนนั้นมาดู ผู้หญิงคนนั้นหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครเห็น เธอเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลในนี้แต่วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ โดยปกติเธอต้องไม่มาทำงาน
หลิวไห่ได้รับที่อยู่ของพยาบาลคนนั้น เขาไม่ได้แจ้งความและยังไม่คิดจะเอาความต่อแต่ได้ขับรถไปที่พักของพยาบาลคนนั้น เธออาศัยอยู่ที่คอนโดสวัสดิการของโรงพยาบาล และเมื่อไปถึงห้องหลิวไห่กดกริ่งอยู่นานก็ไม่มีใครเปิด
“โทษนะครับ มีใครอยู่หรือเปล่าครับ”
เขากดกริ่งเรียกคนข้างในหลายครั้ง จนกระทั่งเขาตัดสินใจให้ดวงตาสวรรค์ปลดรหัสล็อคให้ โชคดีที่มันใช้ระบบคอมพิวเตอร์จึงไม่ทำให้เขาลำบากในการเข้าไปนัก เมื่อหลิวไห่เข้าไปในห้องก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพยาบาลคนนั้นกลับนอนสลบอยู่ที่พื้น
ไม่รู้ว่าสลบไปนานแค่ไหนแล้ว
เขาโทรแจ้งเรื่องนี้กับโรงพยาบาลให้เอารถพยาบาลมารับ ปรากฎว่าเธอถูกวางยาสลบในห้องพักตัวเอง และถูกสวมรอยเข้าไปทำงาน แล้วผู้หญิงคนนั้นหายไปได้ยังไงโดยที่ไม่มีใครเห็น
หลิวไห่โทรหาดวงตาสวรรค์สั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณรอบโรงพยาบาลหาผู้หญิงคนที่ร้ายที่สวมรอยเป็นนางพยาบาลคนนั้น เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเลือดของหลี่เจี่ยซินดันเข้าไปอยู่ในมือของคนร้าย
คนร้ายต้องการเลือดของหลี่เจี่ยซินไปเพื่ออะไร หรือว่าพวกเขาสืบได้แล้วว่าเป็นใครที่เข้าไปทลายสถานที่วิจัยลับของพวกเขา
เมื่อหลิวไห่ออกมาแล้ว เฉินเฟยอวี๋ตัวจริงก็กลับบ้าน เขาสวมกอดเธออย่างดีใจที่เธอไม่เป็นอะไรมาก ข้างตัวของเธอมีผลไม้ที่หยางซิวและน้องสาวของเขาช่วยกันปอกให้หลี่เจี่ยซิน ทั้งยังดูแลเธอเหมือนกับคนที่ป่วยติดเตียงคนหนึ่ง
เป็นเพราะหลี่เจี่ยซินยังกังวลเรื่องเนื้องอกในสมองของเธอ ซึ่งหมอบอกว่าอัตราการเติบโตของมันช่างรวดเร็วนัก เธอจึงได้แต่นอนพวกเขาอย่างสงบ เมื่อเห็นสายตารักใคร่ของเฉินเฟยอวี๋ที่มองหยางชิวแล้วยิ่งปวดใจ
เมื่อคืนเธอก็ได้รับสายตาแบบนี้จากเฉินเฟยอวี๋แต่ตอนนี้เมื่อมีหยางชิวอยู่ด้วย เธอจึงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ถึงจะออดอ้อนเขายังไง เฉินเฟยอวี๋ก็ยังไม่มอง
หลี่เจี่ยซินคิดมาก เธอคิดว่าเธอกำลังจะตายแล้ว ก็สมควรปล่อยให้เฉินเฟยอวี๋มีความสุขให้มาก ภาพของเด็กหญิงที่หัวเราะกับพี่ชายทั้งสองอย่างมีความสุขทำให้หลี่เจี่ยซินรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
เด็กหญิงที่หัวเราะโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองทำไมช่างคุ้นเคยแบบนี้
ในที่สุดหลี่เจี่ยซินก็ลุกพรวดขึ้น หลายวันมานี้มีบางอย่างที่เหมือนเธอจะลืมไปนานแล้วค่อย ๆ กลับเข้ามาอีก จนกระทั่งเฉินเฟยอวี๋พูดขึ้น
“ที่รักวันเกิดเธอปีนี้เราล่องเรือฉลองกันทั้งบริษัทเลยดีหรือเปล่า บริษัทก็เข้าที่เข้าทางแล้วจะได้ตอบแทนพนักงานด้วย”
หลี่เจี่ยซินมองหน้าเฉินเฟยอวี๋ แล้วเอ่ยคำหนึ่งออกมา
“ใช่ วันเกิด”
เฉินเฟยอวี๋พยักหน้า
“ใช่เธอจะอายุยี่สิบห้าปีแล้วนะ นับว่าไม่ใช่เด็กสาวแล้วต่อไปทำอะไรต้องระมัดระวัง ฉันไม่ปล่อยให้เธอใช้กำลังอีกแล้ว เห็นหรือเปล่าเครียดจนล้มป่วยแบบนี้”
หลี่เจี่ยซินเลิกผ้าห่มที่คลุมตัวออก จู่ ๆ เธอก็ดีดร่างของตัวเองให้เด้งออกจากเตียงนอนอย่างว่องไว หลี่เจี่ยซินคว้าเสื้อคลุมมาสวมในขณะที่ทุกคนมองเธออย่างมึนงง เมื่อสักครู่เธอยังทำท่าเหมือนคนตายอยู่นี่ ตอนนี้หลี่เจี่ยซินทำท่าเหมือนตัวเองกำลังจะออกรบกับข้าศึก
เฉินเฟยอวี๋ไม่พอใจหญิงสาวคนนี้ จึงตวาดเสียงดัง
“นี่เธอจะไปไหน นอนลงเลยนะ”
หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า
“ที่รักฉันมีที่ต้องไป ฉันไปก่อนนะไม่ต้องห่วง”
แล้วเธอก็คว้ากุญแจรถ หายไปอย่างรวดเร็ว เฉินเฟยอวี๋สั่งให้ลูกน้องตามเธอติด ๆ อย่าให้คลาดสายตาและอย่าให้เธอได้รับอันตรายได้ ทั้ง ๆ ที่ เขารู้ดีว่าหลี่เจี่ยซินสามารถสลัดคนพวกนั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว
“แย่แล้วเธอไปไหนกันเนี่ย ฉันต้องโทรบอกพี่ชายให้ตามเธอแล้ว”
เฉินเฟยอวี๋โทรบอกหลิวไห่อย่างรวดเร็ว
“หลี่เจี่ยซินไม่ได้บอกว่าจะไปไหน แต่ท่าทางรีบร้อนมาก ลูกน้องเพิ่งโทรมาบอกว่าเธอสลัดพวกเขาหลุดแล้วตามไม่ทันแล้วทำยังไงดี”
หลิวไห่กรอกเสียงตอบ
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะตามเธอเอง นายช่วงนี้ก็อย่าออกไปเพ่นพ่าน ที่บริษัทฉันให้น้องสาวนายกลับมาคุมแล้วและยังควบคุมให้ดีด้วยไม่ต้องห่วงงาน”
ข้อเสนอที่หลิวไห่ยื่นให้กับน้องสาวของเฉินเฟยอวี๋ค่อนข้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อเธอ ยังไงเรื่องการบริหารก็ต้องยอมรับว่าเฉินเฟยอวี๋สู้น้องบุญธรรมของเขาไม่ได้ ดังนั้นหลิวไห่จึงคิดใช้งานคนหลังจากสั่งสอนเธอไปไม่ให้เธอกล้าหืออีก
หญิงสาวคนนั้นแม้จะคิดว่าตัวเองมีอำนาจในบริษัท แต่กลับถูกคนที่เหี้ยมกว่าและประสบการณ์มากกว่าอย่างหลิวไห่กำราบได้ในพริบตา เขายังขู่ฆ่าเธอโดยไม่สนใจว่าเธอจะเป็นผู้หญิงหรือเปล่า หากเธอคิดจะยืมมือคนอื่นมาทำให้บริษัทลำบากอีก
ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นที่เติบโตมากับเฉินเฟยอวี๋จะจับได้แล้วว่าเขาไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ และดูเหมือนว่าเธอรู้แต่เธอไม่ยอมพูดออกมา ยังเข้าหาเขาอย่างใกล้ชิดหลายครั้งอีกต่างหาก
หลิวไห่ได้แต่ยืนกรานด้วยการกระทำว่าเขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับหลี่เจี่ยซิน ดังนั้นขอให้เธอหยุดอยู่แค่นั้น แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นก็พอรู้ฝีมือของหลี่เจี่ยซินอยู่บ้าง เธอจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เกินเลยอีก
หลิวไห่ดูจีพีเอสติดตามตัวที่เอาแอบติดไว้ในกระเป๋าของหลี่เจี่ยซิน พบว่าเธอกลับไปที่บ้านของคุณยายของเธอ หลิวไห่เคยไปที่บ้านหลังนั้นแล้วครั้งหนึ่งเขาจึงรีบขับรถตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
หลี่เจี่ยซินจอดรถ พร้อมกับถลาเข้าไปร้องเรียกหาคุณยาย หลังจากหลิวไห่ไปฮ่องกงเธอก็มานอนกับคุณยายเพื่อซ่อนตัวอยู่หลายวัน ในวันที่มานอนที่นี่คุณยายของเธอซึ่งหลง ๆ ลืม ๆ วันหนึ่งถึงกับวิ่งหน้าตาตื่น ทั้ง ๆ ที่ปกติคุณยายจะเดินลำบาก แต่วันนั้นกลับวิ่งได้คล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง
คุณยายมาเขย่าร่างของเธอให้ตื่นขึ้น พร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“กลับมาแล้วเหรอหลานรัก กลับมาแล้ว อย่าหายไปไหนอีกนะ อย่าหายไปไหนอีก”
หลี่เจี่ยซินคิดว่าคุณยายฝันร้ายในคืนนั้น เธอไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ แต่หลังจากที่ความทรงจำคล้ายมีคล้ายไม่มีของเธอเกิดขึ้นเธอก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก หลี่เจี่ยซินไม่รู้ว่าจะได้ข้อมูลที่เธอสงสัยกับคุณยายผู้เลอะเลือนกระทั่งจำชื่อของตัวเองไม่ได้หรือเปล่า แต่เธอก็จะค่อย ๆ ลองถามคุณยายดู
คนรับใช้เข้ามารับของจากเธอ ระหว่างทางหลี่เจี่ยซินยังมีเวลาเล็กน้อยจึงซื้อของบำรุงมาฝากคุณยายเช่นทุกครั้ง แม้จะร้อนใจแค่ไหนเธอไม่อยากเผยความร้อนใจนี้ให้คนแก่รู้ได้
อย่างน้อยก่อนเธอตาย ก็ขอให้เรื่องที่เธอสงสัยนั้นได้คลี่คลายเธอจะได้นอนตายตาหลับ