“ท่านคะพบคนแล้วค่ะเป็นเธอค่ะ”
ประธานกู้กระตุกมุมปากคล้ายจะยิ้มเมื่อเลขาคนสนิทเข้ามารายงาน
“ดี บทจะเจอก็ง่ายดายจริง ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด”
“เธออยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่อาคารลับห้องทดลองในคุณหมิงค่ะ”
ประธานกู้มีความพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาสูญเสียคนไปมากเปลืองแรงไปเยอะกลับไม่ได้ผล แต่เพียงแค่ให้เธอคนนั้นออกทำงานกลับสามารถตามตัวคนมาได้อย่างง่ายดาย กระนั้นเขาก็ยังชั่งใจว่าการแลกกันในครั้งนี้จะมีค่าพอหรือไม่
เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นบนเสื้อแล้วจัดเสื้อสูทให้เป็นระเบียบแม้ว่าจะไม่มีฝุ่นเลยก็ตามด้วยความเคยชิน
“จองตั๋วเครื่องบิน”
เลขาขยับตัวแล้วเอ่ยว่า
“เรียบร้อยแล้วค่ะท่าน พร้อมที่ท่านจะบินได้ทุกเมื่อค่ะ”
ประธานกู้พยักหน้า กล่าวพึมพำออกมา
“หลายปีแล้วสินะที่ไม่ได้กลับไปเหยียบแผ่นดินใหญ่ ถึงจะหนีแค่ไหนก็คงต้องกลับไปอยู่ดี”
เขาไอออกมา ประธานกู้ยกมือขึ้นปิดปากบางสิ่งสีแดงไหลออกมาจากมุมปากของเขา เลขาเห็นแล้วตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ประธานกู้กับทำใบหน้าเฉยชา เขารับทิชชู่เปียกจากเลขาที่เตรียมไว้ให้เสมอมาเช็ดปากของตนเอง
รอยสีแดงของเลือดกลายเป็นสีจางจนกระทั่งไม่มีในที่สุด ประธานกู้ปามันทิ้งถังขยะแล้วเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่ยี่หระ โดยมีเลขาเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ
ภายนอกห้องทำงานลูกน้องและบอดีการ์ดนับสิบคนต่างยืนตรงค้อมกายให้เขาอย่างนอบน้อม แล้วเดินตามอย่างเป็นระเบียบไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมาสักคน
หลี่เจี่ยซินหายออกจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงข้อความหนึ่งที่ทิ้งเอาไว้ให้หลิวไห่
“ฉันจะไปทำธุระสักหลายวัน ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องตามหา”
แต่กระนั้นหลิวไห่ก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เครื่องมือติดตามตัวที่อยู่กับเธอหลี่เจี่ยซินก็ถอดทิ้งและเขาเห็นจากกล้องวงจรปิดชัดเจนว่าเธอหายไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเดินขึ้นรถคันนันด้วยตัวเอง และในขณะที่รถวิ่งมาที่กลางถนนในมุมอับมุมหนึ่งเขาก็ไม่สามารถติดตามหลี่เจี่ยซินได้พบแล้ว
เธอหายไปไหน หลิวไห่กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง
หลิวไห่สั่งให้ลูกน้องออกตามหาหลี่เจี่ยซินทั้งยังให้คนคอยเฝ้าจับตาดูกล้องวงจรปิดแทบจะตลอดทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาตัดสินใจมาหาคุณยายของหลี่เจี่ยซินที่บ้าน เขาต้องได้รับคำตอบว่าแท้ที่จริงแล้วในวัยเด็กเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่
หลิวไห่นั่งเผชิญหน้ากับคุณยาย ตัดสินใจถามเรื่องที่จะทำร้ายจิตใจคนแก่ หากเขารู้เบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย เขายังมีหวังทีจะตามหาหลี่เจี่ยซิน
“คุณยายครับ นิทานเรื่องนั้นที่คุณยายเคยเล่ายังจำได้หรือเปล่าครับ ยังเล่าไม่จบเลยนะครับวันนี้ผมเลยแวะมาฟังนิทาน”
คุณยายในตอนนี้สมองยังจดจำได้ดี หลิวไห่ต้องพยายามให้เธอพูดก่อนที่คุณยายจะเพ้อและจดจำอะไรไม่ได้อีก
เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมในใจของคุณยาย ที่ทำหลี่เจี่ยซินหายทำให้คุณยายเกิดคุ้มคลั่งได้ทุกเมื่อ เขารู้ดีจึงพยายามที่จะใช้คำพูดที่อ่อนโยนที่สุด
คุณยายถามด้วยความสงสัย คุณยายจำไม่ได้ว่าเคยเล่านิทานให้หลานเคยผู้หล่อเหลาและอบอุ่นคนนี้ฟังตั้งแต่เมื่อไหร่
“เรื่องอะไรกันที่ยายเล่ายังไม่จบ”
หลิวไห่กระแอมเบา ๆ นิ้วของเขาจิกลงบนฝ่ามือ ถึงใบหน้าจะผ่อนคลายและดูสบาย ๆ แต่ในใจก็เกรงว่าจะทำคุณยายรู้สึกแย่และโวยวายทั้งอาการกำเริบอีก
“เป็นเรื่องของเด็กสาวคนหนึ่งที่หายออกจากบ้านไปและหลายวันต่อมาเธอก็กลับมาพร้อมกับจำอะไรไม่ได้ครับ เรื่องนี้ผมฟังแล้วสนุกมากครับอยากฟังต่อ”
คุณยายคล้ายจะจำได้แล้ว แววตาของคุณยายไหวระริก และมีความกลัดกลุ้มอยู่มาก แต่เมื่อได้ยินหลิวไห่บอกว่ามันคือนิทานไม่ใช่เรื่องจริง ดูเหมือนคุณยายจะผ่อนคลายลงไปมาก สตรีวัยชราผู้นี้กุมความลับอะไรเอาไว้อยู่กันแน่นะ หลิวไห่ใคร่ครวญ
“คุณยายครับ หรือจำไม่ได้แล้วไม่เป็นไรครับ ผมแค่ว่าง ๆ เลยแวะมาฟังนิทานแค่นั้นรบกวนคุณยายจริง ๆ เลยนะครับ”
หลิวไห่แสร้งไม่สนใจทั้งยังหัวเราะหล่อเหลา เขาชวนคุณยายพูดถึงเรื่องอื่นแต่ดูเหมือนว่าคุณยายจะคล้ายเหม่อลอย ยังวนเวียนคิดถึงเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วคุณยายจึงพูดว่า
“นิทานน่ะ ยายจำได้แล้วเดี๋ยวยายเล่าต่อนะ”
แน่นอนว่าความอัดอั้นตันใจนี้คุณยายย่อมมีอยู่ข้างใน เมื่อมีโอกาสได้ระบายออกไปบ้างก็คงจะคลายความอัดอั้นลงไปได้บ้าง
หลิวไห่พยักหน้า นั่งพิงเก้าอี้อย่างสบาย คนรับใช้นำผลไม้กับน้ำส้มมาให้เขาดื่ม เขาก็กินอย่างอร่อย เหมือนคนที่กำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าอย่างเพลิดเพลิน พลอยทำให้ใจคนที่กดดันผ่อนคลายลงได้มาก
“เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งในสมอง ทั้งพ่อและยายของเธอพยายามรักษาอยู่นานแต่ยังไงก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของเธอได้ เพราะในตอนที่พบมะเร็งก้อนนั้นก็สายเกินไปแล้ว”
หลิวไห่ตกตะลึง คนที่เป็นมะเร็งในอดีตจะใช่หลี่เจี่ยซินหรือไม่ เขายิ้มแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม ท่าทางผ่อนคลายทั้งยังเท้าคางตั้งใจฟังเหมือนเด็กคนหนึ่งที่กำลังตื่นเต้น
“เด็กคนนั้นจะตายเหรอครับ”
คุณยายพยักหน้ายิ้มเศร้าสร้อย
“ใช่ เด็กคนนั้นกำลังจะตายแต่กลับมีปาฏิหารย์บางอย่างเกิดขึ้น”
“ดีจังเลยนะครับ ปาฏิหารย์ที่ว่าคืออะไรครับ”
คุณยายย้อนนึกถึงความทรงจำในครั้งนั้น แล้วพูดต่อ
“จู่ ๆ วันหนึ่งก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาดูดีและมีลูกน้องรายรอบเข้ามาหาพ่อของเด็กคนนั้นและบอกว่ามีวิธีรักษา ขอเพียงยอมมอบเด็กคนนั้นให้เขา”
หลิวไห่ถามต่อ
“เขาเป็นหมอเหรอครับ”
คุณยายส่ายหน้า
“หมอคนนั้นที่รักษาเด็กน้อยก็อยู่ด้วย แต่คนที่เสนอไม่ใช่หมอเขาเป็นนักธุรกิจร่ำรวยคนหนึ่งที่เบื้องหลังกำลังทดลองบางอย่าง และเขาเชื่อว่าจะทำให้เด็กน้อยคนนั้นรอดตายได้”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอครับ”
คุณยายยิ้มเศร้า
“ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ แต่การทดลองนั้นเพิ่งเริ่มไม่รู้จะได้ผลแค่ไหน ที่สำคัญเด็กต้องถูกทดลองยาซ้ำ ๆ หลายครั้ง และเป็นการทรมานอย่างมาก พ่อของเด็กไม่ยอมปฏิเสธพวกเขาไป”
หลิวไห่เอียงคอ คุณยายจึงเล่าต่อ
“แต่ในคืนนั้นแม่ของเด็กมาเข้าฝันยายของเด็กให้ช่วยเหลือเด็ก อย่าให้เด็กตาย สุดท้ายคุณยายจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ควรลักพาตัวเด็กไปจากพ่อของเด็ก และปล่อยให้คนพวกนั้นเอาตัวไป”
หลิวไห่อุทานคำว่าคุณยายออกมาจากปากเสียงเบา แล้วพูดว่า
“เด็กกลายเป็นหนูทดลองเหรอครับ”
คุณชายเริ่มร้องไห้
“ใช่เด็กกลายเป็นหนูทดลอง ความจริงคนอื่นคิดว่าเด็กหายไปไม่กี่สัปดาห์แต่ความเป็นจริงเธอหายไปเกือบปี ช่วงเวลานั้นยายคุณเลวนั่นติดต่อเด็กไม่ได้ คนพวกนั้นไม่ยอมให้เธอพบเด็ก เพียงแต่ส่งรูปมาให้ดูเป็นระยะ แต่ยายรู้ว่ารูปพวกนั้นมันปลอม พ่อของเด็กออกตามหาสุดท้ายยายพูดความจริง พ่อของเด็กเองกลัวยายจะมีความผิดเลยไม่แจ้งความ ทั้งคนพวกนั้นข่มขู่จะฆ่าเด็ก หลายเดือนผ่านไปพวกมันเริ่มไม่ส่งข่าว สุดท้ายพ่อของเด็กจึงไปแจ้งความได้แต่บอกว่าลูกเพิ่งหายไป”
หลิวไห่ถอนหายใจ
“แล้ววันหนึ่งเธอก็กลับมาเหรอครับ”
คุณยายพยักหน้า
“ใช่วันหนึ่งเด็กกลับมาเอง พ่อของเด็กรีบไปแจ้งว่าเด็กกลับมาแล้วและกลัวคนพวกนั้นจะตามหาจึงได้แสร้งเผาบ้านเผาทุกสิ่งและแสร้งทำเป็นว่าเด็กตายในกองเพลิงแล้วเพื่อหลอกคนพวกนั้น ยายไม่รู้ว่าพวกมันยังตามหาเด็กอยู่หรือเปล่าจึงได้แต่แอบซ่อนเด็กเรื่อยมา”
หลิวไห่เข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาเขาเคยสงสัยว่าทำไมดูเหมือนว่าพ่อของเธอยังห่างเหินกับคุณยายมาก คงเป็นเพราะโกรธที่คุณยายนำเธอไปให้คนพวกนั้นและพาหลี่เจี่ยซินหนีไปอยู่อีกเมือง ปิดบังเธอเอาไว้ไม่ให้โดดเด่นให้คอยดูแลโรงเรียนการต่อสู้ ไม่ให้หลี่เจี่ยซินไปไหนไกลสายตา
แล้วคนพวกนั้นจะใช่คนของประธานกู้หรือเปล่า หลิวไห่เริ่มไม่มั่นใจ
นิทานเรื่องนี้คล้ายจะจบแล้ว จู่ ๆ คุณยายก็พูดขึ้น
“เด็กคนนี้หน้าตาเปลี่ยนไปมาก เธอไม่ใช่เด็กคนเดิมแต่ความทรงจำบางอย่าง การพูดจา ท่าทางกลับเหมือนกันยังกับฝาแฝด เพราะแบบนี้พ่อของเด็กจึงโกรธยายคนนั้นและพาเด็กหนีไป ในวันที่เพลิงลุกไหม้นั้นความจริงยายตั้งใจจะตายไปแล้ว แต่เด็กคนนั้นกลับกระโจนเข้าในกองไฟและพยายามจะช่วยยายจนเธอถูกเพลิงเผาไหม้ไปทั้งตัว น่าประหลาดที่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย เด็กนั่นน่ะ ในตอนนั้น แม้จะเจ็บก็ไม่รู้ว่าเจ็บ แม้จะโกรธก็ไม่รู้ว่าโกรธ เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ”
และแล้วคุณยายก็หัวเราะอย่างเจ็บปวด
“ทั้งหมดเป็นเพราะยาย เสี่ยวเจี่ยที่แท้จริงอาจจตายไปแล้วแต่ถูกบางสิ่งบางอย่างถ่ายโอนความทรางจำ ทุกสิ่งทุกอย่างมาที่เด็กอีกคน คล้ายเป็นการทำซ้ำแล้ววางไว้ในเด็กคนนี้”
หลิวไห่หวนคิดถึงคำหนึ่งขึ้นมา
“โคลนนิ่งเหรอครับ คุณยายจะหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่า”
หลี่เจี่ยซินคนนี้ที่จริงเป็นของทดลอง ที่โคลนพฤติกรรมและหลายอย่างมาจากหลี่เจี่ยซินคนเดิม หรือไม่ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจากหลี่เจี่ยซินคนเดิมมายังคนนี้ จึงทำให้เธอมีรูปร่างเปลี่ยนไป
หลิวไห่แทบจะสมองระเบิดแล้ว แท้ที่จริงแล้วเบื้องหลังการทดลองนี้คืออะไรกันแน่ แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าล้วนเป็นเรื่องที่หลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้องร้อยเปอร์เซ็นต์ และเธอต้องเป็นคนที่ประธานกู้ตามหา
พ่อของหลี่เจี่ยซินปกปิดเรื่องลูกสาวมาเนิ่นนาน ถึงขั้นทำให้คนอื่นคิดว่าหลี่เจี่ยซินได้ตายไปแล้ว และที่เขาสงสัยคือคนของประธานกู้ทำไมไม่ตามหาเธอ หรือเพราะพวกเขาคิดว่าเธอตายไปแล้วจริง ๆ และเพิ่งจะสืบรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จึงได้ออกตามหาในตอนนี้
หลี่เจี่ยซินคือผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ที่ยังมีอยู่จริง แล้วยังมีคนอื่นอีกหรือไม่
เสียงโทรศัพท์ของหลิวไห่ดังขึ้น เป็นลุงเฉิงที่โทรหาเขา เสียงปลายสายนั้นทำให้หลิวไห่กำโทรศัพท์แน่น
“ช่างถูกจังหวะ ถูกเวลาเสียจริง”