เพียงตื่นจากการหลับใหลอันแสนยาวนาน ร่างกายถูกหล่อเลี้ยงด้วยปราณหยินมานานกว่า 100 ปี กับสภาพแรกที่ได้เห็น ในความมืดมิดของถ้ำเล็กๆที่ไร้แสงสว่าง หลังจากที่กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งสลักมานานนับร้อยปี เปลือกนอกเป็นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มด้วยผลึกเหมันต์อันทรงพลัง
หลังจากที่พบเจอเรื่องราวดีๆ ที่มีหญิงสาวนางหนึ่งถูกสวรรค์เล่นตลกให้ตัวนางต้องมาขับพิษไอร้อนจากร่างกาย ตรงจุดที่ชายหนุ่มเป่าฮู่ถูกแช่แข็งไว้พอดี อากาศที่ถูกสูดเข้าไปทันที ร่างกายถูกกระตุ้นให้กลับมาทำงานอีกครั้ง ความรู้สึกดั่งเกิดใหม่นี้
วันนี้ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวผู้เหลือรอดมาจากการบุกของสำนักยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์ เป่าฮู่ได้เห็นคือความคลั่งแค้นในหัวอก จนกลั่นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ยากเกินคำบรรยาย
หลังจากทำการสำรวจร่างกายของตนเองเรียบร้อยจนทำให้ได้รู้ว่า เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดเดิมแต่ว่า เนื้อผ้า แม้โดนแช่แข็งมานานปี ยังคงสภาพที่ดีจนหน้าเหลือเชื่อ
แต่เมื่อเส้นแสงที่สอดเข้ามาจากในถ้ำจากด้านนอก ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วยามจนตื่นมานี้ ทำให้ดวงตาของเป่าฮู่เคยชินกับททุกสิ่งได้แล้ว
ด้วยดวงตาที่ค่อยๆปรับให้ชินกับสภาวะรอบด้าน ภาพที่ได้เห็นคือ ร่างของหญิงสาวนิรนามที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า ร่างกายเย็นเฉียบไร้ลมหายใจ อีกทั้งนางได้สิ้นลมหายใจไปพร้อมกับมือที่ถือจดหมายเลือดฉบับหนึ่ง แสดงออกถึงความคลั่งแค้นในหัวอก
เป่าฮู่ได้เห็นจึงคิดว่า หญิงนางนี้คงตกตายได้ไม่นาน ตัวของเป่าฮู่เองก็ไม่มีความสามารถอะไรจะรักษาได้ แต่เมื่อคิดไปคิดมา ตัวเป่าฮู่ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ผู้ที่ฝึกฝนวิชาจากนิกายเสวียนอู่มานานกว่า 4 ปี จนได้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในอันดับหนึ่งและสามารถเข้าศึกษาวิชา จากหอตำราเสวียนอู่ก็พอรู้ถึงเคล็ดวิชาบางอย่างที่สามารถใช้กับคนตายไปแล้วได้
ก่อนหน้าที่จะถูกจ้าวนิกายลู่กวนเรียกพบ ตัวเด็กหนุ่มก็พึ่งกลับจากการล่าสัตว์อสูรลมปราณ เพื่อดูดซับวงแหวนระดับปราชญ์ครึ่งก้าวราชา(สีฟ้าเข้ม) ของตัวเป่าฮู่เอง
“นี่แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน เศษเสี้ยวพลังปราณร้อนที่ยังหลงเหลือ และภาพการตายอย่างอนาถของนาง เราจะพอมีสิ่งใดช่วยนางได้บ้างหรือไม่”
ขึ้นชื่อว่านิกายเสวียนอู่บูชาเทพเต่าดำที่เป็นสัตว์เทพแห่งทิศอุดร เต่าดำขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เทพ ที่มีความลึกลับและเป็นสัตว์เทพที่ทำหน้าที่เฝ้าทวารสวรรค์ และเป็นสัญญาลักษณ์แห่งความเชื่อ ศรัทธา อายุยืนยาว และความสุข กระนั้นก็ยังสื่อถึงพลังในแง่ลบที่เกี่ยวกับความตายด้วยนั่นเอง
นิกายเสวียนอู่มีวิชาลับที่เรียกว่า วิชาอัญเชิญวิญญาณ อันเป็นวิชาลับที่ถูกซ่อนไว้ในหอตำราอย่างมิดชิด แต่เมื่อเป่าฮู่ผู้สูญเสียบิดากับมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์ จึงมีความต้องการแรงกล้าที่จะได้พูดคุยกับบิดามารดาอีกสักครั้ง
หากแต่ต้องสังเวยเลือดของตนต่อศพของผู้ตายภายในวันๆนั้น อีกทั้งใช้พลังแห่งจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งเข้าช่วยเป่าฮู่ในตอนนี้ยังไม่อาจทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นสติปัญญาในตอนนั้นกลับมีเพียงน้อยนิดจึงทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชาลับแบบนั้นได้เพียงเล็กน้อย นั่นจึงเป็นความรู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยนางได้
แต่หลังจากที่ศึกษาวิชาอัญเชิญวิญญาณมาแล้วกว่า 2 ปี กลับไม่คืบหน้าด้วยสิ่งที่เป็นเคล็ดวิชายากแก่การเข้าใจมากนัก เพราะยังต้องใช้อักขระจากตำราอักขระลมปราณเข้ามาเสริมอีกส่วนหนึ่ง จึงยากเข้าไปอีก พร้อมทั้งสัตว์อสูรลมปราณชนิดเดียวนั่นคือเต่าอักขระที่เป็นตัวสื่อของเคล็ดวิชานี้ ในปีที่ 3
เป่าฮู่ได้ศึกษาจนถึงระดับเข้าใจพื้นฐานจนถี่ถ้วน ก่อนจะรับรู้มาจากเนื้อหาที่อ่านในตำราว่า สัตว์อสูรชนิดเดียวคือ เต่าอักขระเท่านั้นที่จะเป็นตัวชักนำวิญญาณได้ตามเคล็ดวิชาที่ผู้สร้าง ได้บัญญัติชุดวิชานี้ออกมา
ดังนั้นในปีสุดท้ายก่อนที่นิกายจะถูกลบหายไป เป่าฮู่ได้เข้าศึกษาในเขตชั้นในและใช้เวลาทั้งหมดออกตามล่า เต่าอักขระจนได้เจอตัวเต่าลึกลับในส่วนลึกของป่าเงามายา จนทำให้เวลาในการฝึกยุทธ์หมดไปอย่างไร้ประโยชน์
เต่าที่หายาก แม้จะมีระดับเพียงวงแหวนสีฟ้า แต่ก็ร้ายกาจมาก จนเป่าฮู่ใช้เวลากว่า 10 วัน กว่าจะจัดการสยบเจ้าเต่าบ้าลงได้ ในขณะที่เจ้าเต่าพลาดท่าเสียทีในขณะที่กำลังยกระดับชั้น และทำการดูดซับเข้ามาเป็นวงแหวนที่ 3 ของเต่าด้วยอายุเต่า900ปี
ตัวของผู้ฝึกยุทธ์ในดินแดนนี้จะมีหลักการดูดซับหรือวงแหวนที่ครอบครองได้สูงสุด 5 วงแหวน โดยระดับผู้ฝึกยุทธ์เบื้องต้นจนถึงระดับปราชญ์ จะครอบครองเพียง 2 วงแหวนเท่านั้น
ส่วนระดับราชาจนถึงระดับจักรพรรดิจะสามารถครอบครองได้ถึง 5 วงแหวน
วันนี้เป่าฮู่ชายหนุ่มที่ ใช้วงแหวนที่หนึ่งในการดูดซับเต่าอักขระ สัตว์อสูรลมปราณ อายุ 900 ปี ในวงแหวนอัญเชิญ เต่าตัวขนาด 1 ฝ่ามือตัวเล็กๆที่ไร้พิษสง แต่กลับมีความสามารถมากกว่าที่ ใครๆจะคาดคิดได้และมีเพียงผู้ครอบครองเท่านั้นที่จะรู้ได้
วงแหวนที่สองเป่าฮู่ใช้ในการดูดซับ กระบี่ระดับราชา ด้านในมีจิตอสูรลมปราณสถิตอยู่ อาวุธชิ้นนี้เป่าฮู่ได้ในตอนที่ถูกเรียกไปพบจ้าวนิกายในวันสุดท้ายของการเป็นศิษย์นิกายเสวียนอู่
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในนิกายถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามพรรคสำนักต่างๆ มากมายในแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีเคล็ดวิชาที่เป่าฮู่ได้นำติดตัวออกมาเพียงสิ่งเดียว
เพียงการสำรวจตนเองและร่างหญิงสาวนางนี้จนเสร็จสิ้น เบื้องหน้าของชายหนุ่มกลับมีของไม่กี่ชิ้น หากจะมองดูให้ดีๆก็พบว่า ยังมีม้วนตำราที่ถูกสั่งให้นำไปซ่อนหรือทำลายทิ้ง แต่บัดนี้ด้วยความอยากรู้ ความแค้นที่แบกรับมานาน
โดยไม่รู้ว่าวันนี้เวลานี้คือวันเดือนใด ตัวของเป่าฮู่จะกลับไปช่วยนิกายทันหรือไม่นั้น การตัดสินใจเปิดตำราออกมาศึกษา โดยในใจนั้นรู้สึกผิดที่ตัวของเป่าฮู่แอบศึกษาตำราชั้นสูงโดยที่จ้าวนิกายไม่อนุญาต ด้วยความอ่อนต่อโลกนั้นนั่นเอง
แต่เวลานี้ผ่านมากว่า 100 ปีที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องอะไร ผีตนไหนจะอยู่คอยด่าคอยว่าเป่าฮู่อีก แต่ขณะที่กำลังจะได้ศึกษาตำราลับนั้น วงแหวนที่เป่าฮู่ไม่ได้อัญเชิญ กลับทอแสงออกมาพร้อมภาพของเต่าสีดำกระดองมีแต่อักขระสีทองก้าวต้วมเตี้ยมออกมาเบื้องหน้า
“ช้าก่อน ช้าก่อน เจ้าหนู”
คำกล่าวนี้ดังออกมาจากเต่าอักขระที่เป่าฮู่สังหารไปเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า ตัวเป่าฮู่เองยังตกใจที่เห็นเต่าที่ตนดูดซับไว้เดินออกมาจากวงแหวนอัญเชิญได้ โดยที่ตนเองยังไม่ได้อัญเชิญใดๆ
“เจ้า! เจ้าออกมาได้เช่นไร?”
คำกล่าวชวนปวดหัว เต่าอักขระตัวเดิมนั้น บัดนี้กลับมีอายุ 900 ปีแล้ว ในเวลาที่เป่าฮู่ดูดซับให้กลายเป็นวงแหวน ตัวเป่าฮู่เองไม่ได้เอะใจเวลาที่วงแหวนสีม่วงทอประกายออกมาอย่างชัดเจน
“ไม่แปลก ไม่แปลก เจ้าหนู ไม่ได้สังเกตหรือว่า ข้าเองยกระดับตนเองขณะที่เจ้าหลับใหลภายใต้แก่นแท้แห่งน้ำแข็งที่เทพเต่าดำ บรรพบุรุษของข้ากลั่นออกมาจากตัวท่าน
สถานที่แห่งนี้ล้วนมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาตลอดเวลาที่เจ้าหลับไหล พลังฟ้าดินที่มากมายนี้ เวลานี้ผ่านมากว่า 100 ปี ทำไมข้าจะยกระดับตนเองไม่ได้ ยังขอบคุณเจ้าที่ช่วยเป็นคนช่วยดูดซับพลังหยินที่หนาวเหน็บแทนข้า เพราะเจ้าไม่ได้ตกตายเพียงแค่หลับนานไปนิดหน่อยเท่านั้น”
เป่าฮู่ได้เห็นว่าตนเองมีอสูรลมปราณจากวงแหวนสีม่วงจริง ตัวเป่าฮู่เองก็ตกใจ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เวลาจะผ่านมากว่า 100 ปีจริงดั่งเจ้าเต่าตัวน้อยนี้กล่าว เมื่อภาพที่เห็นบรรยากาศที่รับรู้ เป่าฮู่ได้มองไปที่ร่างของหญิงสาวตรงหน้า
“เจ้าเต่า แล้วเจ้าก็รู้ตลอดสินะว่า หญิงคนนี้ตกตายไปเมื่อใด?”
เต่าน้อยหันหน้าไปมองร่างของหญิงสาวก่อนที่จะกล่าวว่า
“อยากรู้ก็ถามนางเอาเอง นางตายเพราะอะไรและเมื่อไหร่ แต่เอาหละข้าขี้เกียจจะตอบคำถามเจ้ามาก หากเจ้าเร่งศึกษาตำรานั้นในเวลานี้ เจ้าคงต้องพึ่งพลังจากข้า เทพเต่าที่แข็งแกร่งที่สุดตนนี้”
เมื่อการยกยอตนเองจนออกหน้า เป่าฮู่ไม่รู้ว่าตนเองได้เต่าบ้านี้มาได้เช่นไร หากย้อนไปในตอนที่ออกล่าตอนนั้น เต่าบ้านี่ก็สร้างความปั่นป่วนแก่ตัวเป่าฮู่อย่างมากเช่นกัน
“ข้าไม่อาจฝึกมันได้มันเป็นข้อห้ามของนิกาย”
เต่าอักขระได้ฟังก็กระโดดขึ้นฟ้าใช้กระดองเต่าน้อยๆของมันเขกกระบาลเด็กหนุ่มไปทีหนึ่ง ด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่นที่เจ้าบื่อนี่มี
“โอ๊ย! เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า?”
เมื่อเต่าอักขระได้ฟังคำกล่าวนั้น ก็ได้กล่าวออกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิกายเสวียนอู่ของเทพเต่าดำจนทำให้เป่าฮู่เข้าใจ ทรุดกายลงกับพื้นด้วยความท้อแท้ใจแต่เพียงเวลาแค่วูบเดียว หลังจากนั้นชายหนุ่มก็จุดเพลิงแค้นขึ้นมาทดแทน
“อื่มหากข้าจะฝึก ท่านช่วยข้าได้หรือไม่ ท่านเทพเต่า และมีอีกอย่างหนึ่ง หากว่าที่ท่านกล่าวเป็นจริง เวลา 100ปีที่ผ่านมา ข้าย่อมต้องการนางคอยเป็นคนชี้แนะ ด้วยห้วงเวลามากขนาดนี้ยากนักที่จะเข้าใจพื้นฐานของบ้านเมืองแถวนี้โดยง่าย”
จากนั้นทั้งสองได้เจรจากันจนได้ข้อสรุปของเรื่องนี้ การอัญเชิญวิญญาณของนางเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำ เต่าอักขระได้ใช้พลังของตนเองสร้างเขตแดนขนาดเล็ก จากพลังของตัวมันแทนเพื่อป้องกันการรับรู้จากรอบนอก
โดยที่เป่าฮู่ได้ศึกษาตำราลมปราณของเทพเต่าดำที่นิกายเสวียนอู่ได้รับมา ในเวลากว่า 100 ปีก่อนหน้าที่นิกายจะโดนลบหายไป เหล่าทายาทคนใดไม่อาจศึกษาได้ เพราะตำราลมปราณชุดนี้ต้องไขปริศนาของเคล็ดวิชาให้ออกจึงสามารถฝึกได้
วันนี้โชคดีที่เป่าฮู่ได้การชี้แนะจาก เต่าอักขระที่เป็นลูกหลานสายตรงของเทพเต่าดำ จึงพอเข้าใจในสิ่งที่บรรพบุรุษของมันต้องการทิ้งตำราลมปราณนี้แก่พวกมนุษย์ ตัวของเต่าอักขระเองก็ฝึกตำราเดียวกันนี้ไปด้วย
เมื่อทั้งสองได้โคจรลมปราณตามแบบของตนเอง ตามจุดชีพจรต่างๆที่มีการบันทึกไว้ การโคจรผ่านจุดลมปราณที่อันตรายที่สุดและยากเย็นที่สุด คือจุดหัวใจทำให้หลายคนที่ไม่รู้วิธีการจึงยากที่จะผ่านไปได้
แต่วันนี้เป่าฮู่มีเต่าอักขระอยู่ด้วย ทั้งสองโคจรผ่านจุดสำคัญได้โดยง่าย เพราะเป่าฮู่ เชื่อมสัมพันธ์วิญญาณกับเต่าอักขระไปเรียบร้อยแล้ว จึงได้การชักนำจากเต่าอักขระไปด้วย
“เอาหละเจ้าหนู ทำตามที่ข้าชักนำเจ้าไป 1 รอบก่อนหน้า โคจรบ่อยๆ ลมปราณเทพเต่าดำจะเป็นตัวคุ้มกันภัยของเจ้าได้ เพราะลมปราณชนิดนี้เก่งกล้าสามารถด้านการป้องกัน ส่วนอีก 3 ลมปราณเทพที่บรรพชนข้าเล่าสืบต่อกันมา ก็คือ”
เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังเรื่องนี้ ก็ทราบทันทีเพราะนิกายเสวียนอู่ เป็นหนึ่งใน 4 นิกายชั้นนำที่ครอบครองเคล็ดวิชาลมปราณจากสัตว์เทพ