ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 25

หลังจากที่เป่าฮู่ได้จัดการธุระของตนในโรงเตี๊ยม หงจินเป่า เสร็จสิ้น และร่ำลาสององครักษ์ เพื่อเข้าพักผ่อนหลับนอน แต่ในโรงม้าเจ้ายอดอาชาเหงื่อโลหิต กลับแหกปากร้องลั่น ทำให้คนงานและเหล่าองครักษ์ รวมถึงเป่าอู่เองที่จำต้องเดินไปดูมันที่โรงผูกม้าของโรงเตี๊ยม

สิ่งแรกที่เป่าฮู่ชายผู้มาในชุดสวมใส่ที่แสนสบายตัว ติดตามด้วยสาวใช้ที่ถูกเตรียมไว้ ทั้งสองมองไปทางคอกม้า และถามองครักษ์ของตนเองออกไป

“มันเกิดสิ่งใดกันอย่างนั้นหรือพี่ชาย?”

ด้านองครักษ์ตระกูลหูทั้งสองรีบวิ่งอย่างรนราน มาบอกผู้เป็นนาย ด้วยกลัวนายของมันรู้สึกรำคาญเจ้าม้าตัวเก่งที่พึ่งได้มา ชายผู้เป็นองครักษ์ได้รีบกล่าวออกไปว่า

“เรียนคุณชายตามตรง เจ้าม้าตัวนี้ดูเหมือนมันจะไม่ชอบการถูกจำกัดพื้นที่ คอกม้าที่เรามีถูกมันใช้กีบเท้าพังไปเสียส่วนมาก ขอรับ”

 

“ฮ่าๆๆๆ แบบนี้ก็มีด้วย เช่นนั้นเอามันไปมัดไว้ที่สวนใกล้หอนอนข้า”

เมื่อเป่าฮู่ได้ฟังจึงบอกให้คนไปนำเจ้าม้าตัวนั้นมาพบตน แม้นี่จะเป็นยามค่ำคืนแล้วก็ตาม และหลังจากสั่งให้ผูกม้าตัวนั้นไว้ใกล้หอนอนของตนเอง เจ้าม้าบ้านั่นก็หยุดร้องแหกปากโวยวาย

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าต้องการแบบนี้หรอกหรือ ข้าชักชอบเจ้าแล้วสิเจ้าอาชาโลหิต

เอาเถอะไว้ข้าจะหาของไปฝากท่านพ่อบุญธรรมใหม่แล้วกัน”

การหยิบยกเอาสุรา พร้อมจอกสุรา ที่คนงานของโรงเตี๊ยมนำมาวางไว้ให้ และนั่นคือคำสั่ง ของสองพี่น้ององครักษ์ที่ติดตามมาจาก เมืองตระกูลหง เป่าฮู่ได้มองจอกสุราและแหงนหน้ามอง ท้องฟ้ายามราตรี สลับกันและชายตา ไปมองเจ้าม้าบ้าพลังตัวนั้น อย่างมีความสุขปนความเศร้าใจที่ตนเองหลงยุคสมัยมาอยู่ในห้วงเวลาที่ไกลมากว่า 100 ปี

มือที่ยกจอกสุราขึ้นมาในหัวก็พลันนึกถึงสิ่งต่างๆที่เคยพบพานมาในอดีต ไม่ว่าจะความทุกความสุข และรอยยิ้มของมิตรสหาย ร่วมนิกาย แม้ความสัมพันธ์จะไม่ได้ใกล้ชิดกันมากแต่อย่างไรเสีย เขาเหล่านั้นก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมนิกายกัน

 

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ข้าถามตนเอง ว่าเกิดมาเพื่อสิ่งใด ถามสวรรค์ว่า ทำแบบนี้กับคนเช่นข้าเพื่อสิ่งใดแต่ก็ไร้คำตอบที่ได้จากพระองค์”

การพร่ำพรรณนาถึงสิ่งต่างๆจนได้นึกถึงบทกวีของนักประพันธ์ในยุคก่อนที่ว่าไว้

( ยกจอกถามนภา จันทรามีแต่หนไหน

ไป่รู้บนสวรรค์ ราตรีนี้เป็นคราใด

ใคร่เหิรลมหวนกลับคืน ยังหวั่นเกรงแดนเมืองฟ้า ช่างสูงส่งแลเหน็บหนาว

จึ่งร่ายรำล้อเงาจันทร์ แดนมนุษย์หาไหนปาน

เดือนคล้อยผ่าน ตำหนักหอ ใจอาวรณ์ยากหลับใหล

ใยเล่าจึ่งแค้นเคืองไม่สมหวังดั่งเดือนเพ็ญ

คนมีสุขทุกข์จำพรากเดือนมีขึ้นมีข้างแรม ยากสมปองแต่โบราณ

ขอสัมพันธ์ยั่งยืนนานสุดขอบฟ้าร่วมจันทรา)

เพียงนึกถึงภาพความเปล่าเปลี่ยวก็หวนกลับมา และเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นไหลผ่านไปจาก 1 ชั่วยาม ก็เลยผ่าน สุราที่วางไว้ก็หมด จนสาวใช้หรือคนงานหญิงที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล ผู้คอยรับใช้เป่าฮู่คุณชายของโรงเตี๊ยมหงจินเป่านี้ยามที่คุณชายต้องการ

“เรียนคุณชายเจ้าค่ะ นี่ก็ไหที่ 3 แล้วเจ้าคะ ข้าคิดว่าคุณชายควรพักก่อน หากไม่เช่นนั้น ท่านหูเผย ท่านหูเผิง สองพี่น้องได้ขายข้าไปหอนางโลมแน่ เพราะท่านทั้งสองสั่งให้ข้าน้อยปรนนิบัติคุณชายอย่าให้คุณชายเมามากนักเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”

 

เมื่อคำกล่าวของสาวใช้ได้ดังเตือนสติ และฉุดให้เป่าฮู่ออกมาจากห้วงเวลาแห่งการร่ำสุราเพียงลำพังนี้ และสายตาที่มองไปทางหญิงสาวตรงหน้า แม้หน้าตาจะไม่ได้งดงามอะไรมากมายนัก แต่ก็นับว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง และเนินเนื้อ และเรียวขาที่ขาวงดงามสมน้ำสมเนื้อ หากเป็นชายอื่นที่มากในตัณหาคงได้ฉกฉวยนางไปสำเร็จความใคร่

แต่นี่คือเป่าฮู่ชายที่มีแววตาที่เย็นชา  “เอาหละ ในเมื่อเจ้ากลัวเจ้าองครักษ์ทั้งสองของข้ามากนัก งั้นช่วยไปเตรียมน้ำ และช่วยข้าขัดตัวก็พอ ส่วนเรื่องอื่นเจ้าโปรดวางใจ และอีกอย่างอาหารเช้าขาต้องฝากเจ้าด้วยแล้วกัน”

 

คำกล่าวนี้ทำให้สาวใช้นางนั้นที่จัดว่าเป็นสาวงามของหมู่บ้านรอบๆ ได้ถูกซื้อตัวมาเพื่อรับใช้คุณชายท่านนี้ แต่ใครจะคิดว่านางที่หลงตัวเองมานานกลับถูกมองข้ามโดยบุรุษคนนี้

แม้ในใจจะคิดว่า ตนเองช่างไม่มีวาสนา แต่นางก็ยิ้มออกมาที่อย่างน้อยก็พบ

นายท่านที่ดีคนหนึ่ง ไม่มากในตัณหา หากนายท่านคนนี้คิดให้นางปรนนิบัติจริงวันนั้นคงมาถึง

 

หยดน้ำค้างที่ไหลลงมาจามส่วนปลายใบหญ้า ตรงลานหญ้าหลังโรงเตี๊ยม บัดนี้เจ้าอาชาจอมทะนงกำลังกัดกินเล็มหญ้าอย่างสุขใจ

เป่าฮู่ที่ต้องเดินทางไปที่เมืองตระกูลเร่อ ในยามเช้าแม้จะเหลือเวลาอีกหลายวัน แต่แผนการสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาสำหรับเจ้าหนุ่มคนนี้

เวลาที่เหลือคือ 4 วันไม่ขาดไม่เกิน และขณะที่เป่าฮู่กำลังจะเดินย่ำไปทานอาหารเช้าโดยแวะมาเล่นกับเจ้าอาชาเหงื่อโลหิตตัวนี้ก่อนอื่นใด เพราะความรู้สึกยามได้มองมันทำให้เป่าฮู้ที่เป็นชาวยุทธ์ได้คิดว่า

(หนึ่งคน หนึ่งม้าท่องทั่วล้า กำราบศัตรูให้พินาศ รอวันผงาดของเสวียนอู่)

เพียงเท่านั้นเป่าฮู่ก็หันหลังกลับพร้อมกล่าวต่อ หูเผิงชายผู้เป็นองครักษ์ผู้น้อง ด้วยวาจาที่เด็ดเดี่ยวทะนงตน

“เตรียมเจ้าม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้ให้ข้า และจงเสาะหาของมีค่าจากแดนใต้อย่างอื่นส่งให้แก่บิดาข้าหลังจากที่กิจการโรงเตี๊ยมเจริญงอกงาม และอย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่อสิ่งใด หาข่าวของสถานที่และสิ่งที่ข้าต้องการมาด้วย”

 

การมอบหมายงานลับแก่สองพี่น้องไว้ เพื่อช่วยตามหาเบาะแสของ การมีอยู่ของตำรายุทธ์จากนิกายเสวียนอู่ใน 100 ปีก่อนที่ล่มสลายไปมาให้ตน

 

“คุณชายวางใจเรื่องนั้น เราสองคนแม้ต้องตายก็จะทำ แต่ว่าเรื่องที่เราสองคนกลายมาเป็นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนี้ ฮ่าๆๆๆๆ คุณชายอย่าลืมช่วยคุณกับท่านเจ้าเมืองให้เราด้วย”

 

เมื่อกลุ่มองครักษ์เมืองตระกูลหงที่เดิมมาจากเด็กกำพร้าบ้าง ลูกชนชั้นกลางบ้าง แต่ทุกคนจะมีความจงรักษ์ภักดีในตัวของมันเอง การทรยศนายตนเองจะถูกเหล่าพี่น้องตามล่าในที่สุด

เป่าฮู่ได้ฟังเรื่องนี้มาจาก หูเผย ดังนั้นวันนี้เป่าฮู่จึงได้ให้คำมั่นว่าทั้งสองที่ร่วมเดินทางมากับตนจะเหมือนพี่น้องของตัวเป่าฮู่มันเองไปตลอดกาล

“พี่ชายหูทั้งสอง จำคำข้าไว้ ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ และที่ร้ายมาข้าจะสนองคืนกว่า 100 เท่า และหากดีมา ข้าจะดีให้ถึงที่สุด ตอนนี้ท่านทั้งสองดั่งพี่น้องของข้า ตลอดทางมาแดนหงส์เพลิง ข้าพิสูจน์มาพอแล้ว เอาหละใช้ชีวิตที่นี่ให้มีความสุขและอย่าลืมงานใหญ่ของข้า ฮ่าๆๆๆๆ ข้าไปหละ สาวงามแดนหงส์เพลิงเอ๋ย ข้าเป่าฮู่กำลังมาแล้ว”

 

เมื่อการทานอาหารฝีมือของสาวใช้นางนั้นเสร็จ ก็ได้ออกเดินทางโดยขวบอาชาเหงื่อโลหิตที่ยอมสยบต่อชายหนุ่มอย่างไม่มีข้อสงสัย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก เพื่อเข้าเขตเมืองตระกูลเร่อที่ต้องการของชายหนุ่มทั่วหล้า

 

ณ เมืองตระกูลเร่อ

หลังจากการมาของคุณชายเต้าเหล่ยของแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็สร้างความตื่นตระหนกแก่เหล่าชาวยุทธ์ทั่วทั้งลานหน้าเมืองตระกูลเร่อ ว่าด้วยอัจฉริยะคนนี้อนาคต มีโอกาสขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเต้าอย่างมาก แม้เป็นหมายเลขสอง ทั่วทั้ง 4 ดินแดนข่าวนี้ย่อมรู้ถึงกันอย่างรวดเร็วในกลุ่มลูกคุณหนูคุณชายทั่วเขตปกครองแดนศักดิ์สิทธิ์

 

“นั่น! นั่น ! เรือเหาะของตระกูลเต้ามาแล้ว ดูอักษรที่สลักตรงธงหัวเรือ

เหล่ย มันคือ เหล่ย เป็นชื่อของคุณชายเต้าเหล่ยเป็นที่สุด ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ได้เห็น

ชายที่หล่อที่สุดในสามโลก”

เสียงของหญิงสาวที่มาร่วมในงานเทศกาลครั้งนี้ หลังจากเสียงฮือฮาได้ไม่นาน

บนหอคอยเทพหงส์เพลิง เหล่าสาวงามทั้ง 12 คนจาก 6 หัวเมือง ทุกตระกูลล้วนส่งคนเข้าร่วม แต่จะมีเพียงคนที่งดงามจริงๆที่จะได้ขึ้นมาบนหอเทพหงส์เพลิงนี้

พวกนางได้มานั่งบนแท่นหินอัคคี เพื่อเตรียมพร้อมปลุกพลังเพลิงของเทพหงส์เพลิงในตำนาน แต่ก่อนที่จะปลุกเพลิงเทพได้ต้อเรียนรู้จักดูดซับพลังจากแท่นหินอัคคีเสียก่อน มิเช่นนั้นร่างของพวกนางจะถูกเพลิงขององค์เทพที่จะกระตุ้นให้พลังตื่นขึ้นจากสายเลือดของพวกนางเอง

 

เพียงผู้อาวุโสจากหอเทพหงส์เพลิง ได้กวาดสายตามองไปทั่วทั้งชั้นแล้ว นางสนใจเพียง 3 คนที่นับว่ามีแววที่สุดหลังจากที่ดูด้วยตาเปล่า แต่ก็ยังไม่อาจตัดสินในตอนนี้ได้ ด้วยพวกนางทั้งหมดต้องทำการปลุกเพลิงเทพหงส์แบ่งออกเป็น เพลิงให้ได้ก่อน

หากจะกล่าวถึงเพลิงเทพหงส์เพลิง นั้นเหล่าผู้สืบทอดจะได้เห็นและรับรู้ได้เอง

หากจะให้เหล่าอาวุโสที่เหลือตัดสินกันว่าเปลวเพลิงใดคือเปลวเพลิงองค์เทพหงส์เพลิงพวกมันทุกคนก็เพียงศึกษาจากตำราที่บันทึกไว้จากปรมาจารย์เช่นกัน

เพราะด้วยลักษณะของเปลวเพลิงมีความหลากหลาย และยังแบ่งออกไปได้อีก 3 แบบ และแต่ละแบบก็จัดได้ว่าเป็นเพลิงที่น่ากลัวในยุทธภพเช่นกัน

-เพลิงเทพหงส์เพลิงหรือ เพลิงศักดิ์สิทธิ์

-เพลิงใจอสูรสีชาด

-เพลิงพิทักษ์

เพลิงทั้ง 3 แบบ ที่โดดเด่นน้อยที่สุดก็ควรจะเป็น เพลิงเทพพิทักษ์ของดาวบริวารทั้ง 10 คน

ส่วนคนที่จะเป็นหลักค้ำจุน องค์เทพธิดาหงส์เพลิง ก็คือ เพลิงใจอสูรสีชาดที่มีจิตวิญญาณของมันเอง และหากจะถามถึง 1 ในดาวหงส์เพลิงแดนใต้ก็คงเหลือเพียง ธิดาเทพหงส์เพลิงเป็นคนสุดท้ายที่สามารถดูดซับและปลุกพลังเทพหงส์เพลิงขึ้นมาได้

 

หากจะกล่าวถึงตัวแทนที่สามารถปลุกพลังของเพลิงเทพหงส์เพลิงได้ ทุกตระกูลจะยกนางให้เป็นจุดศูนย์รวมของแดนใต้ และหากใครได้ครอบครองนางนั่นก็หมายความว่า แดนใต้ทั้งดินแดนก็คือกำลังของเขาผู้นั้น

 

ด้วยเหตุผลนี้ทุกอาณาจักรจึงส่งดาวรุ่งอัจฉริยะมาช่วงชิงนางมาไว้ในครอบครอง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ต้องดูว่าพวกนางทั้ง 12 คน จะมีใครสามารถปลุกพลังเพลิงของเทหหงส์เพลิงได้หรือไม่

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset