ด้วยการลงมือนั้นทำให้ภาพที่ทุกคนได้เห็นล้วนตกตะลึงกันโดยทั่วหน้า แม้แต่หย่วนซิวหยูและจี้เออร์ที่นั่งมองจากที่ห่างไกล แผ่นน้ำแข็งที่เกาะกุมบนร่างของจี่ซวง จนความเย็นเข้ากัดกินร่างกายจนไม่อาจที่จะทนทานพิษเย็นและมีชีวิตต่อไปได้อีกทั้งยังมีพิษของอสรพิษฟ้าครามนั่นอีกทำให้คนที่กลายเป็นศพก็คือจี่ซวงนั่นเอง
ร่างที่ร่วงลงจากท้องฟ้าจนกระทบต่อพื้นเบื้องล่างก่อนที่เป่าฮู่จะซัดเข็มน้ำแข็งตามมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อตอกย้ำว่าจี่ซวงได้ตกตายไปอย่าแน่นอน
พรึ๊บ! (((เพล้ง!)))
การแตกสลายไปต่อหน้ากลุ่มศิษย์ชั้นภายนอกที่เหลือ วันนี้หอยอดยุทธ์ก็หอยอดยุทธ์ไม่มีใครที่จะช่วยพวกมันจากเงื้อมมือของมัจจุราชตรงหน้าได้
เพียงการได้เห็นฉากลงมือนั้นทุกคนที่เหลือทรุดกายลงพื้น พร้อมหันมาอ้อนวอนของชีวิตแทนคำกล่าวเย่อยิ่งก่อนหน้าที่มีมา แต่มัจจุราชที่แยกคมเขี้ยวไม่มีสิ่งอื่นใดมารอเฝ้าฟังถ้อยคำเหล่านั้น
เพราะในใจเป่าฮู่คิดเสมอว่า มีเพียงศพที่ไม่สามารถพูดได้ก็เท่านั้น
คำกล่าวที่ทำให้หย่วนซิวหยูตระกูลถึงสิ่งที่นางควรจะมีหลังจากนั้นก็คือความเหี้ยมเกรียมนั่นเอง
หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินทางต่อไปยังทางขึ้นเขาเทวะ และจี้เออร์ก็ได้ลาจากกับเป่าฮู่ยังสถานี่แห่งนั้น เพื่อเป่าฮู่และแม่นางซิวหยูจะเดินทางขึ้นเหนือมุ่งสู่แดนเสวียนอู่ต่อไป
ระหว่างที่ทั้งสามคนแยกทางเป็นสองสายนั้นเป่าฮู่ก็หันมากล่าวต่อ
หย่วนซิวหยูถึงสิ่งที่นางทำพลาดไปเมื่อครั้งปะทะฝีมือกับกลุ่มศิษย์หอยอดยุทธ์
“นี่แม่นางซิวหยู สำหรับข้ามีบางสิ่งที่จะพูดกับเจ้าสักเล็กน้อย
จากนี้ต่อไปจงสวมใส่เสื้อผ้าของผู้ชายจงรับไป และเจ้าต้องหัดควบคุมลมปราณก่อนที่เปลวเพลิงของเจ้าจะเสถียรอีกทั้งจนมันไม่ลุกไหม้เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่
ทุกครั้งที่เจ้าใช้ออกซึ่งลมปราณ มิเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจพกพาเสื้อผ้าให้เจ้าเปลี่ยนทุกครั้งไปได้”
เมื่อหย่วนซิวหยูได้เห็นความเอาใจใส่ของคุณชายเป่าฮู่ที่นางเคารพนับถือ นางก็รับคำแนะนำนั้นพร้อมกับตั้งใจฝึกฝนต่อจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าตัดผ่านขึ้นไปยังเมืองซื่อหลางอีกครั้ง
จนเวลาล่วงผ่านไปพริบตาเดียวก็ผ่านไปกว่า 1 เดือน 1 เดือนนี้ทั้งสองเดินทางมาจนถึงเมืองที่เป่าอู่ไม่เคยลืมเลือน เพราะมันคือเมืองซื่อเอ๋อแห่งเขตปกครองเสวียนอู่และยังเป็นเมืองที่เชื่อมกับเมืองตระกูลหงที่เป็นตระกูลของพ่อบุญธรรม
แต่ตอนนี้เป่าฮู่ยังไม่อาจกลับไปเพราะหากกลับไปในตอนนี้อาจทำให้สิง่ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าทำให้บิดาบุญธรรมลำบากใจ
หากแต่เป่าฮู่ก็ยากให้บิดาบุญธรรมออกประกาศวาตนเองได้ตัดสัมพันธ์กับลูกชายบุญธรรมคนนี้แล้วเพราะ อันตรายที่จะนำพามาสู่ตระกูลหงในอีกไม่ช้าก็เร็ว
แต่จดหมายที่ส่งไปกลับได้รับกลับมาเป็นคำตอบที่ปฏิเสธ หงซวนนั้นเลือกที่จะสนับสนุนเป่าฮู่ต่อไปไม่ว่าจะเป็นเช่นไรในวันข้างหน้านั่นคือเจตจำนงของชายชราคนนั้น
เป่าฮู่รู้สึกดีใจที่เห็นคนที่ตนเองนับถือเลือกที่จะยืนข้างตนเองต่อไปฉะนั้นเป่าฮู่จึงยกให้ตระกูลหงเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวและจำทำทุกวิถีทางนำพาความเจริญมาสู่เขตแดนตระกูลหง
หลังจากที่เลือกจัดการวางแผนขั้นต่อไปที่เมืองซื่อเอ๋ออันเป็นหนึ่งในเมืองใต้เขตปกครองของเมืองซื่อหม่า อันเป็นดั่งแขนขาของแดนศักดิ์สิทธ์
เป่าฮู่ยืนมองจากที่สูงภาพทิวทัศน์ของเมืองซื่อเอ๋อแห่งนี้ แม้จะงดงามไม่เท่ากับเมืองซื่อหม่า
แต่ก็ทำให้เป่าฮู่นึกถึงบ้านเกิดของตนสถานที่ตั้งของตระกูลเป่า หมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ที่ชายแดนของเมืองซื่อหม่าและเมืองซื่อลู่
เป่าฮู่เลือกที่จะลบอดีตเหล่านั้นทิ้งไป เพราะอย่างไรเสียตัวมันเองก็รู้ว่าศัตรูฆ่าล้างตระกูลก็คือคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์และคนที่ทำลายนิกายของมันก็คือคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์
การที่จะก่อตั้งนิกายเสวียนอู่อีกครั้งจำต้องมีสมาชิกและคนเหล่านั้นคือคนที่ต้องมีชะตาชีวิตที่เลวร้ายในดินแดนแห่งนี้นั่นคือสิ่งที่เป่าฮู่เลือกไว้
ตอนนี้ชายหนุ่มอายุ 19 ปี หากมีเวลาอีกปีครึ่ง นั่นอาจจะพอทำอะไรบางอย่างได้เริ่มจาก ทำลายโครงข่ายของเขตปกครองในดินแดนนี้ก่อน
หากจะตัดกำลังของดินแดนนี้ไม่ให้แดนศักดิ์สิทธิ์เข้ามายุ่งก็ต้องจัดการส่วนล่างและแทรกซึมเข้าไปจนถึงแก่นกลาง
หากจะทำได้ต้องรู้ถึงเส้นสายการควบคุมทุกอย่างก่อนและทาเดียวที่จะทำได้คือการไปเยือนตระกูลเหมยอีกครั้ง
“คงได้เวลาไปเยือนตระกูลเหมยอีกครั้งแล้ว”
อันตระกูลเหมยตั้งอยู่ในเมืองซื่อหู่ของเขตปกครองเสวียนอู่แห่งนี้ และเป่าฮู่ก็ไม่รอช้ารีบหันไปสั่งการซิวหยูที่ติดตามตนเองมาได้ระยะหนึ่งจนพอรู้นิสัยใจคอบ้างแล้ว
“ซิวหยูจงไปทำงานให้ข้าอย่างหนึ่ง รีบไปเดินทางไปแจ้งแก่บิดาข้าและขอองครักษ์ติดตามมาช่วยงานสัก 2- 3 คน ก่อนที่เจ้าจะตามไปพบข้าที่ตระกูลเหมยในเมืองซื่อหู่”
ด้วยความเชื่อใจและไว้ใจหย่วนชิวหยูในชุดของผู้ชายที่ดูหล่อเหลาก็รับคำสั่งของผู้เป็นนายทันท่วงที
“เจ้าคะนายท่าน”
จากนั้นม้าที่ควบออกไปจากจุดที่ทั้งสองอยู่โดยเป่าฮู่เองก็ควบม้าออกไปทางทิศเหนือและเป้าหมายก็คือจากเมืองซื่อเอ๋อไปยังเมืองซื่อหู่กินเวลาเพียงไม่กี่วันและนั่นก็เป็นสิ่งที่เป่าอู่ไม่อาจที่จะช้าได้ เพราะเวลานี้แผนการได้เริ่มแล้ว แดนเสวียนอู่ต้องกลับมาเป็นของคนแดนเหนืออีกครั้งในเวลาเพียง 1 ปี
“ย๊ะ! ย๊ะ! เร็ว วิ่งไปเร็ว”
เสียงตะบึงม้าออกเดินทางอย่างเร่งรีบ เพื่อเดินทางไปยังร้านตัดผ้าตระกูลเหมยของเมืองซื่อหู่ ม้าที่เดินทางทั้งวันทั้งคืนจากเมืองซื่อเอ๋อมา โดยชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอีกด้านหญิงสาวในชุดบุรุษก็ควบม้าข้าพรมแดนของเขปกครองเพื่อมุ่งหน้าไปเยือนยังตระกูลหง
“ย๊ะ! ย๊ะ! เร็วเข้าเจ้าม้า นายท่านของข้ารออยู่”
ม้าที่เดินทางรอนแรมมานานจนในที่สุดก็มาหมดเรี่ยวแรงที่นอกเมืองตระกูลหง
ทหารที่เห็นชายคนหนึ่งทิ้งม้าที่บาดเจ็บก่อนที่จะวิ่งเข้าเมืองมาอย่างเร่งรีบ
“ช้าก่อน! เจ้าจะรีบไปไหน เจ้าที่ทิ้งม้าไว้ไม่ใช่มันกำลังมีอาการแย่อยู่หรอกเหรอ เจ้านี่มันช่างใจร้ายมากนัก”
คำพูดที่ดังออกมาจากทหาร ก่อนที่จะเห็นป้ายที่นางแสดงออกมานั้นคือป้ายตัวแทนของคุณชายเป่าฮู่ บุตรบุญธรรมที่มีความสามารถสยบยอดฝีมือของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ จนเล่าลือไปทั่วเมือง
“ที่แท้ก็คนของคุณชายเร็วเข้า เขาคงมีสารด่วนแก่ท่านเจ้าเมือง”
ทหารรีบเปิดทางก่อนที่หย่วนซิวหยุจะเปิดผ้าคลุมหน้าและกล่าวออกมาว่า
“ขอบคุณพี่ชาย เช่นนั้นฝากดูม้าให้ด้วย”
คำกล่าวนั้นทำเอาทหารที่ตกใจกันจนยืนแน่นิ่ง หัวหน้ายามหลังจากเห็น
หย่วนซิวหยูจากไป แต่อาการตกตลึงของทหารยังคงอยู่
“งดงาม งดงาม”
หัวหน้ายามได้เห็นก็รีบเดิมเข้ามาถามด้วยความที่มันสงสัยในสิ่งที่ลูกน้อยเป็นอยู่
“งดงามอะไร อะไรที่งดงาม ไอ้บ้าพวกนี้ไปทำงาน”