อันตัวหยุนฟงคิดจะเข้าไปตีสนิทกับเป่าฮู่ แต่หารู้ไม่ว่าชายที่วันๆเริ่มมีความหวาดระแวงและระแวดระวังภัยของตนเองนั้นเป็นเช่นไร
เป่าฮู่นอกจากคนที่ตนเองไว้ใจจะไม่ยอมรับใครง่ายๆ ยิ่งเป็นหลานชายจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นหยุนเต๋อใครจะไปคิดผูกมิตรกัน จ้างมาจ่ายไป นั่นคือความสัมพันธ์ที่มากทีสุดแล้ว
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่เชิงเขาเคียงตะวัน ข่าวการเสียชีวิตของศิษย์จำนวนมากของทุกสำนักเจ้าเมืองก็เขย่ายุทธภพจนวุ่นวาย แดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มส่งคนมาสืบข่าวจนในที่สุดก็ทราบว่า คนที่คิดจะทวงคืนดินแดนเสวียนอู่กลับไปนั้นคือ ผู้เฒ่าหยุนเต๋อที่บรรลุระดับจักรพรรดิลมปราณขั้นกลางช่วงปลายแล้ว นั่นยิ่งต้องทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ง่อนแง่นตอนนี้เริ่มที่จะตัดขาดจากเหล่าเมืองบริวารที่เคยมีมา เพื่อหลีกเลี่ยงการมีปัญหากับหยุนเต๋อ
หากจะกล่าวว่าทำไมแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องถอยออกจากการต่อสู้ทั้งที่ยังไม่เริมก็เพราะ
เต้าหวงเย่ผู้นำแดนศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบัน หลังจากกลับมาจากการท่องยุทธ์ก็ต้องพบกับการล้มป่วยที่ไม่ทราบสาเหตุ
แท้จริงอาการบาดเจ็บเกิดจากการฝืนพลังทะลวงจุดให้แก่เป่าฮู่เพื่อเป็นการชดเชยสิ่งที่ทำลงไปกับตระกูลเป่ามาทั้งชีวิต
ด้วยเหตุนั้นตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เองก็เริ่มมีกลิ่นอายของศึกภายในทำให้
พวกมันเลือกที่จะปิดดินแดนและเก็บออมขุมพลังของตนเอาไว้ก่อน
ด้านดินแดนมังกรฟ้าที่บัดนี้ได้สืบเสาะหาข่าวจนรู้ว่า กำลังของแดนศักดิ์สิทธิ์อ่อนกำลังลงเพราะข่าวจากสายลับวงในส่งกลับมาว่าเต้าหวงเย่มฃได้ป่วยแล้วนั่นเอง
ณ ตำหนักมังกรฟ้า
เมื่อผู้นำตระกูลมู่คนปัจจุบันบิดาของมู่หยงนำเรื่องเข้ารายงานผู้เป็นบิดาของตนอีกชั้นหนึ่งหรือก็คือบรรพชน มู่เจี้ยนฉวี่ ผู้ดำรงตำแหน่งสืบต่อจากบรรพชนมู่เจิ่นหลง ทั้งสองพ่อลูกได้ปรึกษาหารือกัน ทำให้ตระกูลมู่ตัดสินใจที่จะคว้าเอาตำแหน่งผู้นำชาวยุทธ์มาครองในงานวันคัดเลือกจ้าวยุทธอีก หนึ่งปีครึ่งนี้
เมื่อกาลเวลาที่ผันผ่าน คนทุกคนก็ย่อมต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล และตระกูลมู่ปกครองดินแดนมังกรฟ้าสืบต่อพลังลมปราณเทพมังกรฟ้ามานานหลายแสนนาน ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องผงาดขึ้นมาปกครองยุทธภพแล้ว
หลังจากที่คิดตรึกตรองเป็นอย่างดี สารลับจากมู่เจี้ยนฉวี่ก็ส่งตรงไปถึง
ตระกูลเร่อทันที เพราะดินแดนทางใต้ได้เชื่อมสัมพันธ์กับหลานชายของ
มู่เจิ่นหลงไว้ นามของมันก็คือ มู่หยงและธิดาหงส์เพลิงนาม เร่อเว่ยซู นั่นเอง
ณ ตำหนักธิดาหงส์เพลิง
เพียงสารลับเดินทางมาถึงเว่ยซู บุตรีแห่งผู้นำตระกูลเร่อต้วนชุย ได้เข้าพบเร่อหลุนห่าว ผู้เป็นบรรพชนทันที และเร่อหลุนห่าวที่มีระดับลมปราณอ่อนด้อยกว่ามู่เจิ่นหลงเพียงหนึ่งระดับ หากแต่สามารถปกครองยุทธภพร่วมกันได้ย่อมทำให้อำนาจของตระกูลเร่อแผ่กว้างไกลมากกว่านี้เป็นแน่
แต่ข่าวนี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับสถานการณ์ในดินแดนเสวียนอู่ที่กำลังลุกเป็นเพลิงนี้เลย
กลุ่มสมาชิกพรรคใต้หล้าทั้ง 9 ของตระกูลหยุน บุกเข้าโจมตีสำนักเจ้าเมืองหลายแห่งพร้อมกัน และได้ทำการสู้กันอยู่นาน แต่สำนักที่แป็นแกนนำเช่นสำนักซื่อหม่ากลับสามารถต้านทานการโจมตีของเหล่าศิษย์พรรคใต้หล้าได้
เมื่อเป่าฮู่ที่เดินทางมายังตระกูลเหมยตามที่ได้นัดไว้กับหย่วนซิวหยู กำหนดการนั้นได้ล่วงเลยมากว่า 10 วัน คนทั้ง7 คนที่บัดนี้เฝ้ามองดูสำนัก ซื่อหม่าจากด้านบนภูเขาน้ำแข็ง โดยข้างๆมีเหม่ยซุนบิดาของเหม่ยฮวายืนอยู่ด้วย
“นี่อย่างไรสำนักที่เป็นต้นตอแห่งความโศกเศร้าของบุตรสาวท่าน แม่นางเหมยฮวาวันนี้ข้าพาท่านมาเพียงคนเดียวก็เพราะว่า คนในตระกูลท่านล้วน แต่ไม่เห็นด้วย ฉะนั้นข้าที่เคยกล่าวไว้ว่าจะช่วยท่านจัดการเรื่องนี้ วันนี้ข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องชำระกับสำนักนี้ท่านจงทำพิธีบวงสรวงวิญญาณแก่นางผู้เป็นธิดาของท่านเถิด เมื่อเป่าฮู่ที่จะลงมือบุกเข้าไปทำลายสำนักซื่อหม่าตามสัญญา หยุนฟงหลานชายประมุขหยุนเต๋อก็เดินเข้ามา
“ช้าก่อน ช้าก่อน คุณชายเป่า ท่านคงไม่รีบลงมือก่อนที่ข้าหยุนฟงจะกล่าวบางสิ่งบางอย่างต่อท่านก่อนนะ”
หลังจากที่เป่าฮู่เห็นแขกที่ไม่น่าไว้ใจเดินเข้ามายังจุดที่ เป่าฮู่อยู่ เป่าฮู่มองลึกลงไปในแววตาเจ้าเล่ห์นั้น
(จริงจอกร้ายชัดๆ)
“คาราวะคุณชายหยุน มิทราบว่าท่านมายังสถานที่อันตรายเช่นนี้เพื่อสิ่งใด?”
หยุนฟงไม่กล่าวสิ่งใดเพียงยื่นม้วนหนังสัตว์ออกไปให้แก่เป่าฮู่
“นั่นคือสิ่งทีท่านต้องการ และท่านก็จงรับมันไป ส่วนงานที่ตกลงกันนั้น ข้าก็จะขอเข้าร่วม แต่จะไม่ไปรบกวนท่าน เพียงแค่การมาของข้า คือการนำตำราของนิกายโบราณของท่านปู่กลับไปยังหอตำราของพรรคใต้หล้าเรา ท่านเองก็ควรจะละวางจากตำราเก้าหยินโคจรนั้นเช่นกัน”
เป่าฮูได้ฟังก็คิดได้ทันทีว่าที่แท้ จิ้งจอกเฒ่าก็ต้องการตำราเล่มนั้น ใช่ที่ว่าตำรา เก้าหยินโคจรนั้น เป็นตำราระดับจักรพรรดิลมปราณ
แต่อาจารย์เคยบอกว่ามันมีทั้งหมดสามส่วนแต่ที่เคยมีในบันทึกเพียงสองส่วน เพราส่วนสุดท้ายต้องใช้ลมปราณเทพเต่าดำชี้นำ และคนที่จะฝึกได้ก็มีเพียงผู้นำนิกายหรือก็คือจ้าวนิกายเท่านั้น
(ฮ่าๆๆๆ เจ้าเฒ่าหยุนเต๋อคงหลงคิดว่าตนเองเป็นจ้าวนิกายเสวียนอู่สินะ
แต่ก็ต้องขอบใจ ท่านจ้าวนิกายลู่กวนคนนั้นที่มอบของสำคัญที่เป็นใจความสำคัญของทุกสิ่งแก่ข้า)
เพียงเท่านั้นเป่าฮู่รับเอาม้วนหนังสัตว์มาในมือ และหันไปทางหยุนฟงพร้อมกล่าวว่า
“เรื่องตำราข้าไม่สนใจ แต่เรื่องที่เจ้าแสร้งทำดี อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ จงอย่าทำให้เปลืองแรงไปเปล่าๆ เสร็จงานนี้ทางใครทางมัน อย่าได้ก้าวมายุ่งเรื่องของข้า เพราะข้าไม่ชอบให้ใครมาตามพัวพันกับชีวิตข้า สั่งคนของเจ้าที่แอบตามข้ามานานกลับไปซะ หากไม่แล้ว ข้าจะฆ่ามันทิ้งซะ”
เมื่อหยุนฟงได้เห็นว่า คนผู้นี้ไม่ได้เคี้ยวง่ายดั่งที่คิด
“นี่เจ้า!”
เพียงเท่านั้นคนของเป่าฮู่ที่ได้รับการฝึกาจากหงซวนอย่างดีก็เดินตามเป่าฮู่ไปตามเส้นทางที่เป่าฮู่เคยใช้หลบหนีออกมาจากถ้ำน้ำแข็งแห่งนั้น
“นายท่านเจ้าคะ ถ้ำแห่งนี้ทำไมมันถึงหนาวเย็นนัก?”
หย่วนซิวหยูนางเป็นคนจากแดนใต้ การที่จะมาเผชิญหน้ากับพลังที่หนาวเหน็บจากแดนเหนือจึงทำให้นางต้องลำบากกว่า 5หนุ่มที่ติดตามมา เป่าฮู่ได้หันไปมอง องครักษ์ทั้ง5 พร้อมถามถึงสภาพร่างกายของพวกมันทุกคน
“พวกเจ้าคงไหวนะ พ้นจากถ้ำนี้ไป ก็จะเป็นลานกว้างแล้ว ที่นั่นเราคงได้พบกับพวกมันที่เก็บซ่อนตัวเองจากภัยคุกคามด้านนอก”
คำกล่าวของเป่าฮู่เหมือนเดาทางของเจ้าสำนักซื่อหม่า เช่นหม่าฟงเสียน ชายชราวัย 65 ปี แต่มากด้วยราคะเก็บตนฝึกฝนวิชาและเสพราคะกับเหล่าสาวงามที่ยอมพลีกายให้แก่ตนตลอดเวลาหลายสิบปี
ดังนั้นสำนักซื่อหม่าจึงคัดเฉพาะสาวงามและศิษย์ผู้หญิงที่มีพลังหยินที่แกร่งกล้า อีกทางหนึ่งหม่าฟงเสียนก็ฝึกวิชาชั่วช้าดูดปราณหยินจากหญิงที่ตนเสพราคะด้วยไปในตัว
เพียงการเยื้องย่างกายมาจนถึงเขตแดนภายใน เป่าฮู่ก็ต้องพบว่าด้านในสำนักหลังจากได้มีข่าวว่าสำนักต่างๆถูกพรรคใต้หล้าบุก คนเช่นหม่าฟงเสียนก็สั่งข่าวแจ้งแก่ทางแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่กลับถูกทอดทิ้งจากนิกายเทพเมฆาและนิกายอัสนีทลายภพ ทั้งสองได้รับคำสั่งจากเต้าเจิ่งผิงให้รักษาอำนาจของตนไว้ก่อนอย่าพึ่งวู่วาม
สองนิกายก็ทำตามเพราะกำลังจะเกิดศึกภายในเช่นกัน อันนิกายเทพเมฆาสนับสนุน
เต้าเหลียงคุนเป็นผู้นำคนต่อไป ส่วนนิกายอัสนีทลายภพกลับสนับสนุนเต้าเจิ่งผิงให้ขึ้นรับตำแหน่งแทนเต้าหวงเย่ผู้เป็นบิดาที่กำลังล้มป่วย